ธารทิพย์
โดย อัศวรักษ์
“ความสำเร็จ” มีคนให้นิยามความหมายที่แตกต่างกันมากมายบนพื้นฐานของความเชื่อ ลัทธิศาสนา เป็นจิตนิยม เป็นวัตถุนิยมหรือจะตัดสินกันด้วยกฎเกณฑ์ของสังคมคนรอบตัวที่จะเป็นผู้บอกว่าใครประสบความสำเร็จ มันยากนะที่จะชี้ขาดว่าอะไรคือความสำเร็จ หรือจะให้ใจของเราเองเป็นผู้ตัดสิน ใจเป็นสุขก็คือความสำเร็จ ไม่สิ ไม่แน่ใจ แม้ปรัชญาเมธีผู้เอกอุกระเดื่องนามก็ยังให้สูตรสำเร็จของมันไม่ได้ บางคนพูดถึงหอคอยงาช้าง บางคนใช้คำว่าขึ้นบันไดสู่ดวงดาว
แต่ความฝันของฉันมันอยู่ที่ปลายสุดขอบฟ้าโน่น แม้สุดสายตาก็จะไปให้ถึง แค่อยากรู้ว่าความสำเร็จกับฝันที่ตามหามันอยู่ด้วยกันรึเปล่า สักวันเถอะปลายขอบฟ้า เราคงมีวันได้เจอกัน
ท้องฟ้าฤดูหนาววันนี้ ฟ้าจริงๆ ใสหมดจดไม่มีเมฆให้สะเทือนซาง ภารกิจตามหาสตางค์มาใส่กระเป๋าเพื่อเก็บไว้ตามฝันก็คงจะราบรื่นดี
“ นี่ไอ้โจ มองเข็มบินบ้างมั้ยเนี่ย “ พีผู้นั่งเก้าอี้ตัวซ้ายเอ่ยเบาๆ
“ เส้นทางมันดิวิเอทไปห้าไมล์แล้ว มัวเหม่อมองขอบฟ้าอยู่ได้ “ พีตะคอกต่อ
“ แล้วล่ะ เอาแต่นั่งดูรูปอีเงาะ “ โจผู้นั่งเก้าอี้เคียงกันทางขวาพูดพลางเหลือบตามอง
“ ก็จับคอลัมน์อยู่ ก็ทำหน้าที่นักบินซิ….แล้วอย่ามาเรียกแฟนกูว่าอีเงาะ “ พีพูดเสียงเข้มต่อว่า
“เป็นนักบิน ไม่จับคอลัมน์ กูเป็นช่างเครื่องบิน ผ่าเกี่ยงให้กูบิน บ้ารึเปล่าวะ ส่วนอีเงาะน้องกู กูจะเรียกยังไงก็ได้ “ โจถามความรับผิดชอบแล้วตบท้ายเสียงเย้ยหยัน
“ น้องก็ดวงใจกู ให้เกียรติกูกับแฟนกูบ้าง “ พีตัดพ้อ
โจอมยิ้มในใจ เขาเหลือบตามองเพื่อนรักแล้วพูดหัวเราะในลำคอล้อเลียน ”คุณอีเงาะ”
“ โฮ้ง โฮ้ง “ เสียงสุนัขเห่าดังจากด้านหลัง
“ พรีโม่มันสั่งดีเซ็นแล้วว่ะเฮ้ย“ พีพูดพลางเหลียวมองหลังพนักพิงแล้วเริ่มขยับตัวใส่เข็มขัดนิรภัย
“ โอเค เช็ค สตาร์ทดีเซ็น ทรอตเติ้ลรีทาร์ด แอลติจูดซีโร่ทรีซีโร่ เทว็นตี้ดีเอ็มอี เฮดดิ้งซีโร่ไฟ้ว์ซีโร่ รันเวย์อินไซ้ด์ “ โจขานทวนสถานะเริ่มลดระดับ คันเร่งเครื่องยนต์เบาสุด ระยะสูงสามพันฟุต ยี่สิบไมล์ห่างจากรันเวย์ ถือเข็มบินศูนย์ห้าศูนย์บนแบร์ริ่งและเริ่มมองเห็นรันเวย พีใช้มือขวาดึงคันเร่งเครื่องยนต์ถอยหลังเพื่อลดรอบเครื่องยนต์ลง
คุณเป็ดน้ำสีขาวนวลลายริ้วสีครีมสลับเทาอ่อนเส้นเล็กๆบรรจงตกแต่งด้วยมือเพื่อนเกลอทั้งสองผลคือเธองามพิลาสประดุจหงส์ขาวแห่งสวอนเลคในบัลเล่ย์บอลชอยด์ตามความคิดของพวกเขา เธอเริ่มกดหัวลงทำมุมลบสิบห้าองศา ร่อนช้าๆเข้าหาทะเลสาบขนาดเล็กในหุบเขาใหญ่ที่ห่างออกไปเบื้องหน้าเกือบสามสิบกิโลเมตร
