---

.
ไม่ชัดเจนว่าโกโก้ปรากฏขึ้นเมื่อใดหรือใครเป็นผู้คิดค้น ตามคำบอกเล่าของ Hayes Lavis ผู้ดูแลศิลปะวัฒนธรรมของพิพิธภัณฑ์แห่งชาติของชนพื้นเมืองอเมริกันของสถาบันสมิธโซเนียน พบว่ามีการค้นพบหม้อและภาชนะโบราณของชาวโอลเมกจากราว 1,500 ปีก่อนคริสตกาล โดยมีร่องรอยของธีโอโบรมีน ซึ่งเป็นสารกระตุ้นที่พบในช็อกโกแลตและชา

และเชื่อกันว่าชาวโอลเมกใช้โกโก้ในการทำเครื่องดื่มสำหรับพิธีกรรมต่างๆ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากพวกเขาไม่มีบันทึกประวัติศาสตร์เป็นลายลักษณ์อักษร จึงมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันว่าพวกเขาใช้เมล็ดโกโก้ในเครื่องดื่มของตนหรือใช้เฉพาะ

ช็อกโกแลตนั้นมีความสำคัญในวัฒนธรรมของทุกยุคทุกสมัยมาโดยตลอด แต่ถึงอย่างนั้น ก็มีเรื่องราวที่แปลกอยู่เรื่องนึง โดยมีการเล่าสืบต่อกันมา ซึ่งเรียกช็อกโกแลตว่าเป็น "คำสาป"

.
ในสมัยยุคกลางของสวิตเซอร์แลนด์ มีเมืองหนึ่งที่ขึ้นชื่อเรื่องการทำช็อกโกแลต มีหญิงสาวคนหนึ่งชื่อว่า อิซาเบลลา (Isabella) ที่เป็นช่างทำช็อกโกแลตที่เก่งกาจที่สุดในเมือง ผลงานช็อกโกแลตของเธอมีรสชาติอร่อย เป็นที่ชื่นชอบของคนทั้งเมืองและเรียกได้ว่าเป็นศิลปะในการทำขนมหวาน ทุกวันคนในเมืองจะมาต่อคิวซื้อช็อกโกแลตของเธอ บางครั้งคนจากเมืองอื่นๆ ก็เดินทางมาซื้อช็อกโกแลตเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม ในเมืองนั้นมีชายหนุ่มคนหนึ่งชื่อว่า ลูคัส (Lucas) ซึ่งเป็นช่างทำช็อกโกแลตที่ต้องการความสำเร็จและชื่อเสียงเช่นเดียวกับอิซาเบลลา ลูคัสได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับสูตรลับของอิซาเบลลาที่ทำให้ช็อกโกแลตของเธอมีรสชาติยอดเยี่ยม เขาจึงคิดว่า ถ้าหากเขาสามารถขโมยสูตรลับนี้ได้ เขาจะสามารถทำช็อกโกแลตที่อร่อยและกลายเป็นช่างทำช็อกโกแลตที่เก่งที่สุดในเมืองแทน

คืนหนึ่ง ลูคัสแอบเข้าไปในห้องครัวของอิซาเบลลาในเวลากลางคืน โดยมีแผนที่จะขโมยสูตรลับของเธอ แต่โชคร้ายที่เขาถูกอิซาเบลลาจับได้ อิซาเบลลารู้สึกเจ็บปวดและโกรธมากที่มีคนพยายามขโมยผลงานของเธอ เธอจึงสาปแช่งลูคัสให้ช็อกโกแลตที่เขาทำมีรสชาติขมขื่น ไม่ว่าจะพยายามทำอย่างไร

หลังจากคืนนั้น ช็อกโกแลตที่ลูคัสทำทุกครั้งจะมีรสชาติแย่ ทั้งขมและไม่อร่อย เขาลองหลายวิธีในการทำช็อกโกแลต ทั้งเปลี่ยนส่วนผสมและกระบวนการทำ แต่ทุกครั้งที่เขาทำ ช็อกโกแลตก็ยังคงมีรสชาติไม่ดี คนในเมืองเริ่มไม่ซื้อช็อกโกแลตของเขาและเรื่องราวเกี่ยวกับคำสาปของอิซาเบลลาก็แพร่กระจายไปทั่ว เมืองนั้น

