“ในสถาณการณ์ตอนนี้…เราควรเริ่มลงทุนเมื่อไหร่?”
ช่วงที่ผ่านมาดูเหมือนว่าทั่วโลกจะมีข่าวร้ายเต็มไปหมด เงินเฟ้อ ดอกเบี้ย สงครามยูเครน น้ำมันแพง โควิดกลับมาอีกรอบ โรคระบาดและยังอื่นๆอีกมากมาย
แต่ก็ดูเหมือนเริ่มมีสัญญาณบางอย่างที่ดีขึ้นบ้าง ราคาน้ำมัน สินค้าโภคภัณฑ์ เริ่มปรับลง ดอกเบี้ยก็ขึ้นกันถ้วนหน้า ซึ่งทุกคนรับรู้แบ้ว ได้เตรียมรับแรงกระแทกกันไว้เเล้ว
ที่ผ่านมาถ้าตอนป๊ายังพอร์ทเล็กๆ ป๊าก็ขายเกลี้ยง เอาเรือขึ้นฝั่ง ซ่อมแหซ่อมอวนไปก่อน แต่ตอนนี้พอร์ทใหญ่ ก็เรายังถืออยู่ ตัดตัวไม่ดี ไม่มีอนาคตทิ้งไป ส่วนตัวที่ยังมีความหวัง ความฝัน ว่ายังก็ยังดี ป๊าก็จำใจถือ รอไป
เอาจริงๆ ตอนนี้ป๊าก็ทำตาปริบๆ นั่งมองตัวเลขทุกวันว่าเงินหายไปเท่าไหร่ คิดว่าเราจะรับได้ถึงเท่าไหร่ ให้ทำใจไว้เลย และแน่นอนว่าต้องเตรียมไว้ว่าจะซื้อกลับเมื่อไหร่ดีด้วย?
สถานการณ์ที่ผ่านมาเหมือนฝูงนกกระจาบที่โดนเอาอาหารล่อ แล้วนายพรานเอาแหครอบทีเดียว จับทีละเป็นฝูง พ่อแม่ลูก โดนเรียบ มีบางตัวที่อาจจะรอด นกกระจาบที่รอดตอนนี้ยังโดยนายพรานเอาข้าวเปลือกมาล่อต่ออีก แต่ยังไม่มีตัวไหนไปกินเลย นั่งตามองตากันอยู่ ไม่มีตัวไหนกล้าลงไปกินข้าวเปลือก ต่างคนตามองตากัน
ภาวะตลาดหุ้น ตลาดคริปโตก็อยู่ในอาการนี้ ตามองตากันอยู่…….ภาวะตลาดนั่งตามองตา คือภาวะที่ทุกคนระวังตัวให้ดี
แล้วเราสมควรจะเริ่มลงทุนเมื่อไหร่ ในภาวะวิกฤติแบบนี้ ? ดร.กอบศักดิ์ สรุปไว้ว่า ถ้าคิดจะลงทุนต้องรู้ 4 เรื่องนี้ (ลิงค์อยู่ในคอมเม้นครับ)
1. เราต้องเข้าใจว่าวิกฤตเกิดด้วยปัจจัยอะไร ที่มาของวิกฤติคืออะไร?