“ เอาลงกลางๆหน่อยนะ คราวที่แล้วเกือบล่อตอใต้น้ำ “พีเตือน
“ นี่ กูเมื่อยแล้ว เอาลงเอง “โจพูดพร้อมปล่อยคันบังคับในมือ
“ มาย คอนโทรล “ พีรีบคว้าคันบังคับไว้ในมือเรียกการบังคับเครื่องให้กลับมาที่ตนเองแล้วหันมายิ้มให้เพื่อน
“ ยัวร์....คอนโทรล “ โจยักคิ้วตอบรับแข็งขันเช่นกัน
“ ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า” ทั้งสองหัวเราะครื้นเครงด้วยกันเพื่อปรับสภาพจิตใจ
นี่เป็นเวลาที่ทั้งสองต้องวางเรื่องเล่นหัวแล้วร่วมใจกันนำคุณเป็ดน้ำลงแตะพื้นน้ำให้นุ่มนวลปลอดภัย รันเวย์ลงจอดของพวกเขาเป็นผืนน้ำทะเลสาบเล็กๆในหุบเขาผืนป่าทางตะวันออกเฉียงเหนือห่างจากชายแดนไปหลายกิโลเมตร หุบเขาเขียวขจีสลับแดงเหลืองส้มของไม้ผลัดใบต้นฤดูหนาวโอบสองข้างปีกอยู่ห่างๆแซมแทรกแต่งแต้มด้วยหน้าผาชันสีน้ำตาลแกมแดงเหลือง เบื้องหน้าต่ำลงไปเมื่อมองผ่านกระจกหน้าเป็นทะเลสาบสีเขียวมรกต ผืนน้ำสะบัดคลื่นพลิ้วแผ่วให้ลมหนาวโลมไล้ เมื่อต้องแสงอาทิตย์ก็บังเกิดประกายงามระยับ ความงามของธรรมชาติที่ให้ความรู้สึกอ่อนโยนบริสุทธิ์ไม่เคยต้องราคีด้วยน้ำมือมนุษย์
“ แฟลปเท็น “ พีเรียกให้เปิดอุปกรณ์ขยายพื้นที่ปีก
“ เท็น เซ็ท “ โจปฏิบัติแล้วขานรับ
“แฟลปเทว็นตี้ เกียร์ อิส อัพ “ พีเรียกขยายปีกเพิ่มและให้เช็คว่าล้อไม่ได้กางออกเมื่อลงแตะผิวน้ำ
“เทว็นตี้ เซ็ท เกียร์ อิส อัพ เช็ค“ โจปฏิบัติแล้วขานรับ
ขณะนี้ร่างกายจิตใจและสมาธิของทั้งสองตั้งมั่นรวมเป็นหนึ่งเดียวกับคุณเป็ดน้ำ นาทีอย่างนี้ทั้งสองต้องไว้ใจเชื่อใจกันและกันและเชื่อในเรือบินที่ควบคุมอยู่
“ไฟ้ว์ไมล์ไฟนอล แฟลป ฟูล คลอสวินด์ฟีฟทีนน๊อตทูไนน์ซีโร่ “ พีขานระยะห่างแปดกิโลเมตรถึงจุดแตะ เรียกขยายพื้นที่ปีกสุดและย้ำเตือนความเร็วและทิศทางลมที่เข้าทางซ้ายเพื่อการควบคุมเครื่องลงจอด
“เช็ค แอนด์ เซ็ท ถีบรัดเด้อร์รักษาระนาบปีกไว้ “ โจขานรับแล้วย้ำเตือนการปฏิบัติอีกครั้ง
“เป็นช่างมาสอนเสืออากาศบิน “ พีไม่วายเย้าแหย่เพื่อน สายตายังจับจ้องพื้นน้ำตำแหน่งที่จะร่อนลงสลับกับเครื่องวัดต่างๆบนแผงควบคุมเครื่องตลอดเวลา
“วันไหนขี้เกียจแล้วให้ช่างบินอีก กูจะถีบเสืออากาศ“ โจตอบกลับตาก็จับจ้องอยู่ตรงหน้าเช่นเดียวกัน
คุณเป็ดน้ำอ้อยอิ่งเล่นลมลดระดับลงจนแตะพื้นน้ำ โฟลทลอยตัวใต้ท้องทั้งสองข้างฉีกผิวน้ำเป็นฟองคลื่นแยกออกเป็นสองทาง นั่นคือสัญญาณบอกว่าการร่อนลงอย่างตั้งใจให้นิ่มนวลเหมือนแพรไหมนั้นได้สำเร็จลงแล้วด้วยดี
“เหมือนแลนด์บนแพรไหมเลย ว่ามั้ยเพื่อน “ พีพูดยักคิ้วพลางเอื้อมมือใช้นิ้วชี้เขี่ยที่ขมับซ้ายของโจ
