ดิฉันเพิ่งได้อ่านค่ะ ดูเวลาพูดไว้ตั้งแต่ปี 2558
ส.ศิวรักษ์” ระบุมหาเถรสมาคม ลงมติ “ธมฺมชโย” ไม่ปาราชิก ถือเป็น ความอัปลักษณ์ของกรรมการมหาเถรสมาคม เหน็บ น่าจะมีชนักติดหลังทำนองเดียวกัน ชี้เป็นการตะแบงพระวินัย ทั้งที่ลายพระหัตถ์สมเด็จพระสังฆราชชี้ชัดว่า ต้องอทินนาทานปาราชิก
กรณีที่ประชุมมหาเถรสมาคม (มส.) ซึ่งมีสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญฺโญ) ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ เป็นประธานการประชุม วานนี้ (20 ก.พ.) มีมติว่า พระเทพญาณมหามุนี หรือ พระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย และประธานมูลนิธิธรรมกาย ไม่ขาดปาราชิกขาดจากความเป็นภิกษุ แม้จะมีพระลิขิตของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ลงวันที่ 26 เมษายน 2542 เนื่องจากได้มีการคืนทรัพย์สินทั้งหมดให้กับวัด ซึ่งเป็นประเด็นปัญหาในช่วงนั้น นายสุลักษณ์ ศิวรักษ์ หรือ ส.ศิวรักษ์ นักคิดนักเขียนชื่อดังได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กแฟนเพจ Sulak Sivaraksa เมื่อเวลา 09.12 น.วันนี้(21 ก.พ.) แสดงความเห็นต่อมติดังกล่าวไว้น่าสนใจว่า การที่ มส. ลงมติ ว่า ธัมมชโยไม่เป็นปาราชิกนั้น แสดงว่า มส. ที่ลงคะแนนให้ ธมฺมช น่าจะมีชนักติดหลังในทำนองเดียวกัน
“ในเมื่อลายพระหัตถ์สมเด็จพระสังฆราชชี้ชัดว่าบุคคลผู้นี้ต้องอทินนาทานปาราชิก แล้วกรรมการมหาเถรสมาคมซึ่งอ้างว่าเคารพสมเด็จพระสังฆบิดร กลับไม่ทำตามมติสมเด็จพระสังฆราช โดยที่อ้างว่าเขาคืนเงินให้แล้ว เป็นอันหมดมลทิน นั่นเป็นเรื่องตะแบงพระวินัยอย่างชัดเจน
.
“แต่นี่ไม่ใช่คราวแรกที่มหาเถรสมาคมมีพฤติกรรมเช่นนี้ เช่นเมื่อคราวกิตฺติวุฒฺโฑภิกขุสั่งรถวอลโว่เข้ามาโดยไม่ยอมเสียภาษี นี่ก็เป็นอทินนาทานปาราชิกเช่นเดียวกัน เพราะพระมีค่าเพียงแค่เงินบาทเดียว ฉ้อฉลเพียงบาทเดียวก็ต้องอทินนาทานปาราชิกหมดความเป็นภิกษุภาวะ คราวกิตฺติวุฒฺโฑ มหาเถรสมาคมก็ลงมติว่าเป็นนิสสัคคียปาจิตตีย์ และให้เอาเงินไปเสียภาษี เพื่อจบเรื่อง ดังกรณีธัมฺมชโยก็เช่นกัน อ้างว่าได้คืนเงินคืนทองไปแล้ว ยังสามารถคงความเป็นลัชชีไว้ได้ นี่เป็นตัวอย่างแห่งความอัปลักษณ์ของกรรมการมหาเถรสมาคม
.
