ช่วงนี้เพื่อนชาวเกาหลีมาสิงสู่อยู่ด้วย เลยมีกิมจิขึ้นโต๊ะเกือบทุกมื้อ
แอบลองถามนางว่าเบื่อมั้ย นางบอกก็เหมือนแกกินข้าวอ่ะ แกเบื่อมั้ยละ
โอเค ไม่เบื่อๆ
สืบเนื่องจากนางใช้ชีวิตในการตามหารักแท้ในกรุงเทพค่อนข้างนาน(?)
กิมจิที่นางขนมาจากบ้านเกิดก็หมดไปในที่สุด (แน่ล่ะ เอ็งกินทุกมื้อนิ ต้มมาม่ายังเอากิมจิมากินแกล้มด้วย)
เราเลยออกไปผจญภัยหากิมจิตามที่ต่างๆ มาทดแทนดู สรุปว่าที่ขายๆ กันอยู่ไม่ค่อยอร่อยเท่าไหร่
อันที่รสชาติดีก็ตกกิโลละ 300 บาท (ร้านค้าที่โคเรียนทาวน์ ราคาเท่ากับซื้อจากเกาหลีเลย)
ไอ้ซื้อกินมันก็ได้อยู่หรอก แต่เราดันถามนางว่าแล้วทำกิมจิกินเองไม่เป็นเหรอ
นางบอกก็ทำเป็นนะ เดี๋ยววันหยุดมาช่วยกันทำละกัน นั่นจึงเป็นที่มาของการเข้าครัวทำกิมจิ (จะปูเรื่องเล่าเพื่อ??)
ส่วนผสมต่างๆ นะจ๊ะ
- ผักกาดขาว เลือกเอาหัวใหญ่ๆ มา 2 หัว (ยังกลัวๆ อยู่ว่าจะกินได้มั้ยฟระ)
- กระเทียมปอกเปลือก ประมาณกำมือนึง
- ขิง หนึ่งแง่ง ปลอกเปลือกให้เรียบร้อย
- หอมหัวใหญ่ ปอกเปลือกแล้วหัวนึง
- หัวไชเท้า ต้นหอม กุ้ยช่าย กะๆ เอาอย่างละ 1 ถ้วยตวง
- พริกป่นเกาหลี ชนิดหยาบ ซื้อเอาจากโคเรียทาวน์ ถุงละ 60 บาท
- น้ำปลา ตราอะไรก็ได้ เอาที่สบายใจ
- น้ำตาลทราย จะเอาขาวหรือแดงก็ไม่เกี่ยง
- เกลือ
- แป้งข้าวเจ้า
- กุ้งแห้งตัวเล็กๆ
เริ่มลงมือทำกันเลย (เอาหมอนรองคอมาทำเป็นที่คาดผม ทดลองเป็นซังกุงสูงสุดดู)
เราเลือกใช้ผักกาดขาว ที่จริงแล้วผักนู่นนี่โน่นเกาหลีก็เอามาทำกิมจิได้หมดนะ อย่างไชเท้า ใบงา แตงกวา แครอท ต้นหอม บลาๆๆ ตอนแรกลองถามนางว่าใช้ผักกาดหางหงษ์ทำได้ป่ะ นางบอกแอดวานซ์ไป ควรเริ่มจากเบสิคก่อน
เอาผักกาดขาวมาหั่นตามยาว หัวนึงแบ่งได้ 4 ชิ้น จากนั้นก็สาดเกลือเข้าไปทุกอนูอย่าได้ละเลย จากนั้นก็พักนางไว้ให้เกลือได้ทำงาน ดูดน้ำผักออกจากผักกาด แต่อย่าละเลยนาง คอยหันไปพลิกกลับทุกครึ่งชั่วโมงให้นางได้ทั่วถึง
เสร็จออกมาแล้วก็จะประมาณนี้ (นี่ทิ้งไว้ 3 ชั่วโมง) สลดพอประมาณแต่ยังเหลือที่กรอบๆ อยู่บ้างนิดหน่อย คิดเสียวว่าคงจะเป็นเทกเจอร์กรุบกรับในอนาคต (ข้ออ้างล้วนๆ) อย่าลืมล้างเกลือออกให้หมดนะจ๊ะ
จากนั้นเราก็จะมาทำเบสซอส เมื่อก่อนคนเกาหลีจะใช้น้ำข้าวในการทำเพื่อให้เกิดรสเปรี้ยว(เหมือนเราหมักแหนม) แต่บ้านพี่ไม่ได้หุงข้าวแบบเช็ดน้ำ