“เออ ไหมก็ไหม“ โจเอียงคอหลบแกล้งทำเสียงเหมือนเสียไม่ได้
“กูรู้ว่ารู้ว่ากูเก่ง และกูก็รู้อีกว่า ก็เก่ง แต่ปัญหาคือ ถ้าไม่มี กูจะเป็นยังไง กูรักนะพูดไว้ก่อนเผื่อไม่มีโอกาสพูดอีก“ พีพูดเป็นจังหวะเน้นย้ำลงท้ายด้วยน้ำเสียงจริงจัง
โจอึ้งในน้ำเสียงจริงจังของเพื่อนที่จู่ๆก็แสดงความรู้สึกออกมาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย แต่อีกใจก็ลังเลว่านี่มันจะมามุกไหนของมันนะ
“ไอ้บ้านี่คิดอะไรกับกูรึเปล่าเนี่ย หา ไอ้เวรพูดยังกับสั่งเสีย ไป แท็กซี่ไป เค้ารอกันอยู่โน่น“ โจตัดบทเหลือบหางตามองเพื่อน สิ่งหนึ่งแล่นเข้ามาในใจเขา
“เออ ไม่มี กูก็ไม่รู้จะเป็นยังไงเหมือนกัน“ โจรำพึงในใจ
พี ดันคันเร่งเครื่องยนต์ไปข้างหน้าเล็กน้อยเสียงใบพัดสามกลีบตัดอากาศดังหึ่มขึ้น แรงฉุดของใบพัดพาคุณเป็ดน้ำเคลื่อนตัวช้าๆไปบนผิวน้ำ เขาถีบรัดเด้อร์หางเสือบังคับทิศทางให้มุ่งตรงไปยังจุดหมายเบื้องหน้าริบๆ ภาพท่าเทียบขนาดคนยืนได้สักยี่สิบคนสร้างด้วยไม้ค่อยๆขยายใหญ่ขึ้นเมื่อเคลื่อนเข้าใกล้ ทั้งสองเริ่มมองเห็นคนจำนวนหนึ่งยืนอยู่บนนั้นอย่างคอยท่า บนฝั่งยังมีชายมีหญิงลูกเล็กเด็กแดงนับร้อยคนอุ้มบ้างจูงบ้างแต่งกายเรียบง่ายตามประสากลุ่มชนผู้ห่างไกลความเจริญ ตาทุกคู่จับจ้องมายังนกสวรรค์ชื่อที่พวกเขาพร้อมใจกันเรียกคุณเป็ดน้ำ
ทุกสองเดือนครั้งที่นกสวรรค์มาเยี่ยมจะเพียบแปล้มาด้วยสิ่งของหลากหลายชนิดที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตในพื้นที่ที่ห่างไกลความเจริญ หยูกยาเวชภัณฑ์เครื่องนุ่งห่ม อาหารแห้งไปจนถึงไฟแช๊คเกลือและผงชูรสไว้ใช้ห้ามเลือด และทุกครั้งที่มาเยี่ยมเยือน พีและโจ จะควักกระเป๋าของทั้งคู่เองสำหรับขนม อมยิ้มน้ำอัดลมเพื่อเด็กๆที่ห่างไกลเหล่านี้เสมอ ภารกิจเพื่อกลุ่มคนผู้ขาดแคลนและขาดโอกาสเหล่านี้นั้น ค่าแรงค่าจ้างเป็นเรื่องรองสำหรับทั้งคู่ความภาคภูมิต่างหากที่อยู่ลึกๆในใจของทั้งพีและโจ ความรุ้สึกว่าตนมีค่าต่อผู้อื่น ความภาคภูมิซึ่งผู้ที่อยู่ข้างหลังของทั้งคู่ไม่ได้สัมผัสไม่เคยมองเห็นจึงไม่เข้าใจ
พี ดับเครื่องยนต์ลงเมื่อคุณเป็ดน้ำเริ่มใกล้จะเทียบท่า เขาถีบหางเสือแก้ซ้ายแก้ขวาอาศัยแรงเฉี่อยที่มีอยู่นำคุณเป็ดน้ำเข้าเทียบท่าน้ำอย่างชำนาญและคุ้นเคย ชายหนุ่มเจ็ดแปดคนบนท่าโดดลงน้ำเพื่อดึงและดันให้ด้านซ้ายของคุณเป็ดน้ำเข้าเทียบสนิท
“ผูกไว้ ผูกไว้“ ชายชราร่างเล็กแกร่งเกร็งวัยแปดสิบเศษ สั่งพวกที่อยู่ในน้ำด้วยภาษาแปร่งๆ
“ผมไหว้ครับปู่ผา “ พีซึ่งเปิดประตูก้าวลงบนท่าน้ำก่อนเอ่ยทักทายชายชราพร้อมยกมือไหว้