“เมื่อถอดสมภารวัดสระเกศออกจากมหาเถรสมาคม และจากตำแหน่งต่าง ๆ อย่างน้อยแสดงว่ามหาเถรสมาคมมีความกล้าหาญทางจริยธรรมอยู่บ้าง แต่แล้วความกล้าหาญที่ว่านี้ก็ปลาสนาการไป เพราะคณะพระธรรมกายมีเงินและอำนาจมากมายมหาศาล ที่จะซื้อกรรมการมหาเถรสมาคมได้แทบทั้งหมด ยังท่านผู้รักษาการในตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช ก็ปกป้องคณะพระธรรมกายมาโดยตลอด ถึงกับไปร่วมเดินกับคณะนี้เมื่อเร็ว ๆ นี้ โดยอ้างว่านั่นเป็นธุดงควัตร แถมว่าที่สังฆราชยังออกว่า “เดินบนดอกไม้นุ่มดี ไม่เคยมีประสบการณ์เช่นนี้มาก่อน” แล้วคนอย่างนี้จะปล่อยให้เป็นสังฆราชได้หรือ ถ้าได้เป็น การพระศาสนาจะทรุดโทรมไปยิ่งกว่านี้เหลือคณานับ
“สิ่งซึ่งสังคมไทยต้องการในขณะนี้คือพระภิกษุสงฆ์ ซึ่งทรงไว้ซึ่งศีลาจารวัตร ประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัยที่เนื้อหาสาระ ยกตัวอย่างเช่น มีคนต้องการเอารถยนต์ไปถวายวัดหนองป่าพง ท่านอาจารย์ชา สุภัทฺโท เรียกประชุมสงฆ์ว่าสมควรจะรับยานพาหนะดังกล่าวหรือไม่ สงฆ์ส่วนใหญ่เห็นว่าการมีรถยนต์จะช่วยให้พระภิกษุสามเณรสะดวกในการเดินทางไปไหนมาไหน ครั้นท่านอาจารย์ชาถามสังฆบริษัทว่าไม่อายชาวบ้านหรือ เพราะชาวบ้านรอบ ๆ วัด บางคนไม่มีแม้แต่เกวียน แต่เขาก็ทำบุญตักบาตรเลี้ยงพระให้มีความผาสุกตลอดมา แล้วพระไปนั่งรถยนต์เชิดหน้าชูตา จะเอาหน้าไปไว้ไหน สงฆ์ทั้งหมดจึงลงมติไม่รับรถยนต์ที่ทายกต้องการจะถวาย
“ขอให้เปรียบเทียบกับกรณีเณรคำ ซึ่งซื้อรถแพง ๆ ถวายพระสังฆาธิการในคณะธรรมยุติหลายต่อหลายรูป อันเป็นการติดสินบนนั่นเอง หากพระมหาเถระเหล่านั้นพากันพูดว่า “นี่เป็นของถวาย ไม่รับก็จะขัดศรัทธาเขา” พระสังฆาธิการเป็นอันมาก มีรถยนต์แพง ๆ กุฏิอันหรูหราฟ่าแฟ่ ติดแอร์ มีเครื่องรับโทรทัศน์ติดดาวเทียม ซึ่งจะดูหนังลามกอย่างไรก็ได้ แล้วนี่ไม่นำความหายนะมาสู่คณะสงฆ์หรอกหรือ
“ชีวิตพรหมจรรย์แปลว่าชีวิตอันประเสริฐ ต้องต่างไปจากชีวิตชาวบ้าน ซึ่งเป็นกามโภคี พระภิกษุสามเณรต้องเจริญเนกขัมมปฏิปทา แม่นทั้งทางศีลสิกขาและเจริญจิตสิกขา เพื่ออบรมตัวเองให้เข้าถึงปัญญา จะได้แลเห็นสิ่งต่าง ๆ ตามสภาพความเป็นจริงที่แท้ ถ้าไตรสิกขาเป็นเพียงคำพูด โดยไม่ประพฤติปฏิบัติตามที่เนื้อหาสาระ พระศาสนาก็ย่อมจะสั่นคลอนและอาจถึงซึ่งความอับปางก็ได้ ภายในชั่วอายุของกรรมการมหาเถรสมาคมในบัดนี้นี่เอง”
http://www.manager.co.th/politics/viewnews.aspx?NewsID=9580000021340
เปิดหลักฐาน! หนังสือมติมหาเถรสมาคมตั้งแต่ปี 2542 รับสนองพระดำริ “สมเด็จพระสังฆราช” จัดการให้ “ธัมมชโย” อาบัติปาราชิก จากคดียักยอกเงิน - ที่ดินวัดเป็นของตัวเอง แต่ผ่านมาเกือบ 18 ปี กลับเงียบหายไม่ทำอะไรเลย
วานนี้ (1 มี.ค.) ทางเพจ “Thai News Online” ได้โพสต์ภาพหนังสือมติมหาเถรสมาคม พร้อมด้วย พระลิขิต 5 ฉบับ ของสมเด็จพระสังฆราช โดยระบุว่า ...
