ผลตอบแทนระยะสั้น-ยาวของหุ้น/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

กระทู้สนทนา
Credit : http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=7&t=56345
ขอบคุณ คุณ Thai VI Article    และ ดร.นิเวศน์ครับ
_____________________________________________

โลกในมุมมองของ Value Investor             24 สิงหาคม 2556
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ผลตอบแทนระยะสั้น-ยาวของหุ้น
เม่าฝึกจิต

   ​ในการคำนวณหาผลตอบแทนการลงทุนในหุ้นต่อปีที่เราคาดว่าจะได้รับแบบ VI นั้น   วิธีง่าย ๆ อย่างหนึ่งก็คือการใช้สูตรที่ว่า  ผลตอบแทนการลงทุน “ระยะยาว” นั้น  จะเท่ากับอัตราปันผลตอบแทนในปีแรก  บวก  อัตราการเติบโตของกำไรหรือปันผลของบริษัท  ตัวอย่างเช่น  ถ้าในปีแรกที่เราลงทุนนั้น  เราคาดว่าจะได้ปันผลเป็นเงิน 3 บาทต่อหุ้น ในขณะที่ราคาหุ้นเท่ากับ 100 บาท  แบบนี้ก็คืออัตราปันผลในปีแรกเท่ากับ 3%   และถ้าเราคาดว่าบริษัทนี้เป็นบริษัทที่ “โตเร็วมาก”  โดยเฉลี่ยแล้วกำไรหรือปันผลสามารถโตได้ถึง 12% ต่อปีไปเรื่อย ๆ เป็นเวลาอาจจะ 20-30 ปีขึ้นไป ถ้าเป็นแบบนี้  ผลตอบแทนระยะยาวของหุ้นตัวนี้ก็คือ  ปีละ 15% ทบต้น  ซึ่งก็ถือว่าเป็นหุ้นที่ให้ผลตอบแทนที่โดดเด่นมากเป็น  “ซุปเปอร์สต็อก” ที่หาได้ยาก  ในตลาดหลักทรัพย์อย่างตลาดหุ้นไทยที่มีหุ้นหลายร้อยตัวนั้น  ก็จะมีไม่กี่ตัวที่ทำได้  และถ้าใครถือหุ้นตัวนั้นไว้ยาวนานในปริมาณที่มาก  เขาก็อาจจะรวยไปเลย  ถ้าเป็นในต่างประเทศก็อาจจะเป็นระดับหุ้นโค๊กหรือวอลมาร์ท  ในตลาดหุ้นไทยนั้นผมไม่ได้ศึกษาดู  อาจจะเป็นหุ้นแบบปูนใหญ่ก็ได้

