"ถ้ารื้อฟื้นอธิกรณ์ที่คณะสงฆ์พิจารณาไปแล้วการรื้อฟื้นนั้นจะเป็นอาบัติ" หมายถึงเฉพาะอธิกรณ์ที่ตัดสินโดยความถูกต้องชอบธรรม

กระทู้สนทนา
http://manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9580000024028
-----------------------------------------------------------------------------------------------
ลองคลิกอ่านดูจากข่าวตามลิ้งค์ข้างบน   ..จากการแถลงการณ์ของเลขาธิการมหาเถรสมาคม ...
-----------------------------------------------------------------------------------------------
การอ้างว่า   การรื้อฟื้นอธิกรณ์ที่พิจารณาผ่านไปแล้ว  ผู้รื้อฟื้นจะเป็นอาบัติ ...นั้น (ซึ่งเลขาธิการ มหาเถรฯ จงใจละเว้นคำว่า "โดยธรรม" หรือ "โดยธรรม" หรือ"ด้วยความเป็นธรรม" ทิ้งไปจากประโยคที่พูดนั้น)

ที่จริงหลักการอันนี้  หมายถึงเฉพาะอธิกรณ์ที่ถูกพิจารณาแล้ว "โดยธรรม" (หรือ ตามธรรม, หรือ โดยถูกต้องชอบธรรม, เป็นธรรม)  เท่านั้น

นั่นคือ....ถ้าอธิกรณ์นั้น  ถูกพิจารณาด้วยความไม่เป็นธรรม  ไม่ถูกธรรม ไม่ชอบธรรม ก็ย่อมสามารถรื้อฟื้นใหม่ได้ ไม่เป็นอาบัติแก่ผู้รื้อฟื้น
  
-----------------------------------------------------------------------------------------------

อุกโกฏนสิกขาบทที่  ๓

ในสิกขาบทที่ ๓  มีวินิจฉัยดังนี้ :-
      
[ว่าด้วยการรื้อฟื้นอธิกรณ์ที่ทำเสร็จแล้วตามธรรม]

            บทว่า  อุกฺโกเฏนฺติ  มีความว่า  พวกภิกษุฉัพพัคคีย์ไปยังสำนักของ
ภิกษุนั้น ๆ แล้ว   พูดคำโยกโย้ไปมามีอาทิว่า  กรรมไม่เป็นอันทำ  คือ  ไม่ให้
การยืนยันโดยความเป็นเรื่องควรยืนยัน.
บทว่า  ยถาธมฺมํ มีความว่า  โดยธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว
เพื่อเป็นเครื่องระงับอธิกรณ์ใดเล่า.
            บทว่า  นีหตาธิกรณํ  คือ  อธิกรณ์ที่สงฆ์วินิจฉัยแล้ว      อธิบายว่า
อธิกรณ์ซึ่งสงฆ์ระงับแล้วโดยธรรมที่พระศาสดาตรัสแล้วนั่นแหละ.
           สองบทว่า   ธมฺมกมฺเม   ธมฺมกมมสญฺญา      มีความว่า   อธิกรณ์นั้น
สงฆ์ระงับแล้วด้วยกรรมใด,    ถ้ากรรมนั้นเป็นกรรมชอบธรรม.    แม้ภิกษุนี้ก็
เป็นผู้มีความสำคัญในกรรมที่เป็นธรรมนั้นว่า  เป็นกรรมชอบธรรม  ถ้ารื้อฟื้น
อธิกรณ์นั้น    ต้องอาบัติปาจิตตีย์.    แม้บทที่เหลือ   บัณฑิตพึงทราบโดยนัยนี้.
นี้เป็นความย่อในสิกขาบทนี้ .    ส่วนความพิสดาร    พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้
ในคัมภีร์ปริวารโดยนัยมีอาทิว่า  การรื้ออธิกรณ์ ๔ นี้   มีเท่าไร ?  ดังนี้ .
             พระอรรถกถาจารย์นำถ้อยคำที่ตรัสไว้ในคัมภีร์ปริวารนั้น    ทั้งหมดมา
แล้วพรรณนาอรรถแห่งคำนั้นนั่นแลไว้ในอรรถกถาทั้งหลาย      แต่พวกเราจะ
พรรณนาคำนั้นในคัมภีร์ปริวารนั่นแหละ.     เพราะเมื่อเราจะนำมาพรรณนาใน
สิกขาบทนี้    จะพึงฟั่นเฝือยิ่งขึ้น;   ฉะนั้น    พวกเราจึงไม่ได้พรรณนาคำนั้น.
บทที่เหลือในสิกขาบทนี้  ตื้นทั้งนั้น.
            สิกขาบทนี้    มีสมุฎฐาน  ๓    เป็นกิริยา    สัญญาวิโมกข์    สจิตตกะ
โลกวัชชะ   กายกรรม   วจีกรรม   เป็นทุกชเวทนา   ดังนี้แล
                            อุกโกฏนสิกขาบทที่  ๓  จบ

http://palungjit.org/tripitaka/default.php?cat=400143
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่