“ จำเริญ จำเริญ เหนื่อยกันแย่นะ“ ปู่ผายืนยิ้มรับไหว้จากพี
ประตูซ้ายข้างลำตัวคุณเป็ดน้ำเปิดออก โจก้าวขาจะลงจากเครื่องแต่ไม่เร็วไปกว่าเจ้าพรีโม่ที่แทรกตัวเบียดจนเขาเกือบจะหงายหลัง มันวิ่งเยาะๆกระดิกหางจนก้นบิดเข้าไปหาปู่ผา เจ้าหมาแสนจะรู้นี้ เชื่อมั่นว่าในมือปู่ผามีบางสิ่งที่มันโปรดปราน
“เอ่อ เอ่อ เอาไป เอาไป“ ปู่ผายื่นกระดูกสัตว์ติดเนื้อชิ้นเขื่องย่างหอมกรุ่นที่เตรียมมาให้ มันคาบจากมือปู่ผาอย่างนิ่มนวลสุภาพแล้ววิ่งหายขึ้นฝั่งไป ทุกคนรู้ดีว่าถ้าไม่มีสิ่งนี้เจ้าพรีโม่ก็จะเจ้ากี้เจ้าการช่วยขนข้าวขนของลงจากเครื่องจนวุ่นวายไปทั้งท่าน้ำ
“สวัสดีครับปู่ผา“ โจเดินเข้ามากอดชายชราแล้วยกมือไหว้
“มีอะไรให้กินบ้าง“ โจพูดทำทีเป็นเด็กอ้อน
“หิวกันแย่เอ่อหิวกันแย่ ไปกินกันก่อนเขาหาสำรับไว้แล้ว “ ปู่ผาพูดพลางจูงมือสองหนุ่มขึ้นไปนั่งบนแคร่ไม้ใหญ่ริมฝั่งที่สร้างไว้
บนแคร่ถูกจัดวางอาหารพื้นบ้านไว้รับรองสองอาคันตุกะจากสวรรค์ มันไม่ได้เลิศหรูดูงามเหมือนโต๊ะอาหารในเมืองที่รุ่งเรืองด้วยอารยะ ไม่มีพรมไม่มีเสื่อ ข้าวซ้อมมือหุงสวยปนเปลือกเล็กน้อยอยู่ในหม้อดินดำสนิทด้วยเขม่าฟืนสองสามหม้อ ผักหญ้าปลาสามสี่ชนิดปิ้งจัดวางบนใบตองที่ตั้งใจเช็ดจนเขียวสะอาด น้ำพริกพื้นบ้านเรียบง่ายอยู่ในกระทงใบตอง เมนูเท่านี้ก็ดีถมเถแล้วสำหรับวิถีของป่าลึกและทะเลสาบ
พี โจ ปู่ผาและพี่โละหรืออ้ายโละ พรานป่าขมังเวทย์มือขวาของปู่ผา ขึ้นนั่งขัดสมาธิบนแคร่ พีหันไปร้องเรียกชวนเชิญผู้คนรอบข้างให้มาร่วมวงแล้วหยิบจานเก่าคร่ำคร่าสี่ห้าใบมาวางตรงหน้าใช้มือจกข้าวในหม้อใส่จานแจก สองอาคันตุกะจากแดนไกลก็หิวเจ้าบ้านที่จดจ่อรอรับก็หิวทั้งวงเปิบข้าวกว่าสิบคนจึงเริ่มลงมือไม่มีการพูดจา
ไม่กี่อึดใจปลายี่สกตัวยาวกว่าศอกสองตัวปรุงรสเพียงเกลือห่อใบตองยัดท้องด้วยพริกและสมุนไพรเผาก็ถูกยกมาวางด้วยมือของ “โส่ย“ สาววัยสิบเก้าลูกสาวพรานโละซึ่งทั้ง พีและโจพร้อมใจกันเรียกเธอว่า “สร้อย” ด้วยวัยสิบเก้าซึ่งตามประเพณีพื้นบ้านเธอควรมีเหย้าออกเรือนไปแล้วแต่สร้อยกลับสนใจแต่เรื่องป่า เธอติดตามพ่อไปเพื่อเรียนรู้ความเป็นพรานและเวทย์ กระนั้นด้วยเรือนร่างได้ส่วน ตาคมผมยาวและทำอาหารการครัวเก่งเธอจึงเป็นที่หมายปองของหนุ่มๆทั้งหลาย แต่ด้วยวัยสิบเก้าปีหากว่ากันตามธรรมเนียมพื้นบ้านเธอก็ใกล้จะจองคานแล้ว หนุ่มเหน้าเหล่านั้นจึงกล้าๆกลัวๆลังเลอยู่ที่จะร่วมเรียงเคียงหมอน แต่กระนั้นสร้อยก็มิได้วิตกเพราะเธอได้มอบหัวใจให้กับป่าไปแล้ว