เปิดหลักฐานเด็ด! เมื่อมหาเถรฯ ไร้สัจจะ ต่อสมเด็จพระสังฆราช ว่า จะดำเนินการตามพระบัญชา ตามที่มีพระลิขิตและพระดำริ ให้ ธัมมชโย ต้อง อาบัติปาราชิก ขาดจากความเป็นภิกษุ ในคดียักยอกเงินและที่ดินของวัดเป็นของตนเอง และ บิดเบือนพระธรรมวินัยและพระไตรปิฎก
แต่ มหาเถรสมาคม (มส.) กลับไร้สัจจะวาจาโดยเล่นลิ้นกลับคำพูด ที่เคยได้ลั่นวาจาไว้ ต่อองค์ สมเด็จสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ว่า จะรับสนองพระราชดำริให้เป็นไปตามกฎหมาย และตามพระธรรมวินัย และ กฎมหาเถรสมาคม จนผ่านมาแล้ว 17 ปี มหาเถรสมาคม ยังไม่ปฏิบัติตามที่ทรงสั่งและที่เคยลั่นวาจาเอาไว้ !!!!
เปิดพระลิขิต 5 ฉบับ สมเด็จพระสังฆราช
....ทรงชี้ขาด “ธัมมชโย” อาบัติปาราชิก ....
รวบรวมเอาเนื้อหาของพระลิขิตทั้ง 5 ฉบับ ของสมเด็จพระสังฆราช มาแสดงดังนี้
ฉบับที่ 1
“ความบิดเบือนพระพุทธธรรมคำสอน โดยกล่าวหาว่าพระไตรปิฎกบกพร่อง เป็นการทำให้สงฆ์ที่หลงเชื่อคำบิดเบือน แตกแยกออกไปกลายเป็นสอง มีความเข้าใจความเชื่อถือพระพุทธศาสนาตรงกันข้ามเป็นการทำลายพระพุทธศาสนา ทำสงฆ์ให้แตกแยกเป็นอนันตริยกรรม มีโทษทั้งปัจจุบันและอนาคตที่หนัก ส่วนที่มิใช่เป็นการลงโทษ แต่เป็นการกระทำที่ถูกต้อง คือ ต้องมอบสมบัติทั้งหมดที่เกิดขึ้นในขณะเป็นพระให้แก่วัดทันที
ส่วนที่มิใช่เป็นการลงโทษ แต่เป็นการทำที่ถูกต้อง คือต้องมอบสมบัติทั้งหมดที่เกิดขึ้นในขณะที่เป็นพระ ให้แก่วัด ทันที (5 เมษายน พ.ศ. 2542)
หลังจากที่สมเด็จพระสังฆราช ได้มีพระลิขิตฉบับที่ 1 ออกมาแล้วนั้น อดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายก็ยังมิได้คืนทรัพย์ทั้งหมดแก่วัด สมเด็จพระสังฆราชจึงมีพระลิขิตฉบับอื่นๆ ตามมาดังต่อไปนี้
ฉบับที่ 2
ไม่คิดให้มีโทษ เพราะคิดในแง่ยกประโยชน์ให้ ว่า ในขั้นต้นอาจมิใช่มีเจตนาถือเอาสมบัติของวัดเป็นของตนจริงๆ แต่เมื่อถึงอย่างไรก็ไม่ยอมมอบคืนสมบัติทั้งหมดที่เกิดขึ้นในขณะเป็นพระ ให้แก่วัด ก็แสดงชัดแจ้ง ว่า ต้องอาบัติปาราชิก ต้องพ้นจากความเป็นสมณะโดยอัตโนมัติ ต้องถูกจัดการอย่างเด็ดขาด เช่นเดียวกับผู้ที่ไม่ใช่พระปลอมเป็นพระ ด้วยการนำผ้ากาสาวพัสตร์ไปครอง ทำความเศร้าหมองเสื่อมเสีย ให้เกิดแก่สงฆ์ในพระพุทธศาสนา
(สมเด็จพระญาณสังวร)
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
วัดบวรนิเวศวิหาร กทม.
