ขบวนผู้ที่เข้ามาถึงส่วนมากเป็นบุรุษ เป็นสตรีสองนาง ผู้ชราหากแต่ท่วงท่ามั่นคงก้าวเดินว่องไว ชุดสีเข้มขับเน้นให้ดูองอาจห้าวหาญ ผู้เหย้าใส่ชุดคล้ายบันฑิตเร่งออกมาต้อนรับ "ผู้น้องเสียมารยาทมิได้ออกไปรับแต่ไกล" ผู้อาวุโสกว่าโบกไม้โบกมือ "อย่าได้มากพิธี" หวงถู่ซานคือผู้มาเยือน เป็นศิษย์พี่ของ ซุนเมิ่งหยุน ถู่ซานฝีมือกล้าแข็งแต่เป็นคนโลภจึงไม่ได้มีตำแหน่งในสำนัก ภายหลังยอมเป็นครูมวยให้กับตระกูลใหญ่พ่วงตำแหน่งหัวหน้าตึกคุ้มภัยด้วย เมิ่งหยุนทางด้านวิชาฝีมือไม่ได้เข้มแข็งเท่าใด วันๆ หมกมุ่นกับการค้นคว้าเคล็ดวิชาใหม่ๆ อาจารย์เห็นว่าหากยังอยู่ในสำนักความสำเร็จคงมีอย่างจำกัด จึงผลักดันให้เปิดสำนักวิชาภายใต้เครือข่ายสำนักใหญ่
เนื่องจากนัดวันนี้เป็นการขอประลองเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ ทั้งหมดจึงนั่งอยู่รอบๆ ลานฝึก ด้านซ้ายนั่งไว้ด้วยแขกผู้มาเยือน หัวแถวย่อมเป็นครูมวยแซ่หวง ถัดมาเป็นศิษย์รักบุตรชายผู้สืบทอดตระกูลใหญ่ และศิษย์ที่เหลืออื่นๆ ทางด้านขวาเป็นผู้เหย้า นำขบวนโดยเจ้าสำนักย่อย พร้อมศิษย์เอกแปดคน "วันนี้เป็นการประลองเพื่อการศึกษาหาประสบการณ์ กติกาคือจี้ถึงก็หยุดมือ" แท้จริงบุตรชายคนโตตระกูลใหญ่ หยวนจิน พึงตาต้องใจ บุตรีคนโตของเจ้าสำนักเมฆวายุ หาเรื่องให้อาจารย์พามาประลอง "ลูกศิษย์เราเกิดในตระกูลค้าขาย ไม่ได้มีร่างกายแข็งแรงทรหด รบกวนน้องเราช่วยหาคู่มือที่ทัดเทียมจึงจะเหมาะสมในการเรียนรู้" เจ้าสำนักซุนหันมองศิษย์เอกแต่ละคน เนื่องจากเกิดในตระกูลยากไร้รูปร่างสัดส่วนดูไปแล้วแข็งแกร่งบึกบึนยิ่งนัก หากให้ออกไปประลองลูกศิษย์ของศิษย์ผู้พี่จะเสียหน้า คิดแล้วก็พยักหน้าเรียก ไป่หยุน ศิษย์โง่งมที่เข้าสำนักมาห้าปี แต่เรียนกระบวนท่าเกือบไม่ถึงครึ่ง เจ็ดสิบสอง กระบวนท่าเมฆวายุ เป็นแต่รับปากมารดาไป่หยุนซึ่งตอนนั้นป่วยหนักและเกี่ยวดองเป็นภรรยาม่ายของศิษย์น้อง จึงรับจะดูแลส่งเสีย หากแต่ไป่หยุนเซื่องซึมโง่งม ทั้งยังสูญเสียบิดามารดา นับเป็นเรื่องที่ซุนเมิ่งหยุนติดค้างในใจตลอดมา
ฝ่ายหนึ่งอยู่ในชุดขาวสว่างคาดสีเขียวอ่อน ดูโอ่อ่า ภูมิฐานยิ่งนัก เจ้าตัวก็มีรูปร่างผึ่งผายสมชาย ใบหน้าผิวพรรณราวสลักขึ้นจากหยก แววตาเจ้าชู้กรุ้งกริ่ง อีกฟากหนึ่งยืนด้วยชายหนุ่มเพิ่งเต็มสิบห้าปี รูปร่างผอมสูงเหมือนคนไม่มีอันจะกิน ผิวค่อนข้างซีด แววตาหม่นหมองคล้ายเศร้าคล้ายไม่ยินดีกับเรื่องราวใดๆ "เริ่มประลอง" คุณชายหยวนหยั่งเชิงด้วยการปัดป่ายกระบี่ ฟันบ้างแทงบ้าง ไป่หยุนถอยร่นไปเรื่อยๆ อีกไม่ถึงยี่สิบก้าวจะโดนบีบออกจากพื้นที่ประลอง "การรุกคือการรับที่ดีที่สุด" เฟยหยุนศิษย์เอกอันดับหนึ่งพูดขึ้นลอยๆ ทันใดนั้นไป่หยุนใช้ออกด้วยกระบวนท่าที่หนึ่ง กระบี่ทะลายภูผา คุณชายหยวนตั้งดาบตรงรับกลับต้องเจอกับแรงปะทะหนักหน่วงง่ามมือปวดแปลบกระบี่แทบหลุดจากมือ ยังรักษาใบหน้าเรียบเฉยไว้ได้ แต่เริ่มมีเม็ดเหงื่อผุดจากขมับทั้งสองข้าง กระบวนท่าที่สองมารวดเร็วเกินไป กระบี่แยกศิลาเป็นกระบวนท่าที่รุนแรงหากแต่มีช่วงโหว่ อย่างไรก็ตามหากใช้ออกได้รวดเร็วและถูกจังหวะย่อมสร้างข้อได้เปรียบอย่างมาก ศิษย์เอกของหวงถู่ซานแทบรับกระบี่นี้ไม่อยู่กระบี่ห้อยตกลง เซไปข้างหลังสั้นๆ สองสามก้าว กระบวนท่าที่สามกำลังตามมา "หยุดมือ" กระบวนท่าดาบอัสนีบาต เป็นท่าที่ยากต่อการป้องกันที่สุด เพราะไม่ได้เป็นการฟันในแนวตรงหากผิดพลาดผู้ตั้งรับอาจต้องสูญเสียแขนหรือมือ ดาบของครูมวยหวงบรรลุถึงก่อนช่วงตัวของศิษย์หัวแก้วหัวแหวนจะขาดเป็นสองท่อน
"นี่เป็นเรื่องล้อเล่นอันใด" สีหน้าศิษย์พี่ของเจ้าสำนักแดงจนเกือบคล้ำ "หากเราช้าไปเพียงก้าวเดียว เกรงว่า เกรงว่า..." พูดแล้วก็ส่ายหน้า "พี่หวง เรื่องนี้อาจเป็นเรื่องเข้าใจผิดกัน ไป่หยุนศิษย์โง่งมเข้าสำนักมาห้าปี จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ยังเรียนรู้ไม่ถึงครึ่งกระบวนท่าวิชาพื้นฐาน" "หากรอให้เรียนจนครบ ศิษย์เราคงไม่มีชีวิตรอดกระมัง พวกเราไป" "ผู้น้องไม่ส่งแล้ว" เจ้าสำนักซุนไม่อาจกล่าวโทษลูกศิษย์อาภัพ เนื่องจากไม่เคยรับทราบวิชาฝีมือมาก่อน ตั้งแต่ถ่ายทอดกระบวนท่าพื้นฐานไป เมื่อสองปีก่อน เห็นว่ายังไม่คืบหน้าถึงไหน ก็ไม่ได้สนใจอีก "พี่ไป่หยุน ยอดเยี่ยมจริงๆ" เซียงเซียงบุตรีคนสุดท้องของเจ้าสำนัก ปีนี้เพิ่งสิบสามปี แต่มีดวงตากลมโตดำขลับ เห็นได้ชัดว่าต้องเติบโตเป็นสตรีสาวที่งดงามผู้หนึ่ง "หลังเวลาอาหารเย็นให้เจ้าไปพบอาจารย์ที่ห้องหนังสือ"
ซุนเมิ่งหยุน หลายปีนี้ไม่ได้ลงไปฝึกฝนให้กับลูกศิษย์อย่างใกล้ชิดเหมือนก่อน ด้วยวัยชรามากขึ้น กอปรกับมีศิษย์เอกที่พอจะช่วยดูแลกิจการแทนได้บ้าง สำนักเมฆวายุ แม้ไม่ใช่สำนักใหญ่แต่ก็เป็นเครือข่ายของ หนึ่งในสี่สำนักใหญ่ และมีความสัมพันธ์อันดี มีศิษย์ที่อยู่ประจำถึงสองร้อยคน หากนับผู้ที่อยู่นอกสำนักตามจุดที่วางไว้ก็มีถึงสองร้อยห้าสิบคน ไป่หยุนขออนุญาตก่อนก้าวย่างอย่างช้าๆ เซื่องซึมเข้ามา "เจ้าลองรำกระบี่ให้อาจารย์ดูหน่อย" เมิ่งหยุนยื่นกระบี่ประจำตัวให้ เพียงกระบวนท่าแรกก็ได้ยินเสียงกระบี่แหวกอากาศเป็นเสียงลมหวีดหวิว กระบวนท่าท้ายๆ ยิ่งมายิ่งเข้มแข็งขึ้น เทียนที่จุดไว้วูบวาบราวกับมีกระแสลมรุนแรงผ่านเข้ามา "ไฉนเป็นเช่นนี้" "แต่ละวันเจ้าทำอะไรบ้าง"
