Dark Tales of London: ทวิฆาต (The Man Who Died Twice) - ตอนที่ 6

ทวิฆาต (The Man Who Died Twice)
บทนำ : http://ppantip.com/topic/32351131
ตอนที่ 1  : http://ppantip.com/topic/32376238
ตอนที่ 2  : http://ppantip.com/topic/32406733
ตอนที่ 3  : http://ppantip.com/topic/32454296
ตอนที่ 4  : http://ppantip.com/topic/32633276
ตอนที่ 5  : http://ppantip.com/topic/32828985


-----------------------------------------------------------------------



(6)

โคเวนท์การ์เดน, ลอนดอน, 22 มกราคม 1889



หลังจบการสอบถามและสนทนากับพันเอกออกัสต์ โกลด์เบิร์กที่สโมสรสำรวจทวีปอัฟริกาแล้ว และเขาขอตัวกลับไปทำธุระอื่นต่อ ข้าพเจ้าจึงกลับมายังโรงแรมเรจินัลด์อีกครั้ง และพบว่าเขากำลังขอกระดาษเขียนจดหมายจากแผนกต้อนรับของโรงแรมอยู่พอดี กระดาษที่เห็น เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า เป็นกระดาษชนิดเดียวกับที่เซบาสเตียน อาร์เชอร์ ผู้ตายใช้เขียนจดหมายนัด ดร. โทเบียส ฟอล์กเนอร์ให้ออกมาพบที่สวนสาธารณะเซนต์เจมส์ฝั่งฮอร์สการ์ดพาเรดอย่างไม่ต้องสงสัย


การเสาะหาว่าคนใด คือ ร้อยเอกบาร์เทิลบีนั้นไม่ยาก เพราะเพียงมองแค่ปราดเดียวก็ทราบแล้ว โดยสังเกตจากสีผิวที่ถูกแดดเผาจนกลายเป็นสีน้ำตาลเข้ม รวมถึงการยืนและเดินอย่างทหารของเขาด้วย


แม้จะรู้ตัวบุคคลที่ข้าพเจ้าต้องการพบแล้ว แต่ข้าพเจ้าก็ยังไม่เข้าไปทักในทันที หากเข้าไปหาพนักงานต้อนรับ ถอดถุงมือใส่กระเป๋าเสื้อโค้ต แล้วยื่นหมวก ผ้าพันคอ และเสื้อโค้ตส่งให้เขานำไปแขวนให้ และลอบชำเลืองมองสิ่งที่อีกฝ่ายเขียนในกระดาษ ซึ่งข้าพเจ้ายอมรับว่า ข้าพเจ้ามองได้ไม่ชัดนักว่า เขากำลังเขียนข้อความใดส่งให้พนักงาน แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะข้าพเจ้ายังมองออกว่า ลายมือในกระดาษแผ่นนั้นเป็นลายมือคนละอย่างกับลายมือในจดหมายที่เขียนถึง ดร. โทเบียส ฟอล์กเนอร์


จะว่าไปแล้ว เขามีลักษณะบางอย่างที่คล้ายกับ ดร. ฟอล์กเนอร์อยู่มาก ด้วยเขาเป็นชายหนุ่มผมสีอ่อน รูปร่างหน้าตาดี ใบหน้าเกลี้ยงเกลา ไม่ได้ไว้หนวดอย่างที่พวกทหารนิยมกัน ท่าทางของเขาเอาการเอางาน กิริยามารยาทแสดงชัดว่าได้รับการศึกษาอบรมมาอย่างดี การพูดจาของเขาสุภาพแต่มีความถือตัวแฝงอยู่ และไม่ค่อยแสดงความรู้สึกทางสีหน้า จนดูไม่ค่อยเป็นมิตรนัก สิ่งหนึ่งที่เขาแตกต่างจากคนที่ข้าพเจ้านึกถึงอย่างชัดเจนเห็นจะเป็นส่วนสูง เพราะเขามีส่วนสูงสันทัด คือ สูงเลยบ่าของข้าพเจ้าซึ่งสูงหกฟุตมาเล็กน้อย ในขณะที่นายแพทย์ผู้นั้นมีส่วนสูงพอกันกับข้าพเจ้า


