จี้รัฐบาลลงดาบ"ธัมมชโย" สปช.ลงความเห็นปาราชิก
กมธ.ศาสนา สปช. ลงความเห็น ธัมมชโย ต้องปาราชิก ขาดความเป็นพระ ตามพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราชปี 2542 จี้รัฐบาลสั่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ
วันนี้(18ก.พ.) นายไพศาล พืชมงคล กรรมการผู้ช่วยรองนายกรัฐมนตรี พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ นักกฎหมาย อดีตสมาชิกวุฒิสภาและอดีตสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ได้โพสต์เฟซบุ๊ก www.facebook.com/Paisal.Fanpage ระบุว่า ในการประชุมคณะกรรมาธิการการศาสนา สภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.) ที่มีนายไพบูลย์ นิติตะวัน เป็นประธาน ที่รัฐสภาเมื่อวันที่ 17 ก.พ.ที่ผ่านมา ที่ประชุมได้เชิญผู้แทนสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติมาชี้แจง ประกอบหลักฐานต่าง ๆ จำนวนมาก ในที่สุดชี้ว่า ธัมมชโยเป็นปาราชิก ขาดจากความเป็นภิกษุตามพระลิขิตสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก และหน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบต้องบังคับการให้เป็นไปตามมติมหาเถรสมาคม
ในเรื่องนี้ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก มีพระลิขิตลงวันที่ 26 เมษายน 2542 สองประการ คือ “ต้องอาบัติปาราชิก ต้องพ้นจากความเป็นสมณะโดยอัตโนมัติ ต้องถูกจัดการอย่างเด็ดขาด เช่นเดียวกับผู้ไม่ใช่พระปลอมเป็นพระ ด้วยการนำผ้ากาสาวพัสตร์ไปครอง ทำความเศร้าหมองเสื่อมเสียให้เกิดแก่สงฆ์ในพระพุทธศาสนา” และ อีกประการหนึ่งคือ “ต้องมอบสมบัติทั้งหมดที่เกิดขึ้นในขณะเป็นพระให้แก่วัดทันที (5 เมษายน 2542)”
พระลิขิตของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ดังกล่าวได้นำเข้าสู่การพิจารณาของมหาเถรสมาคมสองครั้ง และมหาเถรสมาคมมีมติครั้งที่ 191/2542 และครั้งที่ 193/2542 ว่าให้ดำเนินการรับโอนที่ดินเป็นของวัดพระธรรมกาย ส่วนกรณีอื่น ๆ (หมายถึงกรณีต้องปฏิบัติในการเป็นปาราชิก) ให้กรมการศาสนาร่วมกับเจ้าคณะภาค 1 ติดตามเพื่อให้เกิดผลในทางปฏิบัติต่อไป และในมติที่ 193/2542 ก็มีมติชัดเจนว่ามหาเถรสมาคมมีมติรับทราบพระดำริที่สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ประทานมาทั้งหมด และ “มหาเถรสมาคมมีมติสนองพระดำริมาโดยตลอด ให้ชอบด้วยกฎหมาย พระธรรมวินัย และกฎมหาเถรสมาคม” และส่งเรื่องให้ฝ่ายสังฆการดำเนินการตามมติมหาเถรสมาคมต่อไป
หลังมหาเถรสมาคมมีมติแล้วได้มีการดำเนินการรับโอนที่ดินเป็นของวัดเรียบร้อยแล้ว แต่มติที่ให้ดำเนินการตามพระลิขิตของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ในกรณีที่ธัมมชโยเป็นปาราชิก ซึ่งต้อง “พ้นจากความเป็นสมณะโดยอัตโนมัติ ต้องถูกจัดการอย่างเด็ดขาด เช่นเดียวกับผู้ไม่ใช่พระปลอมเป็นพระ” นั้น ยังไม่ได้มีการปฏิบัติจนกระทั่งบัดนี้ ซึ่งในที่ประชุมผู้แทนของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติไม่สามารถตอบคำถามได้ว่า จะดำเนินการอย่างไรต่อไป
คณะกรรมาธิการฯ หลายท่านมีความเห็นว่า จะต้องให้รัฐบาลซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาของหน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบบังคับการให้เป็นไปตามมติมหาเถรสมาคมที่มีมติรับรองพระลิขิตสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก และให้ดำเนินการตามพระลิขิตนั้นให้สำเร็จ.