องครักษ์ดาบทองคำ ตอนที่ 1
เนื่องจากนัดวันนี้เป็นการขอประลองเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ ทั้งหมดจึงนั่งอยู่รอบๆ ลานฝึก ด้านซ้ายนั่งไว้ด้วยแขกผู้มาเยือน หัวแถวย่อมเป็นครูมวยแซ่หวง ถัดมาเป็นศิษย์รักบุตรชายผู้สืบทอดตระกูลใหญ่ และศิษย์ที่เหลืออื่นๆ ทางด้านขวาเป็นผู้เหย้า นำขบวนโดยเจ้าสำนักย่อย พร้อมศิษย์เอกแปดคน "วันนี้เป็นการประลองเพื่อการศึกษาหาประสบการณ์ กติกาคือจี้ถึงก็หยุดมือ" แท้จริงบุตรชายคนโตตระกูลใหญ่ หยวนจิน พึงตาต้องใจ บุตรีคนโตของเจ้าสำนักเมฆวายุ หาเรื่องให้อาจารย์พามาประลอง "ลูกศิษย์เราเกิดในตระกูลค้าขาย ไม่ได้มีร่างกายแข็งแรงทรหด รบกวนน้องเราช่วยหาคู่มือที่ทัดเทียมจึงจะเหมาะสมในการเรียนรู้" เจ้าสำนักซุนหันมองศิษย์เอกแต่ละคน เนื่องจากเกิดในตระกูลยากไร้รูปร่างสัดส่วนดูไปแล้วแข็งแกร่งบึกบึนยิ่งนัก หากให้ออกไปประลองลูกศิษย์ของศิษย์ผู้พี่จะเสียหน้า คิดแล้วก็พยักหน้าเรียก ไป่หยุน ศิษย์โง่งมที่เข้าสำนักมาห้าปี แต่เรียนกระบวนท่าเกือบไม่ถึงครึ่ง เจ็ดสิบสอง กระบวนท่าเมฆวายุ เป็นแต่รับปากมารดาไป่หยุนซึ่งตอนนั้นป่วยหนักและเกี่ยวดองเป็นภรรยาม่ายของศิษย์น้อง จึงรับจะดูแลส่งเสีย หากแต่ไป่หยุนเซื่องซึมโง่งม ทั้งยังสูญเสียบิดามารดา นับเป็นเรื่องที่ซุนเมิ่งหยุนติดค้างในใจตลอดมา
ฝ่ายหนึ่งอยู่ในชุดขาวสว่างคาดสีเขียวอ่อน ดูโอ่อ่า ภูมิฐานยิ่งนัก เจ้าตัวก็มีรูปร่างผึ่งผายสมชาย ใบหน้าผิวพรรณราวสลักขึ้นจากหยก แววตาเจ้าชู้กรุ้งกริ่ง อีกฟากหนึ่งยืนด้วยชายหนุ่มเพิ่งเต็มสิบห้าปี รูปร่างผอมสูงเหมือนคนไม่มีอันจะกิน ผิวค่อนข้างซีด แววตาหม่นหมองคล้ายเศร้าคล้ายไม่ยินดีกับเรื่องราวใดๆ "เริ่มประลอง" คุณชายหยวนหยั่งเชิงด้วยการปัดป่ายกระบี่ ฟันบ้างแทงบ้าง ไป่หยุนถอยร่นไปเรื่อยๆ อีกไม่ถึงยี่สิบก้าวจะโดนบีบออกจากพื้นที่ประลอง "การรุกคือการรับที่ดีที่สุด" เฟยหยุนศิษย์เอกอันดับหนึ่งพูดขึ้นลอยๆ ทันใดนั้นไป่หยุนใช้ออกด้วยกระบวนท่าที่หนึ่ง กระบี่ทะลายภูผา