กระทั่งเขาเขียนจดหมายและสั่งความเสร็จ ข้าพเจ้าจึงค่อยแสดงตัว และเข้าไปทักทายเขา


“ขออภัย คุณคือ ร้อยเอกแม็กซิมิเลียน บาร์เทิลบี้ สังกัดทหารม้าฮุสซาร์หน่วยที่ 19 ซึ่งเคยปฏิบัติหน้าที่ในซูดานใช่หรือไม่”


ร.อ. บาร์เทิลบี้หันมาตามเสียงเรียก ดูเหมือนว่าเขาจะไม่แปลกใจที่ได้พบกับข้าพเจ้า แต่สีหน้างงงวยของเขาน่าจะเกิดขึ้นเพราะฟังสำเนียงยอร์กเชียร์ของข้าพเจ้าไม่ถนัดเสียมากกว่า เพราะเมื่อข้าพเจ้ากล่าวขออภัย และถามซ้ำอีกครั้ง เขาจึงค่อยพยักหน้าและให้คำตอบ “ใช่ครับ ผมเอง”


“ผม สารวัตรไมเคิล เฟย์ จากแผนกสืบสวนอาชญากรรม สก็อตแลนด์ยาร์ด” ข้าพเจ้าแนะนำตัว “ผมอยากสอบถามเรื่องบางอย่างสักหน่อย ได้ทราบมาว่า ผู้กองเตรียมจะย้ายที่อยู่ หวังว่าจะไม่รบกวนเวลา”


“หากสารวัตรคิดว่า ผมช่วยได้ก็ยินดี” เขาว่า “สารวัตรสะดวกจะคุยที่นี่หรือที่ไหนครับ”


“ที่ห้องพักของผู้กองเป็นอย่างไร” ข้าพเจ้าลองเสนอ “ผมมีเรื่องที่ต้องการพูดคุยกับผู้กองเป็นการส่วนตัว”


เขามองข้าพเจ้านิดหนึ่ง ก่อนจะไหวไหล่น้อย ๆ หากสีหน้ายังคงเรียบเฉย “หากสารวัตรไม่รังเกียจว่า ห้องของผมรก เพราะกำลังจัดของเตรียมย้ายที่อยู่ การพูดคุยกันที่ห้องผมก็ไม่เป็นปัญหา”


“ผมไม่ถือสาข้อนั้นดอก”


“ถ้าเช่นนั้นก็เชิญตามผมไปที่ห้อง” เขากล่าว และเดินนำข้าพเจ้าขึ้นบันไดของโรงแรมไปยังห้องพักของเขาที่ชั้นสอง


จริงดังที่เขาว่า ห้องพักในโรงแรมที่ร้อยเอกแม็กซิมิเลียน บาร์เทิลบี้อยู่ในสภาพไม่เป็นระเบียบนัก เนื่องด้วยมีกล่อง กระเป๋า ถุง และพัสดุต่าง ๆ ทั้งที่จัดเก็บเรียบร้อยแล้ว และชิ้นที่วางทิ้งไว้เป็นหมวดหมู่ โดยมีกระดาษเขียนจดหมายของทางโรงแรมวางหมายไว้ว่าเป็นสิ่งใดวางกระจายอยู่ภายในห้อง หากไม่นับข้าวของที่วางกระจายไปทั่ว ห้องพักของโรงแรมเรจินัลด์ห้องนี้ จัดว่ากว้างขวางและอยู่สบายทีเดียว แม้จะเป็นห้องพักแบบสองเตียงก็ตาม


“ผมเพิ่งย้ายจากอัฟริกามาอังกฤษ จึงมีสัมภาระค่อนข้างมาก” นายทหารหนุ่มออกตัว และยกห่อพัสดุขึ้นจากเก้าอี้นวมในห้องไปไว้บนเตียงหลังหนึ่งซึ่งเขาไม่ได้ใช้นอน พร้อมเชิญข้าพเจ้านั่ง ส่วนตัวเขานั่งลงบนเก้าอี้ของโต๊ะเขียนหนังสือ “ช่วงสองสามวันมานี้ ผมกำลังเก็บข้าวของ จึงยังไม่ได้ให้แม่บ้านมาทำความสะอาด เพราะเกรงจะหาของไม่พบ”