- อัตราดอกเบี้ยจะต้องขึ้น
- สงครามยูเครน
- อัตราการเจริญเติบโตของจีนต่ำมาก ภาวะอสังหาริมทรัพย์ของจีนเริ่มมีอาการไม่ดี
- ประเทศที่ทุนสำรองน้อยเดือดร้อน
- หุ้น Nasdaq บางตัวลงมา75% ภายในครึ่งปี ซึ่งไม่เคยปรากฎมาก่อน
ดร.กอบศักดิ์ สรุปว่า ครึ่งปีแรกที่ผ่านมา เลือดนองตลาด ตลาดผ่านมาครึ่งปีแล้ว ตลาดออกมาจากห้องฉุกเฉินแล้ว คนไข้ยังต้องมาพักฟื้นที่ห้อง ICU อีกสักระยะ คนไข้ยังลุกเดินไม่สะดวก ยังต้องพักฟื้นอีกสักระยะ
-FED พึ่งเริ่มต้นขึ้นดอกเบี้ย และคงค่อยๆขึ้นจนเงินเฟ้อลงมาประมาณเหลือ 3%
-ตามมาด้วย Recesstion หรือเศรษฐกิจถดถอย แต่คราวนี้จะถดถอยทั้งโลกจนเรียกว่าเป็น World Recession
-พอเกิดภาวะถดถอย การบริโภคจะลดลงตามกันไป
2. ต้องมองโอกาสในวิกฤติ เช่นหุ้นถุงมือ หุ้นวัคซีนขึ้นได้ช่วงวิกฤติที่ผ่านมา จากนี้ไปกลุ่มไหนจะมาแน่ เช่น รถยนต์ไฟฟ้า บริษัทที่ทำแบตเตอรี่ พลังงานทดแทน หรืออุตสาหกรรมอาหาร
3. ต้องมองหาจุดเปลี่ยน Turning point
- ตอนปี’40 ค่าเงินบาทอ่อนถึง56บาท จุดเปลี่ยนคือ เดือน มค ปี’41 ประเทศไทยเริ่มได้เปรียบดุล บัญชีเดินสะพัด (ประเทศเริ่มกำไร) จากนั้นค่าเงินบาทก็เริ่มแข็งขึ้น
- ช่วงวิกฤต subprime จุดเปลี่ยนคือรัฐบาลสหรัฐได้ทำ stress test ระบบธนาคาร
- “จุดเปลี่ยน” ในปัจจุบันนี้ “เงินเฟ้อเราถึงจุดสูงสุดแล้ว น้ำมันเริ่มลง สินค้าโภคภัณฑ์เริ่มลง”
- recession กำลังจะเกิดขึ้น การบริโภคต่างๆจะต้องลดลง ซึ่งจะทำให้เงินเฟ้อลดลง
- ข่าวแย่ๆทุกคนรู้หมดเเล้ว ได้รับผลกระทบหมดแล้ว ทุกคนตามองตา แต่ยังไม่กล้าลงทุน
- ราคาหุ้น ลงมามากๆ แต่ยังมีอนาคต เราต้องกล้าจับตามอง
- Fed จะทำงานง่ายขึ้น ถ้าเงินเฟ้อลดลง
- ดอกเบี้ยยังต้องขึ้นไปเรื่อยๆจนเงินเฟ้อลดลง
- อสังหาริมทรัพย์ของจีนยังมีปัญหา
- รัสเซียยอมให้ยูเครนส่งอาหารออกได้ ความหมาย คือ ทุกคนเริ่มมีสติ ยอมถอยคนละก้าว
- จุดเปลี่ยนอีกข้อคือ รัสเซียยอมส่งก๊าซธรรมชาติ
4.ความอดทน นักลงทุนต้องมีข้อนี้ อดทนที่จะไม่เข้าไปซื้อ หรือถ้าคิดว่าใช่แล้ว มั่นใจเเล้ว หุ้นลงมาเยอะแล้ว หุ้นลงมาแบบเร็วๆ (คือทุกคนตกใจขายกันแบบรุนแรง) พื้นฐานรองรับแล้ว เราต้องกล้าในจังหวะนี้ แบ่งเงินสัก3ก้อน ถอยรับ3ครั้ง ไม่ใช่เข้าๆออกๆ
- เราต้องลงทุนเหมือนเป็นเจ้าของกิจการ เจ้าของกิจการเขาไม่ซื้อเช้าขายเย็นนะครับ
สรุปง่ายๆครับ
- ต้องเข้าใจวิกฤติ
- ถ้าติดหุ้นดีๆ ต้องอยู่อดทนสู้
- ถ้ายังไม่มีหุ้น ต้องเฝ้ามองหาจุดเปลี่ยน
- สังเกตง่ายที่สุดมีมันจะมีหุ้นแถวหนึ่ง ตัวใหญ่ เริ่มมีทรง กล้าขยับขึ้นก่อน
- จะมีนกบางตัวกล้าบินขึ้นจากสระ ไม่กลัวนายพรานแล้วครับ
….การลงทุนมีความเสี่ยงนะครับ เเพ้ชนะอยู่ที่ความรู้และประสบการณ์ครับ…
(บทความ cr.เสี่ยยักษ์)
/// บทความดีๆ จากเซียนหุ้นระดับหลายพันล้าน ..!! !!