เราเลยต้องประดิษฐ์น้ำข้าวกันขึ้นมาด้วยการใส่แป้งข้าวเจ้าประมาณนึง (กะเอาล้วนๆ) ลงในน้ำประมาณ 1 1/2 ถ้วย คนให้ละลาย
จากนั้นนำขึ้นตั้งไฟ ใส่น้ำตาลลงไปประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ เราใช้น้ำตาลทรายไม่ขัดสีเพราะหาน้ำตาลทรายขาวไม่เจอ (จะลองใช้น้ำตาลปี๊บดูแต่เกาหลีนางห้ามไว้) จากนั้นก็คนไปเรื่อยๆ จนมันเริ่มข้นๆ คล้ายกาวแป้งเปียก(ไม่ข้นถึงขนาดนั้นนะ) แล้วก็ยกลง รอให้เย็นตัว
เอากุ้งแห้งตัวเล็กๆ (ที่ทำมาจากกุ้งฝอย) ล้างน้ำให้สะอาด แล้วก็แช่น้ำทิ้งไว้ อันนี้เรามาใช้แทนเคยของเกาหลีที่หาซื้อไม่ได้ ก็ประยุกต์เอา
สภาพจากการแช่น้ำทิ้งไว้ เริ่มขึ้นอืดเบาๆ
จัดการซอยผัก ไชเท้าซอยเป็นเส้นๆ (พยายามอย่าขูด เพราะสกิลกะดูกาก ไม่สมกับเป็นซังกุง) หั่นหอม หั่นกุ้ยช่าย บางคนใส่แครอทด้วย แต่เราไม่ใส่ ไม่ได้หยิ่ง แต่ลืมซื้อมา
เอากระเทียมกับชิงมาสับให้พอหยาบ
หั่นหัวหอมเป็นชิ้นๆ
จากนั้นก็เอาขิง กระเทียม หัวหอมมาปั่นรวมกันให้แหลกละเอียด
แป้งข้าวเจ้าที่กวนไว้ตอนแรกเย็นตัวลงแล้ว มาจัดการกันเลย
ใส่ของที่เอาไปปั่นลงผสม
เติมน้ำปลาลงไป ประมาณ 1 ถ้วยตวง
ใส่กุ้งแห้งฝอยๆ ลงไป (บีบน้ำออก)
ใส่พริกป่นชนิดหยาบ (นางจะมีแบบยาบกับแบบละเอียด แบบละเอียดไว้ใส่แกง แบบหยาบไว้ทำกิมจิ) อย่าใช้พริกป่นของไทยแทนเลย มันแทนกันไม่ได้
จากนั้นก็ใส่ผักที่หั่นไว้
คลุกให้เข้ากันแล้วก็เตรียมเอามาทาผักกาดขาวที่นอนรออยู่ในตอนแรก
(ปล.ขั้นตอนนี้เกรอะกรังมาก ไม่ได้ชักภาพมาให้ชม)
ทาทุกชั้นแล้วก็ม้วนๆๆ ไว้ เกาหลีบอกควรใส่ไห แต่บ้านชั้นไม่มี ก็ใส่ทัฟเฟอร์แวร์ไว้
ทาให้หมด กดๆ ทับๆ กัน
ปิดฝาให้สนิท ทิ้งเอาไว้ข้างนอกซัก 2 วัน เปิดมาจะได้กลิ่นเปรี้ยวๆ แปลว่าผักของคุณพัฒนาไปเป็นกิมจิเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เย้!!
จัดการเอาเข้าตู้เย็นได้เลยจ้า
นี่คือสภาพหลังจากเก็บไว้สัปดาห์นึง และกินไปเกือบหมดแล้ว รสชาติดีอ่ะ (อวยกันเอง)
ที่จริงมันไม่ยากมากนะ ลองทำกันดู
แต่ที่ร้านค้าที่บอกไปก็มีขาย ราคาสมเหตุสมผลอยู่ ไปซื้อกันได้
เราลองเอามาทำไข่ตุ๋นกิมจิ (เอาไข่ตุ๋นสับๆ แล้วเทไข่ที่ผสมซอสลงไป)
อร่อยมากกกกกกก (อวยตัวเองเห็นๆ)
สุดท้ายอย่าลืมถอดหัวซังกุงออกนะจ๊ะ (ใครจะใส่จนจบฟระ)
เพิ่มเมนูแล้วจ้า!!!