คุณชายหยวนตั้งดาบตรงรับกลับต้องเจอกับแรงปะทะหนักหน่วงง่ามมือปวดแปลบกระบี่แทบหลุดจากมือ ยังรักษาใบหน้าเรียบเฉยไว้ได้ แต่เริ่มมีเม็ดเหงื่อผุดจากขมับทั้งสองข้าง กระบวนท่าที่สองมารวดเร็วเกินไป กระบี่แยกศิลาเป็นกระบวนท่าที่รุนแรงหากแต่มีช่วงโหว่ อย่างไรก็ตามหากใช้ออกได้รวดเร็วและถูกจังหวะย่อมสร้างข้อได้เปรียบอย่างมาก ศิษย์เอกของหวงถู่ซานแทบรับกระบี่นี้ไม่อยู่กระบี่ห้อยตกลง เซไปข้างหลังสั้นๆ สองสามก้าว กระบวนท่าที่สามกำลังตามมา "หยุดมือ" กระบวนท่าดาบอัสนีบาต เป็นท่าที่ยากต่อการป้องกันที่สุด เพราะไม่ได้เป็นการฟันในแนวตรงหากผิดพลาดผู้ตั้งรับอาจต้องสูญเสียแขนหรือมือ ดาบของครูมวยหวงบรรลุถึงก่อนช่วงตัวของศิษย์หัวแก้วหัวแหวนจะขาดเป็นสองท่อน
"นี่เป็นเรื่องล้อเล่นอันใด" สีหน้าศิษย์พี่ของเจ้าสำนักแดงจนเกือบคล้ำ "หากเราช้าไปเพียงก้าวเดียว เกรงว่า เกรงว่า..." พูดแล้วก็ส่ายหน้า "พี่หวง เรื่องนี้อาจเป็นเรื่องเข้าใจผิดกัน ไป่หยุนศิษย์โง่งมเข้าสำนักมาห้าปี จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ยังเรียนรู้ไม่ถึงครึ่งกระบวนท่าวิชาพื้นฐาน" "หากรอให้เรียนจนครบ ศิษย์เราคงไม่มีชีวิตรอดกระมัง พวกเราไป" "ผู้น้องไม่ส่งแล้ว" เจ้าสำนักซุนไม่อาจกล่าวโทษลูกศิษย์อาภัพ เนื่องจากไม่เคยรับทราบวิชาฝีมือมาก่อน ตั้งแต่ถ่ายทอดกระบวนท่าพื้นฐานไป เมื่อสองปีก่อน เห็นว่ายังไม่คืบหน้าถึงไหน ก็ไม่ได้สนใจอีก "พี่ไป่หยุน ยอดเยี่ยมจริงๆ" เซียงเซียงบุตรีคนสุดท้องของเจ้าสำนัก ปีนี้เพิ่งสิบสามปี แต่มีดวงตากลมโตดำขลับ เห็นได้ชัดว่าต้องเติบโตเป็นสตรีสาวที่งดงามผู้หนึ่ง "หลังเวลาอาหารเย็นให้เจ้าไปพบอาจารย์ที่ห้องหนังสือ"
ซุนเมิ่งหยุน หลายปีนี้ไม่ได้ลงไปฝึกฝนให้กับลูกศิษย์อย่างใกล้ชิดเหมือนก่อน ด้วยวัยชรามากขึ้น กอปรกับมีศิษย์เอกที่พอจะช่วยดูแลกิจการแทนได้บ้าง สำนักเมฆวายุ แม้ไม่ใช่สำนักใหญ่แต่ก็เป็นเครือข่ายของ หนึ่งในสี่สำนักใหญ่ และมีความสัมพันธ์อันดี มีศิษย์ที่อยู่ประจำถึงสองร้อยคน หากนับผู้ที่อยู่นอกสำนักตามจุดที่วางไว้ก็มีถึงสองร้อยห้าสิบคน ไป่หยุนขออนุญาตก่อนก้าวย่างอย่างช้าๆ เซื่องซึมเข้ามา "เจ้าลองรำกระบี่ให้อาจารย์ดูหน่อย" เมิ่งหยุนยื่นกระบี่ประจำตัวให้ เพียงกระบวนท่าแรกก็ได้ยินเสียงกระบี่แหวกอากาศเป็นเสียงลมหวีดหวิว กระบวนท่าท้ายๆ ยิ่งมายิ่งเข้มแข็งขึ้น เทียนที่จุดไว้วูบวาบราวกับมีกระแสลมรุนแรงผ่านเข้ามา "ไฉนเป็นเช่นนี้" "แต่ละวันเจ้าทำอะไรบ้าง"