26 เมษายน พ.ศ.2542
ฉบับที่ 3
การโกงสมบัติผู้อื่นตั้งแต่ 5 มาสกขึ้นไปคือประมาณไม่ถึง 300 บาทในปัจจุบัน ภิกษุนั้นต้องอาบัติปาราชิกฐานผิดพระธรรมวินัยพ้นจากความเป็นพระทันที ในกรณีนี้ไม่ว่าจะเป็นผู้รู้เห็นหรือไม่ ไม่ว่าจะมีการสั่งให้สึก ไม่ว่าจะมีการจับสึกหรือไม่ก็ตาม
ภิกษุผู้ละเมิดพระธรรมวินัยข้อนี้ต้องอาบัติปาราชิก พ้นจากความเป็นพระโดยอัตโนมัติ ที่ประกาศเป็นลายลักษณ์อักษรก็เพื่อเตือนให้รู้ทั่วกันว่า ผู้ต้องอาบัติปาราชิกนั้นไม่ใช่พระในพุทธศาสนา เป็นเพียงผู้นำผ้ากาสาวพัสตร์ไปครอง เป็นพระปลอม
ต่อจากนั้น ย่อมเป็นหน้าที่โดยตรงของผู้รักษากฎหมาย หรือของผู้มีหน้าที่ในการพุทธศาสนา จะต้องรักษาพระพุทธศาสนาไม่ให้มีพระปลอมมาทำลาย ทำให้เสื่อมเสีย เช่น ที่ผู้รักษากฎหมายเคยทำมาแล้ว เคยบังคับให้เป็นผู้ปลอมเป็นพระ ถอดผ้ากาสาวพัสตร์ออกจากตัว การปฏิบัติต่อพระปลอมต้องไม่มีแตกต่างกัน ต้องไม่มียกเว้นว่า คนนั้นปลอมได้คนนี้ปลอมไม่ได้ เป็นพระปลอมมีอยู่ในพุทธศาสนาไม่ได้ทั้งนั้น
ประกาศนั้นเป็นคำบอกเล่าเป็นคำเตือนให้รู้ เป็นเรื่องส่วนตัวไม่เกี่ยวข้องกับมหาเถรฯไม่บังคับให้เชื่อ ไม่บังคับใครให้ทำอะไร แสดงความถูกผิดให้ปรากฏอยู่เท่านั้น ในฐานะที่เป็นประมุขแห่งสงฆ์ในพระพุทธศาสนา จึงต้องทำหน้าที่ส่วนตนให้เรียบร้อยถูกต้อง บอกความจริงด้วยความหวังดีมิได้บังคับ จงเข้าใจทั่วกัน
ฉบับที่ 4
ในกรณีเกี่ยวกับเรื่องวัดพระธรรมกาย เราได้ทำหน้าที่ของสมเด็จพระสังฆราชสมบูรณ์ตามอำนาจแล้ว จึงไม่มีอะไรจะพูดอีกขณะนี้ ขออนุโมทนาทุกท่านที่สนใจห่วงใยพระพุทธศาสนา แสดงความเป็นคนดี ด้วยมีกตัญญูกตเวทิตาธรรม
(สมเด็จพระญาณสังวร)
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
วัดบวรนิเวศวิหาร กทม.
1 พฤษภาคม พ.ศ.2542
ฉบับที่ 5
ได้แจ้งให้เป็นที่เข้าชัดเจนดีทั่วกันแล้วก่อนหน้านี้ ว่า ในตำแหน่งผู้เป็นสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ได้ทำหน้าที่เกี่ยวกับเรื่องอดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย เพื่อเทิดทูนรักษาพระพุทธศาสนาให้พ้นถูกทำลาย สมบูรณ์ดีที่สุดแล้วตามอำนาจ ท่านกรรมการมหาเถรสมาคมทั้งหลายจะทำอะไรต่อไปตามความต้องการ จะไม่มานั่งฟัง รับรู้ในที่ประชุมวันนี้ ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2542
(สมเด็จพระญาณสังวร)
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
วัดบวรนิเวศวิหาร กทม.