ธารทิพย์ บทที่ 1
“ความสำเร็จ” มีคนให้นิยามความหมายที่แตกต่างกันมากมายบนพื้นฐานของความเชื่อ ลัทธิศาสนา เป็นจิตนิยม เป็นวัตถุนิยมหรือจะตัดสินกันด้วยกฎเกณฑ์ของสังคมคนรอบตัวที่จะเป็นผู้บอกว่าใครประสบความสำเร็จ มันยากนะที่จะชี้ขาดว่าอะไรคือความสำเร็จ หรือจะให้ใจของเราเองเป็นผู้ตัดสิน ใจเป็นสุขก็คือความสำเร็จ ไม่สิ ไม่แน่ใจ แม้ปรัชญาเมธีผู้เอกอุกระเดื่องนามก็ยังให้สูตรสำเร็จของมันไม่ได้ บางคนพูดถึงหอคอยงาช้าง บางคนใช้คำว่าขึ้นบันไดสู่ดวงดาว
แต่ความฝันของฉันมันอยู่ที่ปลายสุดขอบฟ้าโน่น แม้สุดสายตาก็จะไปให้ถึง แค่อยากรู้ว่าความสำเร็จกับฝันที่ตามหามันอยู่ด้วยกันรึเปล่า สักวันเถอะปลายขอบฟ้า เราคงมีวันได้เจอกัน
ท้องฟ้าฤดูหนาววันนี้ ฟ้าจริงๆ ใสหมดจดไม่มีเมฆให้สะเทือนซาง ภารกิจตามหาสตางค์มาใส่กระเป๋าเพื่อเก็บไว้ตามฝันก็คงจะราบรื่นดี
“ นี่ไอ้โจ มองเข็มบินบ้างมั้ยเนี่ย “ พีผู้นั่งเก้าอี้ตัวซ้ายเอ่ยเบาๆ
“ เส้นทางมันดิวิเอทไปห้าไมล์แล้ว มัวเหม่อมองขอบฟ้าอยู่ได้ “ พีตะคอกต่อ
“ แล้วล่ะ เอาแต่นั่งดูรูปอีเงาะ “ โจผู้นั่งเก้าอี้เคียงกันทางขวาพูดพลางเหลือบตามอง
“ ก็จับคอลัมน์อยู่ ก็ทำหน้าที่นักบินซิ….แล้วอย่ามาเรียกแฟนกูว่าอีเงาะ “ พีพูดเสียงเข้มต่อว่า
“เป็นนักบิน ไม่จับคอลัมน์ กูเป็นช่างเครื่องบิน ผ่าเกี่ยงให้กูบิน บ้ารึเปล่าวะ ส่วนอีเงาะน้องกู กูจะเรียกยังไงก็ได้ “ โจถามความรับผิดชอบแล้วตบท้ายเสียงเย้ยหยัน
“ น้องก็ดวงใจกู ให้เกียรติกูกับแฟนกูบ้าง “ พีตัดพ้อ
โจอมยิ้มในใจ เขาเหลือบตามองเพื่อนรักแล้วพูดหัวเราะในลำคอล้อเลียน ”คุณอีเงาะ”
“ โฮ้ง โฮ้ง “ เสียงสุนัขเห่าดังจากด้านหลัง
“ พรีโม่มันสั่งดีเซ็นแล้วว่ะเฮ้ย“ พีพูดพลางเหลียวมองหลังพนักพิงแล้วเริ่มขยับตัวใส่เข็มขัดนิรภัย
“ โอเค เช็ค สตาร์ทดีเซ็น ทรอตเติ้ลรีทาร์ด แอลติจูดซีโร่ทรีซีโร่ เทว็นตี้ดีเอ็มอี เฮดดิ้งซีโร่ไฟ้ว์ซีโร่ รันเวย์อินไซ้ด์ “ โจขานทวนสถานะเริ่มลดระดับ คันเร่งเครื่องยนต์เบาสุด ระยะสูงสามพันฟุต ยี่สิบไมล์ห่างจากรันเวย์ ถือเข็มบินศูนย์ห้าศูนย์บนแบร์ริ่งและเริ่มมองเห็นรันเวย พีใช้มือขวาดึงคันเร่งเครื่องยนต์ถอยหลังเพื่อลดรอบเครื่องยนต์ลง
คุณเป็ดน้ำสีขาวนวลลายริ้วสีครีมสลับเทาอ่อนเส้นเล็กๆบรรจงตกแต่งด้วยมือเพื่อนเกลอทั้งสองผลคือเธองามพิลาสประดุจหงส์ขาวแห่งสวอนเลคในบัลเล่ย์บอลชอยด์ตามความคิดของพวกเขา เธอเริ่มกดหัวลงทำมุมลบสิบห้าองศา ร่อนช้าๆเข้าหาทะเลสาบขนาดเล็กในหุบเขาใหญ่ที่ห่างออกไปเบื้องหน้าเกือบสามสิบกิโลเมตร