http://manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9580000020046
อานิสงส์ ธุดงค์ธรรมชัย... เห็นผลทันตา
กมธ.ศาสนา สปช. ลงความเห็น ธัมมชโย ต้องปาราชิก ขาดความเป็นพระ ตามพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราชปี 2542 จี้รัฐบาลสั่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ
วันนี้(18ก.พ.) นายไพศาล พืชมงคล กรรมการผู้ช่วยรองนายกรัฐมนตรี พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ นักกฎหมาย อดีตสมาชิกวุฒิสภาและอดีตสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ได้โพสต์เฟซบุ๊ก www.facebook.com/Paisal.Fanpage ระบุว่า ในการประชุมคณะกรรมาธิการการศาสนา สภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.) ที่มีนายไพบูลย์ นิติตะวัน เป็นประธาน ที่รัฐสภาเมื่อวันที่ 17 ก.พ.ที่ผ่านมา ที่ประชุมได้เชิญผู้แทนสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติมาชี้แจง ประกอบหลักฐานต่าง ๆ จำนวนมาก ในที่สุดชี้ว่า ธัมมชโยเป็นปาราชิก ขาดจากความเป็นภิกษุตามพระลิขิตสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก และหน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบต้องบังคับการให้เป็นไปตามมติมหาเถรสมาคม
ในเรื่องนี้ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก มีพระลิขิตลงวันที่ 26 เมษายน 2542 สองประการ คือ “ต้องอาบัติปาราชิก ต้องพ้นจากความเป็นสมณะโดยอัตโนมัติ ต้องถูกจัดการอย่างเด็ดขาด เช่นเดียวกับผู้ไม่ใช่พระปลอมเป็นพระ ด้วยการนำผ้ากาสาวพัสตร์ไปครอง ทำความเศร้าหมองเสื่อมเสียให้เกิดแก่สงฆ์ในพระพุทธศาสนา” และ อีกประการหนึ่งคือ “ต้องมอบสมบัติทั้งหมดที่เกิดขึ้นในขณะเป็นพระให้แก่วัดทันที (5 เมษายน 2542)”
พระลิขิตของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ดังกล่าวได้นำเข้าสู่การพิจารณาของมหาเถรสมาคมสองครั้ง และมหาเถรสมาคมมีมติครั้งที่ 191/2542 และครั้งที่ 193/2542 ว่าให้ดำเนินการรับโอนที่ดินเป็นของวัดพระธรรมกาย ส่วนกรณีอื่น ๆ (หมายถึงกรณีต้องปฏิบัติในการเป็นปาราชิก) ให้กรมการศาสนาร่วมกับเจ้าคณะภาค 1 ติดตามเพื่อให้เกิดผลในทางปฏิบัติต่อไป และในมติที่ 193/2542 ก็มีมติชัดเจนว่ามหาเถรสมาคมมีมติรับทราบพระดำริที่สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ประทานมาทั้งหมด และ “มหาเถรสมาคมมีมติสนองพระดำริมาโดยตลอด ให้ชอบด้วยกฎหมาย พระธรรมวินัย และกฎมหาเถรสมาคม” และส่งเรื่องให้ฝ่ายสังฆการดำเนินการตามมติมหาเถรสมาคมต่อไป
หลังมหาเถรสมาคมมีมติแล้วได้มีการดำเนินการรับโอนที่ดินเป็นของวัดเรียบร้อยแล้ว แต่มติที่ให้ดำเนินการตามพระลิขิตของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ในกรณีที่ธัมมชโยเป็นปาราชิก ซึ่งต้อง “พ้นจากความเป็นสมณะโดยอัตโนมัติ ต้องถูกจัดการอย่างเด็ดขาด เช่นเดียวกับผู้ไม่ใช่พระปลอมเป็นพระ” นั้น ยังไม่ได้มีการปฏิบัติจนกระทั่งบัดนี้ ซึ่งในที่ประชุมผู้แทนของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติไม่สามารถตอบคำถามได้ว่า จะดำเนินการอย่างไรต่อไป
คณะกรรมาธิการฯ หลายท่านมีความเห็นว่า จะต้องให้รัฐบาลซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาของหน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบบังคับการให้เป็นไปตามมติมหาเถรสมาคมที่มีมติรับรองพระลิขิตสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก และให้ดำเนินการตามพระลิขิตนั้นให้สำเร็จ.
http://manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9580000020046