10 พฤษภาคม พ.ศ.2542
http://www.manager.co.th/HotShare/ViewNews.aspx?NewsID=9600000021462
((มาลาริน))^_^ ชวนอ่าน> ส.ศิวรักษ์” ชี้ความอัปลักษณ์ของมส. /เปิดหลักฐานมส.ไร้สัจจะต่อ “พระสังฆราช” รับปากจัดการ“ธัมมชโย"
ส.ศิวรักษ์” ระบุมหาเถรสมาคม ลงมติ “ธมฺมชโย” ไม่ปาราชิก ถือเป็น ความอัปลักษณ์ของกรรมการมหาเถรสมาคม เหน็บ น่าจะมีชนักติดหลังทำนองเดียวกัน ชี้เป็นการตะแบงพระวินัย ทั้งที่ลายพระหัตถ์สมเด็จพระสังฆราชชี้ชัดว่า ต้องอทินนาทานปาราชิก
กรณีที่ประชุมมหาเถรสมาคม (มส.) ซึ่งมีสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญฺโญ) ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ เป็นประธานการประชุม วานนี้ (20 ก.พ.) มีมติว่า พระเทพญาณมหามุนี หรือ พระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย และประธานมูลนิธิธรรมกาย ไม่ขาดปาราชิกขาดจากความเป็นภิกษุ แม้จะมีพระลิขิตของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ลงวันที่ 26 เมษายน 2542 เนื่องจากได้มีการคืนทรัพย์สินทั้งหมดให้กับวัด ซึ่งเป็นประเด็นปัญหาในช่วงนั้น นายสุลักษณ์ ศิวรักษ์ หรือ ส.ศิวรักษ์ นักคิดนักเขียนชื่อดังได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กแฟนเพจ Sulak Sivaraksa เมื่อเวลา 09.12 น.วันนี้(21 ก.พ.) แสดงความเห็นต่อมติดังกล่าวไว้น่าสนใจว่า การที่ มส. ลงมติ ว่า ธัมมชโยไม่เป็นปาราชิกนั้น แสดงว่า มส. ที่ลงคะแนนให้ ธมฺมช น่าจะมีชนักติดหลังในทำนองเดียวกัน
“ในเมื่อลายพระหัตถ์สมเด็จพระสังฆราชชี้ชัดว่าบุคคลผู้นี้ต้องอทินนาทานปาราชิก แล้วกรรมการมหาเถรสมาคมซึ่งอ้างว่าเคารพสมเด็จพระสังฆบิดร กลับไม่ทำตามมติสมเด็จพระสังฆราช โดยที่อ้างว่าเขาคืนเงินให้แล้ว เป็นอันหมดมลทิน นั่นเป็นเรื่องตะแบงพระวินัยอย่างชัดเจน
.
“แต่นี่ไม่ใช่คราวแรกที่มหาเถรสมาคมมีพฤติกรรมเช่นนี้ เช่นเมื่อคราวกิตฺติวุฒฺโฑภิกขุสั่งรถวอลโว่เข้ามาโดยไม่ยอมเสียภาษี นี่ก็เป็นอทินนาทานปาราชิกเช่นเดียวกัน เพราะพระมีค่าเพียงแค่เงินบาทเดียว ฉ้อฉลเพียงบาทเดียวก็ต้องอทินนาทานปาราชิกหมดความเป็นภิกษุภาวะ คราวกิตฺติวุฒฺโฑ มหาเถรสมาคมก็ลงมติว่าเป็นนิสสัคคียปาจิตตีย์ และให้เอาเงินไปเสียภาษี เพื่อจบเรื่อง ดังกรณีธัมฺมชโยก็เช่นกัน อ้างว่าได้คืนเงินคืนทองไปแล้ว ยังสามารถคงความเป็นลัชชีไว้ได้ นี่เป็นตัวอย่างแห่งความอัปลักษณ์ของกรรมการมหาเถรสมาคม
.