Update : มาทำจิมดักกันเถอะ^^
http://ppantip.com/topic/33088743
มาทำกิมจิผักกาดขาวกันเถอะ^^
แอบลองถามนางว่าเบื่อมั้ย นางบอกก็เหมือนแกกินข้าวอ่ะ แกเบื่อมั้ยละ
โอเค ไม่เบื่อๆ
สืบเนื่องจากนางใช้ชีวิตในการตามหารักแท้ในกรุงเทพค่อนข้างนาน(?)
กิมจิที่นางขนมาจากบ้านเกิดก็หมดไปในที่สุด (แน่ล่ะ เอ็งกินทุกมื้อนิ ต้มมาม่ายังเอากิมจิมากินแกล้มด้วย)
เราเลยออกไปผจญภัยหากิมจิตามที่ต่างๆ มาทดแทนดู สรุปว่าที่ขายๆ กันอยู่ไม่ค่อยอร่อยเท่าไหร่
อันที่รสชาติดีก็ตกกิโลละ 300 บาท (ร้านค้าที่โคเรียนทาวน์ ราคาเท่ากับซื้อจากเกาหลีเลย)
ไอ้ซื้อกินมันก็ได้อยู่หรอก แต่เราดันถามนางว่าแล้วทำกิมจิกินเองไม่เป็นเหรอ
นางบอกก็ทำเป็นนะ เดี๋ยววันหยุดมาช่วยกันทำละกัน นั่นจึงเป็นที่มาของการเข้าครัวทำกิมจิ (จะปูเรื่องเล่าเพื่อ??)
ส่วนผสมต่างๆ นะจ๊ะ
- ผักกาดขาว เลือกเอาหัวใหญ่ๆ มา 2 หัว (ยังกลัวๆ อยู่ว่าจะกินได้มั้ยฟระ)
- กระเทียมปอกเปลือก ประมาณกำมือนึง
- ขิง หนึ่งแง่ง ปลอกเปลือกให้เรียบร้อย
- หอมหัวใหญ่ ปอกเปลือกแล้วหัวนึง
- หัวไชเท้า ต้นหอม กุ้ยช่าย กะๆ เอาอย่างละ 1 ถ้วยตวง
- พริกป่นเกาหลี ชนิดหยาบ ซื้อเอาจากโคเรียทาวน์ ถุงละ 60 บาท
- น้ำปลา ตราอะไรก็ได้ เอาที่สบายใจ
- น้ำตาลทราย จะเอาขาวหรือแดงก็ไม่เกี่ยง
- เกลือ
- แป้งข้าวเจ้า
- กุ้งแห้งตัวเล็กๆ
เริ่มลงมือทำกันเลย (เอาหมอนรองคอมาทำเป็นที่คาดผม ทดลองเป็นซังกุงสูงสุดดู)
เราเลือกใช้ผักกาดขาว ที่จริงแล้วผักนู่นนี่โน่นเกาหลีก็เอามาทำกิมจิได้หมดนะ อย่างไชเท้า ใบงา แตงกวา แครอท ต้นหอม บลาๆๆ ตอนแรกลองถามนางว่าใช้ผักกาดหางหงษ์ทำได้ป่ะ นางบอกแอดวานซ์ไป ควรเริ่มจากเบสิคก่อน
เอาผักกาดขาวมาหั่นตามยาว หัวนึงแบ่งได้ 4 ชิ้น จากนั้นก็สาดเกลือเข้าไปทุกอนูอย่าได้ละเลย จากนั้นก็พักนางไว้ให้เกลือได้ทำงาน ดูดน้ำผักออกจากผักกาด แต่อย่าละเลยนาง คอยหันไปพลิกกลับทุกครึ่งชั่วโมงให้นางได้ทั่วถึง
เสร็จออกมาแล้วก็จะประมาณนี้ (นี่ทิ้งไว้ 3 ชั่วโมง) สลดพอประมาณแต่ยังเหลือที่กรอบๆ อยู่บ้างนิดหน่อย คิดเสียวว่าคงจะเป็นเทกเจอร์กรุบกรับในอนาคต (ข้ออ้างล้วนๆ) อย่าลืมล้างเกลือออกให้หมดนะจ๊ะ
จากนั้นเราก็จะมาทำเบสซอส เมื่อก่อนคนเกาหลีจะใช้น้ำข้าวในการทำเพื่อให้เกิดรสเปรี้ยว(เหมือนเราหมักแหนม) แต่บ้านพี่ไม่ได้หุงข้าวแบบเช็ดน้ำ