   ​ถ้าเราคิดว่าตลาดหลักทรัพย์นั้น  ก็เหมือนกับหุ้นตัวหนึ่ง  โดยที่ดัชนีตลาดหุ้นก็คือราคาหุ้น  เราก็จะพบว่า “หุ้นตลาด”  นั้น  เมื่อเข้ามาซื้อขายในวันแรกประมาณเดือนเมษายน 2518 มีราคาเท่ากับ 100 บาทต่อหุ้น  พอถึงวันที่ 23 สิงหาคม 2556 คิดเป็นเวลาประมาณ 38 ปี 4 เดือนราคาหรือดัชนีขึ้นมาเป็น 1338 บาทต่อหุ้น นี่เท่ากับว่าผลตอบแทนจากการเพิ่มขึ้นของราคาเท่ากับประมาณ 7% ต่อปีแบบทบต้น  นอกจากนั้น  ผู้ถือหุ้นตลาดยังได้ปันผลแต่ละปีประมาณ 3%   ดังนั้นเท่ากับว่าคนที่ลงทุนถือ “หุ้นตลาด” ในระยะยาวได้ผลตอบแทนประมาณปีละ 10% โดยเฉลี่ยแบบทบต้น ซึ่งก็ต้องถือว่าเป็นผลตอบแทนที่ดีเยี่ยมและน่าจะเหนือกว่าการลงทุนหลักอย่างอื่น  ไม่ว่าจะเป็นการฝากเงิน ซื้อหุ้นกู้หรือพันธบัตรรัฐบาล  หรือแม้แต่การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์  ไม่ต้องพูดถึงทองหรือการลงทุน “ทางเลือก” อื่น ๆ ว่าที่จริง ตลาดหุ้นไทยนั้นต้องถือว่าเป็นตลาดที่ให้ผลตอบแทนระยะยาวที่ดีใกล้เคียงกับตลาดหุ้นในสหรัฐทีเดียวและดีกว่าตลาดหุ้นจำนวนมากในโลก   ผมเองไม่รู้ว่าตอนที่เริ่มมีการซื้อขาย “หุ้นตลาด” ในปีแรกนั้น  อัตราการจ่ายปันผลเป็นเท่าไร แต่ถ้าให้คาดเดาผมคิดว่าก็อาจจะประมาณปีละ 3%  และถ้าเป็นอย่างนั้น  เราก็สามารถที่จะพูดต่อได้ว่าอัตราการเติบโตของกำไรของบริษัทจดทะเบียนต่อปีโดยเฉลี่ยในช่วง 38 ปีที่ผ่านมาก็คือ 7% ต่อปี

   ​ในกรณีผลตอบแทน “ระยะสั้น” หรือ  “ระยะกลาง” ตั้งแต่หนึ่งปีหรือหลาย ๆ ปีจนถึง 10 ปีหรืออาจจะ 20 ปี นั้น  เราจะต้องเพิ่มตัวเลขอีกตัวหนึ่งเข้าไปในสูตรหาผลตอบแทนระยะยาวที่กล่าวข้างต้น  ตัวเลขตัวนั้นก็คือ  การเปลี่ยนแปลงของค่า PE หรือราคาเมื่อเทียบกับกำไรต่อหุ้น   ในกรณีที่ค่า PE ไม่ได้เปลี่ยนแปลงจากเดิมผลตอบแทนจากการลงทุนของเราก็เหมือนกับกรณีการลงทุนระยะยาว  เช่น  ปันผลปีแรก 3%  และกำไรโต 12% ผลตอบแทนทั้งปีเท่ากับ 15%    แต่ถ้ามีการเปลี่ยนแปลง  เช่น  ค่า PE เดิมของหุ้นเมื่อตอนเราซื้อหุ้นเท่ากับ 10 เท่า  แต่ในวันที่เราขายหุ้นหลังจากถือหุ้นมา 1 ปีเท่ากับ 20 เท่า  แบบนี้ก็ทำให้ราคาหุ้นเพิ่มขึ้นไปอีกประมาณหนึ่งเท่าตัวหรือเท่ากับเราได้กำไรเพิ่มขึ้น 100%  เมื่อบวกกับผลตอบแทนจากปันผล 3% และผลตอบแทนจากการเติบโตของกำไรอีก 12% กลายเป็นว่าผลตอบแทนในระยะเวลา 1 ปีของบริษัทนี้คือ 115%   แต่ถ้าสมมุติว่าการเปลี่ยนแปลงของค่า PE นี้เกิดขึ้นในปีที่ 2แทนที่จะเป็นปีแรก  ผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้น 100%  นั้นก็จะต้องแบ่งออกเป็น 2 ปี หรือเท่ากับกำไรต่อปีที่เพิ่มขึ้นเท่ากับ 50%  เมื่อรวมกับผลตอบแทนจากปันผลเริ่มแรกที่ 3%  และอัตราการเติบโตที่ 12%  เท่ากับว่าผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีของหุ้นตัวนี้ก็คือประมาณ 65%    ยิ่งระยะเวลาการลงทุนยาวมาก  ผลกระทบจากการปรับค่า PE  ก็จะน้อยลงไปเรื่อย ๆ  จนในที่สุดก็แทบไม่มีผล