“เมื่อถอดสมภารวัดสระเกศออกจากมหาเถรสมาคม และจากตำแหน่งต่าง ๆ อย่างน้อยแสดงว่ามหาเถรสมาคมมีความกล้าหาญทางจริยธรรมอยู่บ้าง แต่แล้วความกล้าหาญที่ว่านี้ก็ปลาสนาการไป เพราะคณะพระธรรมกายมีเงินและอำนาจมากมายมหาศาล ที่จะซื้อกรรมการมหาเถรสมาคมได้แทบทั้งหมด ยังท่านผู้รักษาการในตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช ก็ปกป้องคณะพระธรรมกายมาโดยตลอด ถึงกับไปร่วมเดินกับคณะนี้เมื่อเร็ว ๆ นี้ โดยอ้างว่านั่นเป็นธุดงควัตร แถมว่าที่สังฆราชยังออกว่า “เดินบนดอกไม้นุ่มดี ไม่เคยมีประสบการณ์เช่นนี้มาก่อน” แล้วคนอย่างนี้จะปล่อยให้เป็นสังฆราชได้หรือ ถ้าได้เป็น การพระศาสนาจะทรุดโทรมไปยิ่งกว่านี้เหลือคณานับ
“สิ่งซึ่งสังคมไทยต้องการในขณะนี้คือพระภิกษุสงฆ์ ซึ่งทรงไว้ซึ่งศีลาจารวัตร ประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัยที่เนื้อหาสาระ ยกตัวอย่างเช่น มีคนต้องการเอารถยนต์ไปถวายวัดหนองป่าพง ท่านอาจารย์ชา สุภัทฺโท เรียกประชุมสงฆ์ว่าสมควรจะรับยานพาหนะดังกล่าวหรือไม่ สงฆ์ส่วนใหญ่เห็นว่าการมีรถยนต์จะช่วยให้พระภิกษุสามเณรสะดวกในการเดินทางไปไหนมาไหน ครั้นท่านอาจารย์ชาถามสังฆบริษัทว่าไม่อายชาวบ้านหรือ เพราะชาวบ้านรอบ ๆ วัด บางคนไม่มีแม้แต่เกวียน แต่เขาก็ทำบุญตักบาตรเลี้ยงพระให้มีความผาสุกตลอดมา แล้วพระไปนั่งรถยนต์เชิดหน้าชูตา จะเอาหน้าไปไว้ไหน สงฆ์ทั้งหมดจึงลงมติไม่รับรถยนต์ที่ทายกต้องการจะถวาย
“ขอให้เปรียบเทียบกับกรณีเณรคำ ซึ่งซื้อรถแพง ๆ ถวายพระสังฆาธิการในคณะธรรมยุติหลายต่อหลายรูป อันเป็นการติดสินบนนั่นเอง หากพระมหาเถระเหล่านั้นพากันพูดว่า “นี่เป็นของถวาย ไม่รับก็จะขัดศรัทธาเขา” พระสังฆาธิการเป็นอันมาก มีรถยนต์แพง ๆ กุฏิอันหรูหราฟ่าแฟ่ ติดแอร์ มีเครื่องรับโทรทัศน์ติดดาวเทียม ซึ่งจะดูหนังลามกอย่างไรก็ได้ แล้วนี่ไม่นำความหายนะมาสู่คณะสงฆ์หรอกหรือ
“ชีวิตพรหมจรรย์แปลว่าชีวิตอันประเสริฐ ต้องต่างไปจากชีวิตชาวบ้าน ซึ่งเป็นกามโภคี พระภิกษุสามเณรต้องเจริญเนกขัมมปฏิปทา แม่นทั้งทางศีลสิกขาและเจริญจิตสิกขา เพื่ออบรมตัวเองให้เข้าถึงปัญญา จะได้แลเห็นสิ่งต่าง ๆ ตามสภาพความเป็นจริงที่แท้ ถ้าไตรสิกขาเป็นเพียงคำพูด โดยไม่ประพฤติปฏิบัติตามที่เนื้อหาสาระ พระศาสนาก็ย่อมจะสั่นคลอนและอาจถึงซึ่งความอับปางก็ได้ ภายในชั่วอายุของกรรมการมหาเถรสมาคมในบัดนี้นี่เอง”
http://www.manager.co.th/politics/viewnews.aspx?NewsID=9580000021340
เปิดหลักฐาน! หนังสือมติมหาเถรสมาคมตั้งแต่ปี 2542 รับสนองพระดำริ “สมเด็จพระสังฆราช” จัดการให้ “ธัมมชโย” อาบัติปาราชิก จากคดียักยอกเงิน - ที่ดินวัดเป็นของตัวเอง แต่ผ่านมาเกือบ 18 ปี กลับเงียบหายไม่ทำอะไรเลย
วานนี้ (1 มี.ค.) ทางเพจ “Thai News Online” ได้โพสต์ภาพหนังสือมติมหาเถรสมาคม พร้อมด้วย พระลิขิต 5 ฉบับ ของสมเด็จพระสังฆราช โดยระบุว่า ...