“ในสถาณการณ์ตอนนี้…เราควรเริ่มลงทุนเมื่อไหร่?”
ช่วงที่ผ่านมาดูเหมือนว่าทั่วโลกจะมีข่าวร้ายเต็มไปหมด เงินเฟ้อ ดอกเบี้ย สงครามยูเครน น้ำมันแพง โควิดกลับมาอีกรอบ โรคระบาดและยังอื่นๆอีกมากมาย
แต่ก็ดูเหมือนเริ่มมีสัญญาณบางอย่างที่ดีขึ้นบ้าง ราคาน้ำมัน สินค้าโภคภัณฑ์ เริ่มปรับลง ดอกเบี้ยก็ขึ้นกันถ้วนหน้า ซึ่งทุกคนรับรู้แบ้ว ได้เตรียมรับแรงกระแทกกันไว้เเล้ว
ที่ผ่านมาถ้าตอนป๊ายังพอร์ทเล็กๆ ป๊าก็ขายเกลี้ยง เอาเรือขึ้นฝั่ง ซ่อมแหซ่อมอวนไปก่อน แต่ตอนนี้พอร์ทใหญ่ ก็เรายังถืออยู่ ตัดตัวไม่ดี ไม่มีอนาคตทิ้งไป ส่วนตัวที่ยังมีความหวัง ความฝัน ว่ายังก็ยังดี ป๊าก็จำใจถือ รอไป
เอาจริงๆ ตอนนี้ป๊าก็ทำตาปริบๆ นั่งมองตัวเลขทุกวันว่าเงินหายไปเท่าไหร่ คิดว่าเราจะรับได้ถึงเท่าไหร่ ให้ทำใจไว้เลย และแน่นอนว่าต้องเตรียมไว้ว่าจะซื้อกลับเมื่อไหร่ดีด้วย?
สถานการณ์ที่ผ่านมาเหมือนฝูงนกกระจาบที่โดนเอาอาหารล่อ แล้วนายพรานเอาแหครอบทีเดียว จับทีละเป็นฝูง พ่อแม่ลูก โดนเรียบ มีบางตัวที่อาจจะรอด นกกระจาบที่รอดตอนนี้ยังโดยนายพรานเอาข้าวเปลือกมาล่อต่ออีก แต่ยังไม่มีตัวไหนไปกินเลย นั่งตามองตากันอยู่ ไม่มีตัวไหนกล้าลงไปกินข้าวเปลือก ต่างคนตามองตากัน
ภาวะตลาดหุ้น ตลาดคริปโตก็อยู่ในอาการนี้ ตามองตากันอยู่…….ภาวะตลาดนั่งตามองตา คือภาวะที่ทุกคนระวังตัวให้ดี
แล้วเราสมควรจะเริ่มลงทุนเมื่อไหร่ ในภาวะวิกฤติแบบนี้ ? ดร.กอบศักดิ์ สรุปไว้ว่า ถ้าคิดจะลงทุนต้องรู้ 4 เรื่องนี้ (ลิงค์อยู่ในคอมเม้นครับ)
1. เราต้องเข้าใจว่าวิกฤตเกิดด้วยปัจจัยอะไร ที่มาของวิกฤติคืออะไร?