“ เอาลงกลางๆหน่อยนะ คราวที่แล้วเกือบล่อตอใต้น้ำ “พีเตือน
“ นี่ กูเมื่อยแล้ว เอาลงเอง “โจพูดพร้อมปล่อยคันบังคับในมือ
“ มาย คอนโทรล “ พีรีบคว้าคันบังคับไว้ในมือเรียกการบังคับเครื่องให้กลับมาที่ตนเองแล้วหันมายิ้มให้เพื่อน
“ ยัวร์....คอนโทรล “ โจยักคิ้วตอบรับแข็งขันเช่นกัน
“ ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า” ทั้งสองหัวเราะครื้นเครงด้วยกันเพื่อปรับสภาพจิตใจ
นี่เป็นเวลาที่ทั้งสองต้องวางเรื่องเล่นหัวแล้วร่วมใจกันนำคุณเป็ดน้ำลงแตะพื้นน้ำให้นุ่มนวลปลอดภัย รันเวย์ลงจอดของพวกเขาเป็นผืนน้ำทะเลสาบเล็กๆในหุบเขาผืนป่าทางตะวันออกเฉียงเหนือห่างจากชายแดนไปหลายกิโลเมตร หุบเขาเขียวขจีสลับแดงเหลืองส้มของไม้ผลัดใบต้นฤดูหนาวโอบสองข้างปีกอยู่ห่างๆแซมแทรกแต่งแต้มด้วยหน้าผาชันสีน้ำตาลแกมแดงเหลือง เบื้องหน้าต่ำลงไปเมื่อมองผ่านกระจกหน้าเป็นทะเลสาบสีเขียวมรกต ผืนน้ำสะบัดคลื่นพลิ้วแผ่วให้ลมหนาวโลมไล้ เมื่อต้องแสงอาทิตย์ก็บังเกิดประกายงามระยับ ความงามของธรรมชาติที่ให้ความรู้สึกอ่อนโยนบริสุทธิ์ไม่เคยต้องราคีด้วยน้ำมือมนุษย์
“ แฟลปเท็น “ พีเรียกให้เปิดอุปกรณ์ขยายพื้นที่ปีก
“ เท็น เซ็ท “ โจปฏิบัติแล้วขานรับ
“แฟลปเทว็นตี้ เกียร์ อิส อัพ “ พีเรียกขยายปีกเพิ่มและให้เช็คว่าล้อไม่ได้กางออกเมื่อลงแตะผิวน้ำ
“เทว็นตี้ เซ็ท เกียร์ อิส อัพ เช็ค“ โจปฏิบัติแล้วขานรับ
ขณะนี้ร่างกายจิตใจและสมาธิของทั้งสองตั้งมั่นรวมเป็นหนึ่งเดียวกับคุณเป็ดน้ำ นาทีอย่างนี้ทั้งสองต้องไว้ใจเชื่อใจกันและกันและเชื่อในเรือบินที่ควบคุมอยู่
“ไฟ้ว์ไมล์ไฟนอล แฟลป ฟูล คลอสวินด์ฟีฟทีนน๊อตทูไนน์ซีโร่ “ พีขานระยะห่างแปดกิโลเมตรถึงจุดแตะ เรียกขยายพื้นที่ปีกสุดและย้ำเตือนความเร็วและทิศทางลมที่เข้าทางซ้ายเพื่อการควบคุมเครื่องลงจอด
“เช็ค แอนด์ เซ็ท ถีบรัดเด้อร์รักษาระนาบปีกไว้ “ โจขานรับแล้วย้ำเตือนการปฏิบัติอีกครั้ง
“เป็นช่างมาสอนเสืออากาศบิน “ พีไม่วายเย้าแหย่เพื่อน สายตายังจับจ้องพื้นน้ำตำแหน่งที่จะร่อนลงสลับกับเครื่องวัดต่างๆบนแผงควบคุมเครื่องตลอดเวลา
“วันไหนขี้เกียจแล้วให้ช่างบินอีก กูจะถีบเสืออากาศ“ โจตอบกลับตาก็จับจ้องอยู่ตรงหน้าเช่นเดียวกัน
คุณเป็ดน้ำอ้อยอิ่งเล่นลมลดระดับลงจนแตะพื้นน้ำ โฟลทลอยตัวใต้ท้องทั้งสองข้างฉีกผิวน้ำเป็นฟองคลื่นแยกออกเป็นสองทาง นั่นคือสัญญาณบอกว่าการร่อนลงอย่างตั้งใจให้นิ่มนวลเหมือนแพรไหมนั้นได้สำเร็จลงแล้วด้วยดี
“เหมือนแลนด์บนแพรไหมเลย ว่ามั้ยเพื่อน “ พีพูดยักคิ้วพลางเอื้อมมือใช้นิ้วชี้เขี่ยที่ขมับซ้ายของโจ