เปิดหลักฐานเด็ด! เมื่อมหาเถรฯ ไร้สัจจะ ต่อสมเด็จพระสังฆราช ว่า จะดำเนินการตามพระบัญชา ตามที่มีพระลิขิตและพระดำริ ให้ ธัมมชโย ต้อง อาบัติปาราชิก ขาดจากความเป็นภิกษุ ในคดียักยอกเงินและที่ดินของวัดเป็นของตนเอง และ บิดเบือนพระธรรมวินัยและพระไตรปิฎก
แต่ มหาเถรสมาคม (มส.) กลับไร้สัจจะวาจาโดยเล่นลิ้นกลับคำพูด ที่เคยได้ลั่นวาจาไว้ ต่อองค์ สมเด็จสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ว่า จะรับสนองพระราชดำริให้เป็นไปตามกฎหมาย และตามพระธรรมวินัย และ กฎมหาเถรสมาคม จนผ่านมาแล้ว 17 ปี มหาเถรสมาคม ยังไม่ปฏิบัติตามที่ทรงสั่งและที่เคยลั่นวาจาเอาไว้ !!!!
เปิดพระลิขิต 5 ฉบับ สมเด็จพระสังฆราช
....ทรงชี้ขาด “ธัมมชโย” อาบัติปาราชิก ....
รวบรวมเอาเนื้อหาของพระลิขิตทั้ง 5 ฉบับ ของสมเด็จพระสังฆราช มาแสดงดังนี้
ฉบับที่ 1
“ความบิดเบือนพระพุทธธรรมคำสอน โดยกล่าวหาว่าพระไตรปิฎกบกพร่อง เป็นการทำให้สงฆ์ที่หลงเชื่อคำบิดเบือน แตกแยกออกไปกลายเป็นสอง มีความเข้าใจความเชื่อถือพระพุทธศาสนาตรงกันข้ามเป็นการทำลายพระพุทธศาสนา ทำสงฆ์ให้แตกแยกเป็นอนันตริยกรรม มีโทษทั้งปัจจุบันและอนาคตที่หนัก ส่วนที่มิใช่เป็นการลงโทษ แต่เป็นการกระทำที่ถูกต้อง คือ ต้องมอบสมบัติทั้งหมดที่เกิดขึ้นในขณะเป็นพระให้แก่วัดทันที
ส่วนที่มิใช่เป็นการลงโทษ แต่เป็นการทำที่ถูกต้อง คือต้องมอบสมบัติทั้งหมดที่เกิดขึ้นในขณะที่เป็นพระ ให้แก่วัด ทันที (5 เมษายน พ.ศ. 2542)
หลังจากที่สมเด็จพระสังฆราช ได้มีพระลิขิตฉบับที่ 1 ออกมาแล้วนั้น อดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายก็ยังมิได้คืนทรัพย์ทั้งหมดแก่วัด สมเด็จพระสังฆราชจึงมีพระลิขิตฉบับอื่นๆ ตามมาดังต่อไปนี้
ฉบับที่ 2
ไม่คิดให้มีโทษ เพราะคิดในแง่ยกประโยชน์ให้ ว่า ในขั้นต้นอาจมิใช่มีเจตนาถือเอาสมบัติของวัดเป็นของตนจริงๆ แต่เมื่อถึงอย่างไรก็ไม่ยอมมอบคืนสมบัติทั้งหมดที่เกิดขึ้นในขณะเป็นพระ ให้แก่วัด ก็แสดงชัดแจ้ง ว่า ต้องอาบัติปาราชิก ต้องพ้นจากความเป็นสมณะโดยอัตโนมัติ ต้องถูกจัดการอย่างเด็ดขาด เช่นเดียวกับผู้ที่ไม่ใช่พระปลอมเป็นพระ ด้วยการนำผ้ากาสาวพัสตร์ไปครอง ทำความเศร้าหมองเสื่อมเสีย ให้เกิดแก่สงฆ์ในพระพุทธศาสนา
(สมเด็จพระญาณสังวร)
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
วัดบวรนิเวศวิหาร กทม.