“ทราบมาว่า ผู้กองเพิ่งไปดูความเรียบร้อยของที่พักแห่งใหม่มา การขนข้าวของไปที่บ้านนั้นคงลำบากพอดู”


“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ เพราะผมเช่ารถม้าเอาไว้สำหรับขนของเรียบร้อยแล้ว”


“รถม้าฮันซัมจะไม่เล็กเกินไปดอกหรือ”


เขาขมวดคิ้ว “สารวัตรหมายความว่าอย่างไร”


“อ้าว ก็ผู้กองเช่ารถม้าฮันซัมมาใช้ไม่ใช่หรือ” ข้าพเจ้าว่า พูดถึงรถม้าขนาดเล็กสองที่นั่งที่มักใช้เป็นรถโดยสาร “เมื่อผมออกมาจากสโมสรสำรวจทวีปอัฟริกา ผมเห็นผู้กองให้พนักงานของโรงแรมนำรถฮันซัมไปเก็บ”


ข้อสังเกตนั้นของข้าพเจ้าทำให้เขาหัวเราะ “ผมไม่ใช้รถม้าขนาดเล็กอย่างรถฮันซัมขนของเองดอก ผมคงจะจ้างรถม้าขนาดใหญ่พร้อมคนขับมาช่วยยกและขนของมากกว่า อีกอย่างหนึ่ง รถนี้ผมเช่ามาเพียงสามวัน เพื่อความสะดวกในการเดินทางของผม เพราะผมไม่อยากรอเรียกรถเป็นคราว ๆ ไประหว่างที่ต้องทำธุระในที่ต่าง ๆ หลายแห่ง”


“นั่นสินะ ผมไม่ได้คิดถึงเรื่องนั้น เพียงแต่นึกสงสัยในสิ่งที่เห็น” ข้าพเจ้ารับ “แล้วเจ้าของรถม้าให้ผู้กองเช่าในราคาเท่าใด”


“วันละสิบชิลลิ่ง” เขาตอบ “แล้วค่าเช่ารถม้าของผมเกี่ยวอะไรกับคดีที่สารวัตรทำอยู่อย่างนั้นหรือ”


ข้าพเจ้าพยักหน้า “มากทีเดียว… เพราะมีผู้ให้ข้อมูลผมว่า มีชายคนหนึ่งมาขอเช่ารถม้าฮันซัมจากเขาเป็นเวลาสามวัน โดยให้เงินค่าเช่าวันละหนึ่งปอนด์ ซึ่งชายคนนั้นมีรูปพรรณสันฐานตรงกับผู้กอง ยิ่งไปกว่านั้น รถม้าคันดังกล่าวก็มีลักษณะตรงกับที่ผมได้รับแจ้งว่า เป็นรถม้าที่มาส่งผู้ตายในคดีของผมที่เซนต์เจมส์พาร์ก ก่อนที่เขาจะเสียชีวิต”


“สารวัตรสงสัยผมหรือ” เขาเหยียดริมฝีปากยิ้ม


“เป็นหน้าที่ของผมที่จะสงสัย” ข้าพเจ้ายิ้มตอบอย่างไม่ถือสา เลื่อนถ้วยชาสองใบซึ่งอยู่บนจานรองบนโต๊ะให้พ้นมือ เพราะใบหนึ่งมีชาที่ผสมนมและน้ำตาลอยู่ค่อนแก้ว ส่วนอีกใบหนึ่งมีเพียงน้ำชาเปล่า ๆ อยู่สักเศษหนึ่งส่วนสี่ แต่ไม่ว่าจะเหลือชาอยู่สักเท่าใด การทำน้ำหกใส่ข้าวของของเขาไม่ใช่เรื่องดีแน่ “ถ้าทำให้ผู้กองไม่สบายใจ ผมต้องขออภัย”


“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกครับ” เขาโบกมือปฏิเสธ ก่อนหยิบกล่องบุหรี่ออกมาจากกระเป๋าเสื้อนอกมาเปิดและยื่นส่งให้ข้าพเจ้า “สารวัตรจะรับบุหรี่หรือน้ำชาสักหน่อยไหม”