“เออ ไหมก็ไหม“ โจเอียงคอหลบแกล้งทำเสียงเหมือนเสียไม่ได้
“กูรู้ว่ารู้ว่ากูเก่ง และกูก็รู้อีกว่า ก็เก่ง แต่ปัญหาคือ ถ้าไม่มี กูจะเป็นยังไง กูรักนะพูดไว้ก่อนเผื่อไม่มีโอกาสพูดอีก“ พีพูดเป็นจังหวะเน้นย้ำลงท้ายด้วยน้ำเสียงจริงจัง
โจอึ้งในน้ำเสียงจริงจังของเพื่อนที่จู่ๆก็แสดงความรู้สึกออกมาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย แต่อีกใจก็ลังเลว่านี่มันจะมามุกไหนของมันนะ
“ไอ้บ้านี่คิดอะไรกับกูรึเปล่าเนี่ย หา ไอ้เวรพูดยังกับสั่งเสีย ไป แท็กซี่ไป เค้ารอกันอยู่โน่น“ โจตัดบทเหลือบหางตามองเพื่อน สิ่งหนึ่งแล่นเข้ามาในใจเขา
“เออ ไม่มี กูก็ไม่รู้จะเป็นยังไงเหมือนกัน“ โจรำพึงในใจ
พี ดันคันเร่งเครื่องยนต์ไปข้างหน้าเล็กน้อยเสียงใบพัดสามกลีบตัดอากาศดังหึ่มขึ้น แรงฉุดของใบพัดพาคุณเป็ดน้ำเคลื่อนตัวช้าๆไปบนผิวน้ำ เขาถีบรัดเด้อร์หางเสือบังคับทิศทางให้มุ่งตรงไปยังจุดหมายเบื้องหน้าริบๆ ภาพท่าเทียบขนาดคนยืนได้สักยี่สิบคนสร้างด้วยไม้ค่อยๆขยายใหญ่ขึ้นเมื่อเคลื่อนเข้าใกล้ ทั้งสองเริ่มมองเห็นคนจำนวนหนึ่งยืนอยู่บนนั้นอย่างคอยท่า บนฝั่งยังมีชายมีหญิงลูกเล็กเด็กแดงนับร้อยคนอุ้มบ้างจูงบ้างแต่งกายเรียบง่ายตามประสากลุ่มชนผู้ห่างไกลความเจริญ ตาทุกคู่จับจ้องมายังนกสวรรค์ชื่อที่พวกเขาพร้อมใจกันเรียกคุณเป็ดน้ำ
ทุกสองเดือนครั้งที่นกสวรรค์มาเยี่ยมจะเพียบแปล้มาด้วยสิ่งของหลากหลายชนิดที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตในพื้นที่ที่ห่างไกลความเจริญ หยูกยาเวชภัณฑ์เครื่องนุ่งห่ม อาหารแห้งไปจนถึงไฟแช๊คเกลือและผงชูรสไว้ใช้ห้ามเลือด และทุกครั้งที่มาเยี่ยมเยือน พีและโจ จะควักกระเป๋าของทั้งคู่เองสำหรับขนม อมยิ้มน้ำอัดลมเพื่อเด็กๆที่ห่างไกลเหล่านี้เสมอ ภารกิจเพื่อกลุ่มคนผู้ขาดแคลนและขาดโอกาสเหล่านี้นั้น ค่าแรงค่าจ้างเป็นเรื่องรองสำหรับทั้งคู่ความภาคภูมิต่างหากที่อยู่ลึกๆในใจของทั้งพีและโจ ความรุ้สึกว่าตนมีค่าต่อผู้อื่น ความภาคภูมิซึ่งผู้ที่อยู่ข้างหลังของทั้งคู่ไม่ได้สัมผัสไม่เคยมองเห็นจึงไม่เข้าใจ
พี ดับเครื่องยนต์ลงเมื่อคุณเป็ดน้ำเริ่มใกล้จะเทียบท่า เขาถีบหางเสือแก้ซ้ายแก้ขวาอาศัยแรงเฉี่อยที่มีอยู่นำคุณเป็ดน้ำเข้าเทียบท่าน้ำอย่างชำนาญและคุ้นเคย ชายหนุ่มเจ็ดแปดคนบนท่าโดดลงน้ำเพื่อดึงและดันให้ด้านซ้ายของคุณเป็ดน้ำเข้าเทียบสนิท
“ผูกไว้ ผูกไว้“ ชายชราร่างเล็กแกร่งเกร็งวัยแปดสิบเศษ สั่งพวกที่อยู่ในน้ำด้วยภาษาแปร่งๆ
“ผมไหว้ครับปู่ผา “ พีซึ่งเปิดประตูก้าวลงบนท่าน้ำก่อนเอ่ยทักทายชายชราพร้อมยกมือไหว้