- อัตราดอกเบี้ยจะต้องขึ้น
- สงครามยูเครน
- อัตราการเจริญเติบโตของจีนต่ำมาก ภาวะอสังหาริมทรัพย์ของจีนเริ่มมีอาการไม่ดี
- ประเทศที่ทุนสำรองน้อยเดือดร้อน
- หุ้น Nasdaq บางตัวลงมา75% ภายในครึ่งปี ซึ่งไม่เคยปรากฎมาก่อน
ดร.กอบศักดิ์ สรุปว่า ครึ่งปีแรกที่ผ่านมา เลือดนองตลาด ตลาดผ่านมาครึ่งปีแล้ว ตลาดออกมาจากห้องฉุกเฉินแล้ว คนไข้ยังต้องมาพักฟื้นที่ห้อง ICU อีกสักระยะ คนไข้ยังลุกเดินไม่สะดวก ยังต้องพักฟื้นอีกสักระยะ
-FED พึ่งเริ่มต้นขึ้นดอกเบี้ย และคงค่อยๆขึ้นจนเงินเฟ้อลงมาประมาณเหลือ 3%
-ตามมาด้วย Recesstion หรือเศรษฐกิจถดถอย แต่คราวนี้จะถดถอยทั้งโลกจนเรียกว่าเป็น World Recession
-พอเกิดภาวะถดถอย การบริโภคจะลดลงตามกันไป
2. ต้องมองโอกาสในวิกฤติ เช่นหุ้นถุงมือ หุ้นวัคซีนขึ้นได้ช่วงวิกฤติที่ผ่านมา จากนี้ไปกลุ่มไหนจะมาแน่ เช่น รถยนต์ไฟฟ้า บริษัทที่ทำแบตเตอรี่ พลังงานทดแทน หรืออุตสาหกรรมอาหาร
3. ต้องมองหาจุดเปลี่ยน Turning point
- ตอนปี’40 ค่าเงินบาทอ่อนถึง56บาท จุดเปลี่ยนคือ เดือน มค ปี’41 ประเทศไทยเริ่มได้เปรียบดุล บัญชีเดินสะพัด (ประเทศเริ่มกำไร) จากนั้นค่าเงินบาทก็เริ่มแข็งขึ้น
- ช่วงวิกฤต subprime จุดเปลี่ยนคือรัฐบาลสหรัฐได้ทำ stress test ระบบธนาคาร
- “จุดเปลี่ยน” ในปัจจุบันนี้ “เงินเฟ้อเราถึงจุดสูงสุดแล้ว น้ำมันเริ่มลง สินค้าโภคภัณฑ์เริ่มลง”
- recession กำลังจะเกิดขึ้น การบริโภคต่างๆจะต้องลดลง ซึ่งจะทำให้เงินเฟ้อลดลง
- ข่าวแย่ๆทุกคนรู้หมดเเล้ว ได้รับผลกระทบหมดแล้ว ทุกคนตามองตา แต่ยังไม่กล้าลงทุน
- ราคาหุ้น ลงมามากๆ แต่ยังมีอนาคต เราต้องกล้าจับตามอง
- Fed จะทำงานง่ายขึ้น ถ้าเงินเฟ้อลดลง
- ดอกเบี้ยยังต้องขึ้นไปเรื่อยๆจนเงินเฟ้อลดลง
- อสังหาริมทรัพย์ของจีนยังมีปัญหา
- รัสเซียยอมให้ยูเครนส่งอาหารออกได้ ความหมาย คือ ทุกคนเริ่มมีสติ ยอมถอยคนละก้าว
- จุดเปลี่ยนอีกข้อคือ รัสเซียยอมส่งก๊าซธรรมชาติ
4.ความอดทน นักลงทุนต้องมีข้อนี้ อดทนที่จะไม่เข้าไปซื้อ หรือถ้าคิดว่าใช่แล้ว มั่นใจเเล้ว หุ้นลงมาเยอะแล้ว หุ้นลงมาแบบเร็วๆ (คือทุกคนตกใจขายกันแบบรุนแรง) พื้นฐานรองรับแล้ว เราต้องกล้าในจังหวะนี้ แบ่งเงินสัก3ก้อน ถอยรับ3ครั้ง ไม่ใช่เข้าๆออกๆ
- เราต้องลงทุนเหมือนเป็นเจ้าของกิจการ เจ้าของกิจการเขาไม่ซื้อเช้าขายเย็นนะครับ
สรุปง่ายๆครับ
- ต้องเข้าใจวิกฤติ
- ถ้าติดหุ้นดีๆ ต้องอยู่อดทนสู้
- ถ้ายังไม่มีหุ้น ต้องเฝ้ามองหาจุดเปลี่ยน
- สังเกตง่ายที่สุดมีมันจะมีหุ้นแถวหนึ่ง ตัวใหญ่ เริ่มมีทรง กล้าขยับขึ้นก่อน
- จะมีนกบางตัวกล้าบินขึ้นจากสระ ไม่กลัวนายพรานแล้วครับ
….การลงทุนมีความเสี่ยงนะครับ เเพ้ชนะอยู่ที่ความรู้และประสบการณ์ครับ…
(บทความ cr.เสี่ยยักษ์)