“ไม่ละครับ ขอบคุณ เพราะผมคงไม่รบกวนผู้กองนานนัก” ข้าพเจ้าบอก


เขามองข้าพเจ้ายิ้ม ๆ ก่อนจะปิดฝากล่องบุหรี่ลง แล้วเก็บกลับเข้าที่ ลุกขึ้นไปรินน้ำชาให้ตนเอง โดยไม่ได้ใส่นมหรือน้ำตาล ส่วนข้าพเจ้าหยิบสมุดบันทึกเล่มเล็กออกมาเตรียมไว้ “สารวัตรอยากทราบอะไรก็ถามมาเถิดครับ”


“ผู้กองรู้จักเอ็ดมันด์ อาร์เชอร์ บรรณารักษ์ประจำห้องหนังสือของสโมสรสำรวจอัฟริกาหรือไม่” เป็นคำถามที่ข้าพเจ้าเอ่ยขึ้นทันทีที่เขากลับมานั่งที่เดิมตรงหน้าข้าพเจ้า


“รู้จักสิครับ” เขาตอบ “เอ็ดมันด์เป็นน้องชายแท้ ๆ ของร้อยโทเซบาสเตียน อาร์เชอร์ เพื่อนร่วมงานของผมสมัยที่ปฏิบัติราชการที่อียิปต์และซูดาน เราพบกันโดยบังเอิญที่สถานีรถไฟ แล้วผมเผลอทักเขาด้วยชื่อเซบาสเตียน ที่ผมมาพักโรงแรมนี้ ก็เนื่องจากเขาแนะนำให้”


ตอบคำถามครบแล้ว เขาก็เงียบไป เพื่อรอฟังและตอบคำถามต่อไปจากข้าพเจ้า พลางจิบชาไปด้วยอย่างใจเย็น โดยไม่ได้ถามสักคำว่า บุคคลที่ถูกกล่าวถึงไปทำอะไรมา ข้าพเจ้าจึงอยากทราบความสัมพันธ์ของคนผู้นั้นและเขา


ข้าพเจ้าเคยพบคนที่ไม่แสดงทีท่าว่าสนความเป็นไปของคนและโลกอย่างยิ่งมาแล้วคนหนึ่ง คือ ดร. ฟอล์กเนอร์ และได้พบร้อยเอกบาร์เทิลบี้ที่มีนิสัยเช่นว่าเป็นคนที่สองวันนี้นี่เอง


“หากรู้จัก ผมอยากทราบว่า ผู้กองได้พบเขาครั้งสุดท้ายเมื่อใด เพราะมีคนบอกผมว่า เขาไม่ได้อาศัยอยู่ในที่พักของตัวเองมาเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว”


“เขาหายไปอย่างนั้นหรือครับ” นายทหารหนุ่มขมวดคิ้ว วางถ้วยชาลง ยกมือขึ้นลูบเหนือริมฝีปากคล้ายจะลูบหนวด แต่กลับชะงักเหมือนเพิ่งนึกได้ และเลื่อนปลายนิ้วลงลูบที่ปลายคางแทน “ผมเพิ่งจะพาเขาไปส่งที่เซนต์เจมส์พาร์กมาเมื่อบ่ายวันอาทิตย์ที่ผ่านมานี่เอง ด้วยรถฮันซัมที่เช่ามานั่นละ”


เป็นคำบอกเล่าจากปากของเขาเอง และนั่นทำให้ข้าพเจ้าไม่มีความจำเป็นต้องถามซ้ำเกี่ยวกับเรื่องนั้นอีก หลังจากถามเขาในครั้งแรกแล้วไม่ได้รับคำตอบ


“ผู้กองบอกว่า ที่เซนต์เจมส์พาร์ก เมื่อบ่ายวันอาทิตย์ที่ผ่านมาอย่างนั้นใช่ไหม”


“ใช่ครับ” เขากะพริบตา “ทำไมหรือ”


“ผู้กองไม่ทราบข่าวที่มีชายหนุ่มคนหนึ่งเสียชีวิตที่ทะเลสาบในเซนต์เจมส์พาร์กสินะ” ข้าพเจ้าว่า “ในเวลานี้ เราสามารถยืนยันตัวได้แล้วว่า ชายคนนั้น คือ เอ็ดมันด์ อาร์เชอร์”




(มีต่อนะคะ)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่