เรื่องราวนี้กลายเป็นตำนานที่ถูกเล่าขานต่อมา เพื่อเตือนใจให้เห็นถึงความสำคัญของความซื่อสัตย์และผลที่ตามมาของการกระทำผิดศีลธรรม แม้ว่าจะเป็นเพียงตำนาน แต่ก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจและสะท้อนถึงความสำคัญของช็อกโกแลตในวัฒนธรรมของผู้คนในสมัยนั้น

.
นวนิยายที่เกี่ยวกับเรื่องราวของช็อกโกแลตนั้นมีอยู่มากมาย ที่เพื่อนๆ สามารถไปหาอ่านได้ อย่าง The Curse of the Chocolate Phoenix หรือ

.
พอพูดถึงช็อกโกแลต ก็ต้องบอกว่าเป็นของโปรดที่สุดของคนทั่วโลก แต่ถ้าเอามาเป็นส่วนผสมอาหารจะมีเมนูอะไรน่ากิน เห็นแล้วน้ำลายไหลบ้างนะ..

1. Cocoa-Rubbed Baby Back Ribs
ซี่โครงหมูหมักโกโก้ ปรุงรสด้วยเครื่องเทศอย่าง อบเชย พริกไทยจาไมก้า และขิง โดยได้รสชาติเข้มข้นจากผงโกโก้ และเผ็ดร้อนเล็กน้อยจากผงมัสตาร์ด

2. White Chocolate Baba Ghannouj
มะเขือยาวอบควันสูตรตะวันออกกลางที่ขึ้นชื่อในด้านความนุ่มนวลด้วยไวท์ช็อกโกแลต ซึ่งเข้ากันได้ดีกับรสชาติถั่วของทาฮินีและเครื่องเทศรสเผ็ดเล็กน้อยจากกระเทียมสดและพริกปาปริก้า ดูสูตรไวท์ช็อกโกแลต

3. Gascon-Style Beef Stew (Daube de Boeuf À la Gasconne)
สตูว์เนื้อและผักรากรสเข้มข้นนี้ทำจากอาร์มาญัค ช็อกโกแลต และไวน์มาดิรานแบบดั้งเดิม สูตรนี้ปรากฏครั้งแรกใน First Night ของ David McAninch ฉบับเดือนธันวาคม 2013

: Gascon หรือกัสกอญ เป็นหนึ่งในอาหารหลักของอาหารฝรั่งเศส หนึ่งในความคิดสร้างสรรค์ของแคว้นกัสกอญเกิดจากการใช้วัตถุดิบในท้องถิ่นและประเพณีเก่าแก่ที่สืบต่อกันมายาวนาน ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของภูมิภาคอากีแตนและมิดิปีเรนีส

4. Enchiladas
เป็นอาหารเม็กซิกันพื้นเมือง "enchilar" แปลว่าเติมพริกเข้าไป ด้วยส่วนประกอบตอร์ติยา (ทำจากแป้งข้าวโพด) ราดด้วยซอสรอสเข้มข้นทำจากพริกแห้งรสผลไม้ และช็อกโกแลตเม็กซิกันเข้มข้น แล้วม้วนเป็นแผ่น

5.  Pollo en Mole Poblano
ไก่ราดซอสโมเล่สไตล์เม็กซิโก สูตรนี้ผสมผสานพริกมูลาโต อันโช และปาซิลลา เข้ากับเครื่องเทศอุ่นๆ และช็อกโกแลตเม็กซิกัน เพื่อสร้างซอสเนื้อเนียนนุ่มสำหรับราดบนไก่



.
ช็อกโกแลตอย่างเดียวก็ที่สุดแล้ว แต่อยากหาเมนูที่ไม่ค่อยมีในเมืองไทย แถมยังมีส่วนผสมของช็อกโกแลต เอามาฝากเพื่อนๆ ให้น้ำลายไหลกันครับผม

.
ขอขอบคุณข้อมูล
: nationaltoday
: saveur
: wikipedia
.
On This Day