26 เมษายน พ.ศ.2542
ฉบับที่ 3
การโกงสมบัติผู้อื่นตั้งแต่ 5 มาสกขึ้นไปคือประมาณไม่ถึง 300 บาทในปัจจุบัน ภิกษุนั้นต้องอาบัติปาราชิกฐานผิดพระธรรมวินัยพ้นจากความเป็นพระทันที ในกรณีนี้ไม่ว่าจะเป็นผู้รู้เห็นหรือไม่ ไม่ว่าจะมีการสั่งให้สึก ไม่ว่าจะมีการจับสึกหรือไม่ก็ตาม
ภิกษุผู้ละเมิดพระธรรมวินัยข้อนี้ต้องอาบัติปาราชิก พ้นจากความเป็นพระโดยอัตโนมัติ ที่ประกาศเป็นลายลักษณ์อักษรก็เพื่อเตือนให้รู้ทั่วกันว่า ผู้ต้องอาบัติปาราชิกนั้นไม่ใช่พระในพุทธศาสนา เป็นเพียงผู้นำผ้ากาสาวพัสตร์ไปครอง เป็นพระปลอม
ต่อจากนั้น ย่อมเป็นหน้าที่โดยตรงของผู้รักษากฎหมาย หรือของผู้มีหน้าที่ในการพุทธศาสนา จะต้องรักษาพระพุทธศาสนาไม่ให้มีพระปลอมมาทำลาย ทำให้เสื่อมเสีย เช่น ที่ผู้รักษากฎหมายเคยทำมาแล้ว เคยบังคับให้เป็นผู้ปลอมเป็นพระ ถอดผ้ากาสาวพัสตร์ออกจากตัว การปฏิบัติต่อพระปลอมต้องไม่มีแตกต่างกัน ต้องไม่มียกเว้นว่า คนนั้นปลอมได้คนนี้ปลอมไม่ได้ เป็นพระปลอมมีอยู่ในพุทธศาสนาไม่ได้ทั้งนั้น
ประกาศนั้นเป็นคำบอกเล่าเป็นคำเตือนให้รู้ เป็นเรื่องส่วนตัวไม่เกี่ยวข้องกับมหาเถรฯไม่บังคับให้เชื่อ ไม่บังคับใครให้ทำอะไร แสดงความถูกผิดให้ปรากฏอยู่เท่านั้น ในฐานะที่เป็นประมุขแห่งสงฆ์ในพระพุทธศาสนา จึงต้องทำหน้าที่ส่วนตนให้เรียบร้อยถูกต้อง บอกความจริงด้วยความหวังดีมิได้บังคับ จงเข้าใจทั่วกัน
ฉบับที่ 4
ในกรณีเกี่ยวกับเรื่องวัดพระธรรมกาย เราได้ทำหน้าที่ของสมเด็จพระสังฆราชสมบูรณ์ตามอำนาจแล้ว จึงไม่มีอะไรจะพูดอีกขณะนี้ ขออนุโมทนาทุกท่านที่สนใจห่วงใยพระพุทธศาสนา แสดงความเป็นคนดี ด้วยมีกตัญญูกตเวทิตาธรรม
(สมเด็จพระญาณสังวร)
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
วัดบวรนิเวศวิหาร กทม.
1 พฤษภาคม พ.ศ.2542
ฉบับที่ 5
ได้แจ้งให้เป็นที่เข้าชัดเจนดีทั่วกันแล้วก่อนหน้านี้ ว่า ในตำแหน่งผู้เป็นสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ได้ทำหน้าที่เกี่ยวกับเรื่องอดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย เพื่อเทิดทูนรักษาพระพุทธศาสนาให้พ้นถูกทำลาย สมบูรณ์ดีที่สุดแล้วตามอำนาจ ท่านกรรมการมหาเถรสมาคมทั้งหลายจะทำอะไรต่อไปตามความต้องการ จะไม่มานั่งฟัง รับรู้ในที่ประชุมวันนี้ ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2542
(สมเด็จพระญาณสังวร)
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
วัดบวรนิเวศวิหาร กทม.
10 พฤษภาคม พ.ศ.2542
http://www.manager.co.th/HotShare/ViewNews.aspx?NewsID=9600000021462