=========ย้อนรอยกระทิง หมี หมู ในตลาดหุ้น=========

เมื่อ PE ตลาดหุ้นไทยที่สูงถึง 19 เท่าและพอ ๆ กับจุดสูงสุดในช่วงวิกฤติตลาดหุ้นรอบที่แล้วที่ PE 20 กว่าเท่า ช่วงนั้น GDP ไทยเติบโต 7-8% SET ทำลายจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ 1,789 จุด  เมื่อวันที่ 4 มกราคม พ.ศ.2537 ตลาดหุ้น "ไซด์เวย์" นานถึง "2 ปีเต็ม" (2537-2538) ก่อนจะแปรสภาพเป็น "ขาลงใหญ่" ในปี 2539 เพิ่มขึ้น 1,689 จุด จากระดับ 100 จุด ที่ตลาดเริ่มทำการซื้อขายในวันแรกเมื่อ 30 เมษายน พ.ศ. 2518 หุ้นหลายๆ ตัวจากราคาไม่กี่บาท วิ่งขึ้นไปเป็นร้อยๆและหุ้นราคาไม่กี่สิบบาทวิ่งขึ้นไปถึงระดับหลายร้อยบาท ดังนั้น อาจจะไม่ได้แปลว่าหุ้นไทยมีราคาแพง เหตุผลก็เพราะอัตราดอกเบี้ยในช่วงนั้นค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับอัตราดอกเบี้ยในช่วงนี้ที่ต่ำติดดิน เป็นปัจจัยที่ไม่เกี่ยวกับตัวบริษัทแต่เป็นเรื่องของภาวะทางเศรษฐกิจนั่นก็คือ อัตราดอกเบี้ยในท้องตลาด ถ้าอัตราดอกเบี้ยต่ำ หุ้นทุกตัวควรจะมีราคาแพงขึ้นหรือค่า PE สูงขึ้น เหตุผลก็คือ เวลาที่ดอกเบี้ยต่ำนั้น คนก็ไม่อยากจะฝากเงินหรือลงทุนในตราสารหนี้ที่จะให้ผลตอบแทนต่ำ ช่วงนั้น ดอกเบี้ยฝากธนาคารสูงถึง 10% แต่ ปัจจุบัน เพียงประมาณ 3% เท่านั้น ถ้า PE 20 เท่า ผลตอบแทนหุ้น 5% สูงกว่าฝากธนาคารที่ 3% พอสมควร ดังนั้น พวกเขาก็จะย้ายเงินมาลงทุนในหุ้นที่น่าจะให้ผลตอบแทนที่จูงใจกว่าถ้าหากผลประกอบการและเงินปันผลและอื่น ๆ โดยทั่วไปแล้วเราจึงเห็นว่าเวลาที่อัตราดอกเบี้ยลดลง ดัชนีหุ้นจึงเพิ่มสูงขึ้น ปัจจัยเรื่องของอัตราดอกเบี้ยซึ่งเป็นผลทางตรงกับราคาหุ้น และเศรษฐกิจที่มีผลทางอ้อมที่อาจจะทำให้การเจริญเติบโตลดลง ความเสี่ยงของธุรกิจเปลี่ยนไป ดังนั้น PE 19 เท่าจึงไม่ถือว่าแพง คุณภาพของบริษัทจดทะเบียนในเวลานี้ก็สูงกว่าในอดีต เช่น  ช่วงนั้น มีเงินปล่อยสินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์ (มาร์จิ้นโลน) ประมาณ 1.2 -1.5แสนล้านบาท แต่ปัจจุบันเพียงประมาณ 5-5.5 หมื่นล้านบาท เท่านั้น ไม่ถึงครึ่งของช่วงสูงสุด
       มาดูถึงขนาดตลาดหลักทรัพย์ตอนนั้นมีเงินในระบบสูงสุดประมาณ 3.5 ล้านล้านบาท แต่ปัจจุบันสูงประมาณ 13.5 ล้านล้านบาท แสดงว่า ขนาดตลาดใหญ่ขึ้น กว่า 3 เท่า เงินกู้ก็ยังต่ำอยู่เพราะเมื่อถึงวันหนึ่ง ราคาหุ้นก็มักจะปรับขึ้นมาจนเหมาะสมกับคุณภาพของมันซึ่งทำให้เรากำไรจากการลงทุน เศรษฐกิจไทยปีหน้าจะมีการขยายตัวกว่าปีนี้หรือไม่ กับโครงสร้างพื้นฐาน 3.3 ล้านล้านบาทและแม้แต่บริษัทจดทะเบียนสามารถทำกำไรเพิ่มขึ้นให้อยู่ในระดับ 10-15% ได้หรือไม่ แต่ถ้าตลาดโลกไม่ได้ขึ้นไปด้วยกัน PE ของเราจะสูงโดดเด่นกว่าเขาก็คงเป็นไปได้ยาก นักลงทุนจึงต้องติดตามสภาวะการลงทุนต่างประเทศควบคู่กันไปด้วย หากเมื่อกราฟระยะยาวต้องปรับฐานสู่จุดสมดุลเพื่อเป็นขาขึ้นเต็มตัวมากกว่า  ซึ่งจังหวะซื้อนั้น จะต้องเป็นรอยต่อของช่วง "ตกต่ำ" มาสู่ช่วง "ฟื้นตัวใหม่" จึงค่อยซื้อลงทุนในระยะยาวได้ ซึ่งก็ก่อให้เกิดผลตอบแทนส่วนเพิ่มที่สามารถชดเชยทั้งระยะเวลา อัตราเงินเฟ้อ และความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างคุ้มค่านั่นเอง เพราะที่ผ่านมา อัตราเงินเฟ้อวิ่งพุ่งพรวด ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยเงินฝากยังอยู่ต่ำติดดิน ลำพังการออมเงินไว้ในธนาคารเพียงอย่างเดียว คงทำให้คุณต้องแบกต้นทุนชีวิตที่แพงขึ้นค่ะ ถ้าพูดถึงแล้ว“โอกาสทางธุรกิจมีอยู่ทุกที่” แต่ไม่ใช่ทุกคนที่ไข่วคว้าได้เพราะพวกเค้า “กลัวจะคว้าน้ำเหลว” แต่วอร์เรน บัฟเฟต์คือจอมแหวกแนวเพราะเมื่อคนอื่นเริ่มถอยห่างจากการลงทุน เศรษฐกิจดูน่ากลัว อาเฮียกลับเข้าไปกว้านซื้อหุ้นในตลาดอย่างกล้าหาญและเน้นซื้อเฉพาะบริษัทเจ๋งๆ จากนั้นกำไรก็เข้ามาหาเขา หลังจากวิกฤติผ่านพ้นไป…แหม่เรียกได้ว่ารู้จักพลิกวิกฤติ ให้เป็นโอกาสจริงๆ
ฟีโบนาชีในระยะยาวของSET
Retracements
0% (b)    2,141
23.6%    1,858.744
38.2%    1,684.128
50%    1,543
61.8%    1,401.872
76.4%    1,227.256
100% (a)    945
138.2%    488.128 .....ปีหน้า กรณีไม่มากกว่า 1,858 จุด ก็จะกลับลงไปที่ 1,227 จุดใหม่อีกครั้ง !!! เลือกเอาว่าต้องการแบบไหนดีค่ะ นักลงทุนไทย??? http://youtu.be/JyKMLIhP6HI
อัตราดอกเบี้ยโลก. http://www.tradingeconomics.com/germany/interest-rate
สถิติPE http://www.set.or.th/static/mktstat/Table_PE.xls?004
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่