   ​การเปลี่ยนแปลงของ PE นั้น  มักจะเกิดขึ้นจากมุมมองต่อหุ้นที่เปลี่ยนไปของนักลงทุนนั่นก็คือ  ถ้านักลงทุนมองว่าบริษัทมีพื้นฐานที่ดีขึ้น  อนาคตจะมีกำไรที่โตเร็วขึ้นเนื่องจากเหตุผลอะไรก็ตาม  เขาก็จะเข้ามาลงทุนหรือยอมจ่ายมากขึ้นในการเข้ามาซื้อหุ้นหรือมาเป็นเจ้าของหุ้น   ผลก็คือราคาหุ้นวิ่งขึ้นไปทั้งที่กำไรในระยะสั้น ๆ  อาจจะยังไม่ได้เพิ่มขึ้นมากนัก นี่ทำให้ค่า PE ปรับตัวสูงขึ้น  ตรงกันข้าม  ถ้านักลงทุนมองว่าพื้นฐานของบริษัทแย่ลง  อนาคตการเติบโตจะช้าลงหรืออาจจะติดลบ  เขาก็จะขายหุ้นทิ้งหรือจะซื้อแต่ต้องในราคาที่ต่ำลง  ผลก็คือ  ราคาหุ้นตกลงมา  ค่า PE ก็จะลดลง และในกรณีหลังนี้  ผลตอบแทนของการลงทุนระยะสั้นหรือระยะกลางก็จะปรับตัวลง    จากตัวอย่างเดิมถ้าค่า PE ลดลงจาก 10 เท่า เหลือ 9 เท่า  ก็ทำให้ราคาหุ้นหายไป 1 เท่าของกำไรต่อหุ้นที่ 12%   ดังนั้น  ผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้ 15% ต่อปีก็กลายเป็นเหลือแค่ 3% ต่อปี ทั้ง ๆ ที่กำไรในปีแรกก็ยังโต 12%  อยู่

   ​จากเหตุผลที่กล่าวมาทั้งหมดข้างต้นเราก็จะเห็นว่าในระยะสั้นแล้ว  ผลตอบแทนจากการลงทุนส่วนใหญ่ก็จะขึ้นอยู่กับมุมมองหรือความเห็นของนักลงทุนต่อตัวหุ้นว่าอนาคตจะเป็นอย่างไรมากกว่าข้อเท็จจริงว่าผลประกอบการจะเป็นอย่างไรหรือบริษัทมีการจ่ายปันผลในปีแรกมากน้อยแค่ไหน  เพราะว่าผลตอบแทนการลงทุนนั้นมักจะถูกกระทบจากการปรับค่าของ PE ค่อนข้างมาก    แต่ในระยะยาวแล้ว  ผลตอบแทนของการลงทุนก็มักจะขึ้นอยู่กับผลประกอบการที่เกิดขึ้นจริงต่อเนื่องยาวนานในอัตราที่ค่อนข้างสูงบวกกับอัตราการจ่ายปันผลเมื่อเทียบกับราคาหุ้นหรือ Dividend Yield ในปีแรก  ถ้าจะพูดตามหลักของ เบน เกรแฮม  ก็คือ  ในระยะสั้นตลาดหุ้นนั้นเป็นเหมือน “เครื่องลงคะแนน” ที่ “ความเห็น” ของนักลงทุนแต่ละคนจะเป็นตัวกำหนดราคาหุ้น  แต่ในระยะยาวแล้ว  ตลาดหุ้นเป็นเหมือน  “เครื่องชั่ง”  นั่นก็คือ  ราคาหรือผลตอบแทนของหุ้นขึ้นอยู่กับ  “น้ำหนัก”  หรือผลประกอบการที่บริษัททำได้จริง