“ จำเริญ จำเริญ เหนื่อยกันแย่นะ“ ปู่ผายืนยิ้มรับไหว้จากพี
ประตูซ้ายข้างลำตัวคุณเป็ดน้ำเปิดออก โจก้าวขาจะลงจากเครื่องแต่ไม่เร็วไปกว่าเจ้าพรีโม่ที่แทรกตัวเบียดจนเขาเกือบจะหงายหลัง มันวิ่งเยาะๆกระดิกหางจนก้นบิดเข้าไปหาปู่ผา เจ้าหมาแสนจะรู้นี้ เชื่อมั่นว่าในมือปู่ผามีบางสิ่งที่มันโปรดปราน
“เอ่อ เอ่อ เอาไป เอาไป“ ปู่ผายื่นกระดูกสัตว์ติดเนื้อชิ้นเขื่องย่างหอมกรุ่นที่เตรียมมาให้ มันคาบจากมือปู่ผาอย่างนิ่มนวลสุภาพแล้ววิ่งหายขึ้นฝั่งไป ทุกคนรู้ดีว่าถ้าไม่มีสิ่งนี้เจ้าพรีโม่ก็จะเจ้ากี้เจ้าการช่วยขนข้าวขนของลงจากเครื่องจนวุ่นวายไปทั้งท่าน้ำ
“สวัสดีครับปู่ผา“ โจเดินเข้ามากอดชายชราแล้วยกมือไหว้
“มีอะไรให้กินบ้าง“ โจพูดทำทีเป็นเด็กอ้อน
“หิวกันแย่เอ่อหิวกันแย่ ไปกินกันก่อนเขาหาสำรับไว้แล้ว “ ปู่ผาพูดพลางจูงมือสองหนุ่มขึ้นไปนั่งบนแคร่ไม้ใหญ่ริมฝั่งที่สร้างไว้
บนแคร่ถูกจัดวางอาหารพื้นบ้านไว้รับรองสองอาคันตุกะจากสวรรค์ มันไม่ได้เลิศหรูดูงามเหมือนโต๊ะอาหารในเมืองที่รุ่งเรืองด้วยอารยะ ไม่มีพรมไม่มีเสื่อ ข้าวซ้อมมือหุงสวยปนเปลือกเล็กน้อยอยู่ในหม้อดินดำสนิทด้วยเขม่าฟืนสองสามหม้อ ผักหญ้าปลาสามสี่ชนิดปิ้งจัดวางบนใบตองที่ตั้งใจเช็ดจนเขียวสะอาด น้ำพริกพื้นบ้านเรียบง่ายอยู่ในกระทงใบตอง เมนูเท่านี้ก็ดีถมเถแล้วสำหรับวิถีของป่าลึกและทะเลสาบ
พี โจ ปู่ผาและพี่โละหรืออ้ายโละ พรานป่าขมังเวทย์มือขวาของปู่ผา ขึ้นนั่งขัดสมาธิบนแคร่ พีหันไปร้องเรียกชวนเชิญผู้คนรอบข้างให้มาร่วมวงแล้วหยิบจานเก่าคร่ำคร่าสี่ห้าใบมาวางตรงหน้าใช้มือจกข้าวในหม้อใส่จานแจก สองอาคันตุกะจากแดนไกลก็หิวเจ้าบ้านที่จดจ่อรอรับก็หิวทั้งวงเปิบข้าวกว่าสิบคนจึงเริ่มลงมือไม่มีการพูดจา
ไม่กี่อึดใจปลายี่สกตัวยาวกว่าศอกสองตัวปรุงรสเพียงเกลือห่อใบตองยัดท้องด้วยพริกและสมุนไพรเผาก็ถูกยกมาวางด้วยมือของ “โส่ย“ สาววัยสิบเก้าลูกสาวพรานโละซึ่งทั้ง พีและโจพร้อมใจกันเรียกเธอว่า “สร้อย” ด้วยวัยสิบเก้าซึ่งตามประเพณีพื้นบ้านเธอควรมีเหย้าออกเรือนไปแล้วแต่สร้อยกลับสนใจแต่เรื่องป่า เธอติดตามพ่อไปเพื่อเรียนรู้ความเป็นพรานและเวทย์ กระนั้นด้วยเรือนร่างได้ส่วน ตาคมผมยาวและทำอาหารการครัวเก่งเธอจึงเป็นที่หมายปองของหนุ่มๆทั้งหลาย แต่ด้วยวัยสิบเก้าปีหากว่ากันตามธรรมเนียมพื้นบ้านเธอก็ใกล้จะจองคานแล้ว หนุ่มเหน้าเหล่านั้นจึงกล้าๆกลัวๆลังเลอยู่ที่จะร่วมเรียงเคียงหมอน แต่กระนั้นสร้อยก็มิได้วิตกเพราะเธอได้มอบหัวใจให้กับป่าไปแล้ว