องครักษ์ดาบทอง ตอนที่ 4

กระทู้สนทนา
องครักษ์ดาบทอง ตอนที่ 1 http://ppantip.com/topic/33145515
องครักษ์ดาบทอง ตอนที่ 2 http://ppantip.com/topic/33149824
องครักษ์ดาบทอง ตอนที่ 3 http://ppantip.com/topic/33154416

ชายแดนภาคเหนือหลายวันมานี้คึกคักเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นด้วยขบวนคาราวานพ่อค้าขนแกะหรือเครื่องเทศที่ขนกันมาพะรุงพะรัง เสียงเครื่องทองเหลืองกระทบกันสดใสราวกับเสียงหัวเราะของดรุณีสาวแรกรุ่น ร้านรวงทั้งร้านอาหาร เครื่องประดับ แพรพรรณก็กลับมามีชีวิตชีวา "ระหว่างนี้พ่อค้าเร่จากนอกด่านเดินทางผ่านไปหลายขบวน ดูไม่ใคร่ปกตินัก ผู้น้อยเห็นว่าควรจะเรียกมาสอบถามเพื่อความไม่ประมาท" นายสิบในวัยฉกรรจ์ผู้หนึ่งรายงานจากการสังเกตผู้ที่เดินทางผ่านเข้ามา "เรื่องนี้เป็นแนวนโยบายผ่อนปรนจากส่วนกลาง สงครามระหว่างชาวนอกด่านสงบลงนานแล้ว ควรเร่งฟื้นความสัมพันธ์และความมั่งคั่งโดยการติดต่อค้าขาย" ผู้ตอบเป็นนายทหารหนุ่มหน้าขาวปากแดง เห็นชัดได้ว่าไม่เคยตรากตรำลำบาก แม้แต่ประสบการณ์สู้รบในสมรภูมิก็คงไม่มี บ้านเมืองอยู่ด้วยความสงบมานานเกินไป "ทางที่ดีท่านควรกำชับกวดขันทหารเรื่องเก็บอากรจะดูมีประโยชน์กว่า" คำพูดที่ดูเขื่องโขจากเด็กฟันไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมกลับดูเปล่ากลวงยิ่งนัก

ทุกเช้าไป่หยุนจะลุกขึ้นฝึกกระบี่อย่างที่ทำมาตลอดสี่ห้าปีไม่เคยขาด แต่ทว่าสองสามวันมานี้ เพียงแค่ลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิตลอดหนึ่งชั่วยาม "อาจารย์มีเมตตากับเราอย่างยิ่ง การสอนกำลังภายในจะสอนให้เพียงศิษย์ที่เข้าสำนักเกินสิบปี และต้องมีผลสำเร็จในศึกษาอย่างสูง เราเข้ามาเพียงห้าปี อีกทั้งเรียนรู้ได้เพียงครึ่งหนึ่งของวิชากระบี่เมฆวายุ นับเป็นวาสนาจริงๆ" บุรษหนุ่มแซ่ซุน (เนื่องจากเป็นกำพร้าจึงใช้แซ่ตามอาจารย์) โคจรพลังลมปราณพร้อมกันสองสาย ซีกขวาของร่างกายผลักดันออก ด้านซ้ายดูดรั้งเข้า เนื่องจากเจ้าตัวไม่เคยฝึกกำลังภายในมาก่อน พลังลมปราณจึงมีไม่มากเท่าใด ผ่านไปครึ่งชั่วยามจึงเปลี่ยนเป็นซ้ายผลักออก ขวาดึงเข้า การละเล่นเช่นนี้น่าสนใจและตื่นเต้นกว่าการฝึกกระบี่ แต่อาจารย์ได้สั่งสอนไว้แล้วว่าหากมีแต่กำลังภายใน แต่ไม่สามารถพลิกแพลงใช้ออกร่วมกับวิชาอาวุธก็ยังคงเสียเปรียบศัตรู เนื่องด้วยหากไม่สามารถเข้าถึงตัวคู่ต่อสู้ได้ก็ไม่สามารถใช้ประโยชน์อันใดจากพลังภายใน การฝึกนี้มีกำหนดร้อยวัน เมื่อครบอาจารย์จึงจะเรียกไปทดสอบอีกครั้ง

"ท่านแม่ ลูกหนาวเหลือเกิน" หยุนเซียงที่เคยร่าเริงสดใส ตอนนี้หน้าซีดขาวราวกระดาษ ริมฝีปากเป็นสีคล้ำปราศจากสีเลือด มารดาของนางซึ่งก็คืออาจารย์หญิงของสำนักน้ำตาหลั่งไหลเป็นสายด้วยความสงสารบุตรีคนเล็ก เจ้าสำนักกรอกยาถ้วยที่สี่ให้กับบุตรีรัก โรคที่นางเป็นมิได้เกิดแต่ภายนอก หากแต่เป็นโรคพิศดารอันถ่ายทอดจากผู้เป็นบิดา หลายสิบปีก่อนขณะที่ซุนเมิ่งหยุนยังหนุ่มฉกรรจ์ระหว่างท่องเที่ยวหาประสบการณ์ กลับโดนพิษเย็นทำลายสมดุลย์หยินในร่างกาย ทุกวันนี้ยังคงต้องระมัดระวังในการรับประทานเพื่อมิให้หยางบกพร่อง แม้กระนั้นบางคราวยังรู้สึกสะท้านหนาว ต้องรีบดื่มยาที่มีฤทธิ์หยางต้านความเย็น สงสารแต่บุตรีเยาว์วัยได้รับลมปราณเย็นที่ได้รับถ่ายทอดตั้งแต่อยู่ในครรภ์ ลมปราณเย็นนั้นปกคลุมหัวใจ หากกำเริบขึ้นบุตรสาวจะรู้สึกหนาวเย็นแม้ห่มคลุมแน่นหนาเท่าใดกลับไม่ช่วยอันใด แม้แต่ตัวยาใดก็ไม่สามารถรักษาได้เนื่องด้วยเป็นการเจ็บป่วยโดยลมปราณ ผู้ใช้พิษชนิดนี้กล่าวได้ว่า ชั่วร้ายอำมหิตยิ่งนัก