เราเลยต้องประดิษฐ์น้ำข้าวกันขึ้นมาด้วยการใส่แป้งข้าวเจ้าประมาณนึง (กะเอาล้วนๆ) ลงในน้ำประมาณ 1 1/2 ถ้วย คนให้ละลาย
จากนั้นนำขึ้นตั้งไฟ ใส่น้ำตาลลงไปประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ เราใช้น้ำตาลทรายไม่ขัดสีเพราะหาน้ำตาลทรายขาวไม่เจอ (จะลองใช้น้ำตาลปี๊บดูแต่เกาหลีนางห้ามไว้) จากนั้นก็คนไปเรื่อยๆ จนมันเริ่มข้นๆ คล้ายกาวแป้งเปียก(ไม่ข้นถึงขนาดนั้นนะ) แล้วก็ยกลง รอให้เย็นตัว
เอากุ้งแห้งตัวเล็กๆ (ที่ทำมาจากกุ้งฝอย) ล้างน้ำให้สะอาด แล้วก็แช่น้ำทิ้งไว้ อันนี้เรามาใช้แทนเคยของเกาหลีที่หาซื้อไม่ได้ ก็ประยุกต์เอา
สภาพจากการแช่น้ำทิ้งไว้ เริ่มขึ้นอืดเบาๆ
จัดการซอยผัก ไชเท้าซอยเป็นเส้นๆ (พยายามอย่าขูด เพราะสกิลกะดูกาก ไม่สมกับเป็นซังกุง) หั่นหอม หั่นกุ้ยช่าย บางคนใส่แครอทด้วย แต่เราไม่ใส่ ไม่ได้หยิ่ง แต่ลืมซื้อมา
เอากระเทียมกับชิงมาสับให้พอหยาบ
หั่นหัวหอมเป็นชิ้นๆ
จากนั้นก็เอาขิง กระเทียม หัวหอมมาปั่นรวมกันให้แหลกละเอียด
แป้งข้าวเจ้าที่กวนไว้ตอนแรกเย็นตัวลงแล้ว มาจัดการกันเลย
ใส่ของที่เอาไปปั่นลงผสม
เติมน้ำปลาลงไป ประมาณ 1 ถ้วยตวง
ใส่กุ้งแห้งฝอยๆ ลงไป (บีบน้ำออก)
ใส่พริกป่นชนิดหยาบ (นางจะมีแบบยาบกับแบบละเอียด แบบละเอียดไว้ใส่แกง แบบหยาบไว้ทำกิมจิ) อย่าใช้พริกป่นของไทยแทนเลย มันแทนกันไม่ได้
จากนั้นก็ใส่ผักที่หั่นไว้
คลุกให้เข้ากันแล้วก็เตรียมเอามาทาผักกาดขาวที่นอนรออยู่ในตอนแรก
(ปล.ขั้นตอนนี้เกรอะกรังมาก ไม่ได้ชักภาพมาให้ชม)
ทาทุกชั้นแล้วก็ม้วนๆๆ ไว้ เกาหลีบอกควรใส่ไห แต่บ้านชั้นไม่มี ก็ใส่ทัฟเฟอร์แวร์ไว้
ทาให้หมด กดๆ ทับๆ กัน
ปิดฝาให้สนิท ทิ้งเอาไว้ข้างนอกซัก 2 วัน เปิดมาจะได้กลิ่นเปรี้ยวๆ แปลว่าผักของคุณพัฒนาไปเป็นกิมจิเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เย้!!
จัดการเอาเข้าตู้เย็นได้เลยจ้า
นี่คือสภาพหลังจากเก็บไว้สัปดาห์นึง และกินไปเกือบหมดแล้ว รสชาติดีอ่ะ (อวยกันเอง)
ที่จริงมันไม่ยากมากนะ ลองทำกันดู
แต่ที่ร้านค้าที่บอกไปก็มีขาย ราคาสมเหตุสมผลอยู่ ไปซื้อกันได้
เราลองเอามาทำไข่ตุ๋นกิมจิ (เอาไข่ตุ๋นสับๆ แล้วเทไข่ที่ผสมซอสลงไป)
อร่อยมากกกกกกก (อวยตัวเองเห็นๆ)
สุดท้ายอย่าลืมถอดหัวซังกุงออกนะจ๊ะ (ใครจะใส่จนจบฟระ)
เพิ่มเมนูแล้วจ้า!!!
Update : มาทำจิมดักกันเถอะ^^ http://ppantip.com/topic/33088743