   ​สำหรับ VI แล้ว  การที่จะเลือกลงทุนในหุ้นตัวไหนนั้น  ผมคิดว่าเราควรคาดการณ์  “ผลตอบแทนระยะยาว” เป็นหลัก    ค่าอัตราปันผลต่อราคาหุ้นหรือ Dividend Yield ในปีแรกนั้นน่าจะคาดการณ์ได้ไม่ยากนักเนื่องจากการคาดการณ์กำไรในระยะเวลาเพียงปีเดียวรวมถึงการจ่ายปันผลนั้นโอกาสผิดพลาดรุนแรงคงไม่สูง   ตัวเลขที่ยากกว่ามากก็คือ  อัตราการเจริญเติบโตของกำไรหรือปันผลในระยะยาวซึ่งอาจจะมองไปข้างหน้าอย่างน้อยประมาณ 5-10 ปีขึ้นไป ผมเองคิดว่าการประมาณการที่มากกว่าปีละ 15% ต่อปีนั้นเราจะต้องมีเหตุผลที่หนักแน่นจริง ๆ  เพราะมันต้องหมายถึงว่าบริษัทเป็น  “ซุปเปอร์สต็อก”จริง ๆ    เมื่อเราได้ตัวเลขสองตัวนี้แล้ว  เราก็จะรู้ว่าผลตอบแทนที่เราคาดหวังสำหรับการลงทุนในหุ้นตัวนั้นคือเท่าไร   ถ้าเราพบว่าหุ้นตัวหนึ่งน่าจะมีการเติบโตของกำไรเกิน 10% ต่อปีแบบทบต้นในระยะยาว  นี่ก็เพียงพอในขั้นต้นแล้วว่ามันอาจจะเป็นหุ้นที่น่าสนใจลงทุนโดยไม่ต้องคิดถึงอัตราปันผลตอบแทนในปีแรก

   ​อย่างไรก็ตาม  ก่อนที่เราจะตัดสินใจลงทุน  ตัวเลขค่า PE ของหุ้นตัวนั้นก็เป็นสิ่งที่สำคัญเท่า ๆ  กันเพราะเราเองอาจจะไม่ได้ลงทุนในระยะเวลาที่ยาวมากขนาดเป็นสิบ ๆ  ปีขึ้นไป  ดังนั้น  การเปลี่ยนแปลงในค่าของ PE จึงอาจจะกระทบกับผลตอบแทนการลงทุนของเราได้   บางครั้งก็ค่อนข้างมาก   วิธีการที่จะลดความเสี่ยงและเพิ่มผลตอบแทนที่ดีก็คือ  ถ้าค่า PE  ในวันที่เราซื้อมีค่าค่อนข้างต่ำเช่นไม่เกิน 10 เท่า  โอกาสที่ค่า PE จะปรับขึ้นก็มีมากกว่าซึ่งนั่นจะทำให้ผลตอบแทนต่อปีของเราดีขึ้น  ถ้าค่า PE  อยู่ในช่วงกลาง  ๆ  เช่น ประมาณ  13-14 เท่า  เราก็อาจจะมองว่าผลตอบแทนก็คงประมาณที่เราคำนวณได้ต่อปีในระยะยาว  แต่ถ้าค่า PE  ค่อนข้างสูงเช่น  20 เท่า ขึ้นไป เราก็ต้องระวังว่าโอกาสที่ค่า PE ในอนาคตอาจจะปรับตัวลงก็เป็นไปได้เพราะมุมมองของนักลงทุนต่อหุ้นในอนาคตอาจจะเปลี่ยนไปได้และนั่นจะทำให้ผลตอบแทนลดลง   แต่ไม่ว่าจะเป็นกรณีไหน  ผลกระทบของ PE จะน้อยลงถ้าเราถือหุ้นยาวขึ้น ดังนั้น  สำหรับนักลงทุนระยะยาวจริง ๆ  แล้ว  สิ่งที่สำคัญที่สุดก็น่าจะยังเป็นเรื่องของอัตราการเจริญเติบโตในระยะยาวของบริษัท

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ


แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่