หยวนจินที่กำยำล่ำสัน จู่ๆ ก็ป่วยล้มหมอนนอนเสื่อ ไม่ได้ออกไปให้บิดา มารดาเลี้ยงและพี่น้องเห็นหน้าหลายวันแล้ว เสี่ยวชิงที่คอยดูแลก็ออกจะดูแลใกล้ชิดไปบ้าง แม้ในยามวิกาลก็ย้ายมาอาศัยห้องข้างๆ เพื่อคอยปรนนิบัติ ฝ่ายประมุขหมู่ตึกนั้นมีภาระกิจมาก ส่วนมารดาเลี้ยงนั้นก็หาได้แยแสสนใจ เนื่องด้วยเป็นแต่ภรรยาน้อยมาก่อน ไม่อาจว่ากล่าวบุตรคนโตผู้รับช่วงสืบทอดสกุลหยวนได้ บ่าวไพร่มากมายมิใช่จะไม่รู้ ด้วยเสียงหยอกเย้าเว้าวอนราวกับคู่รักใหม่เล็ดลอดออกมาเป็นระยะ แต่จะมีใครกล้าทำตัวให้ว่าที่ประมุขคนต่อไปชังน้ำหน้า นี่เรียกว่า พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทองอย่างแท้จริง อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ยังไม่ทราบถึงอาจารย์วิชาบู๊หวงถู่ซาน ซึ่งช่วงนี้ยังคงเก็บตัวเงียบ หาวิธีกอบกู้ชื่อเสียงให้ศิษย์รัก

เมิ่งหยุนเปิดหีบโบราณที่สลักกุญแจขึ้นสนิมจนแทบเปิดไม่ออก ภายในวางไว้ด้วยดาบคู่หนึ่ง หลังจากเหม่อมองด้วยความซึมเซาคล้ายภาพในอดีตผุดขึ้นมาฉายซ้ำอีกครั้ง ก็ค่อยๆ หยิบดาบหน้ากว้างขึ้นมาร่ายรำด้วยความแคล่วคล่องอย่างน่าตกใจ แม้เวลาผ่านไปนานเกือบสามสิบปี แต่ดาบคู่มือก็ยังคงซื่อสัตย์เหมือนมิตรสหายที่คบหากันมานาน เจ้าสำนักวัยกลางคนมิได้หยุดยั้งลงเพราะความเหนื่อยล้า หากแต่สมใจแล้วจึงยืนนิ่งมองดูดาบหน้าแคบที่วางสงบอยู่ ดาบเอยจะรู้หรือไม่ว่า เจ้าของเป็นเช่นไรแล้ว ซุนเมิ่งหยุนได้แต่พึมพำส่ายหน้าและหลับตาลง

สายลับชนเผ่านอกด่าน หลายวันมานี้รู้สึกเหมือนโดนสะกดรอยตาม บางคราวรู้สึกเหมือนมีคนติดตามอยู่ด้านหลัง บางครั้งเหมือนโดนจับจ้องจากด้านข้าง ยามนอนบางทีได้ยินเสียงแปลกๆ จากทางนั้นบ้าง ทางนี้บ้าง จึงมีท่าทางอิดโรยเหมือนคนอดนอน "หากเป็นเช่นนี้อีกแปดวันสิบวัน คงต้องล้มป่วยตายเพราะสิ้นเรี่ยวแรง" จารชนผู้นี้ครุ่นคิดด้วยความอึดอัดขัดข้อง ย้อนนึกถึงคราวตัวเองเป็นผู้กระทำจึงเข้าใจความรู้สึกของผู้ที่โดนติดตามไล่ล่าว่าจะละล้าละลัง ประสาทเสียเพียงใด เวลานั้นเพิ่งพ้นยามหนึ่งมาไม่นาน "ออกมาเถอะ เรารู้ว่าท่านอยู่แถวนี้" ทันใดนั้นมีเงาร่างค่อยๆ ปรากฏขึ้นบนกิ่งไม้ใหญ่ พอเพ่งมองดีๆ ก็เห็นเป็นใบหน้าที่ซีดเฉยราวกับคนตาย ใบหน้านั้นนิ่งเฉยไม่ขยับ "เราไม่ทราบเจตนาของท่าน ทางที่ดีต่างคนต่างอยู่จะดีกว่า" สายลับชนเผ่าผู้นี้ความจริงมีฝีมือมิใช่ชั่ว หากแต่อ่อนเพลียเนื่องจากอดนอนมาหลายคืน และเกิดความกลัวเนื่องจากไม่แน่ใจว่าผู้มาเป็นคนหรือปิศาจกันแน่
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่