กานดา นาคน้อย การเปรียบเทียบจำนวนนายพลของไทยกับที่อื่นๆ

ไทยมีนายพลมากกว่าสหรัฐอเมริกา

ปัจจุบันกองทัพไทยมีนายพลประมาณ 1,400 คน [1] ส่วนสหรัฐฯซึ่งเป็นมหาอำนาจทางการทหารมีฐานทัพหลายแห่งทั่วโลกกลับมีนายพลทุกเหล่าทัพรวมกันไม่ถึง 1,000 คน [2] เทียบแล้วสหรัฐฯมีจำนวนนายพลเพียง 2 ใน 3 ของจำนวนนายพลไทย สหรัฐฯ มีกำลังพลประมาณ 3 เท่าของกำลังพลของกองทัพไทย เมื่อเปรียบเทียบด้วยจำนวนประชากรแล้ว   สหรัฐฯมีประชากรประมาณ  5 เท่าของไทย ดังนั้นสัดส่วนกำลังพลของกองทัพไทยต่อประชากรจึงสูงกว่าสัดส่วนกำลังพลของกองทัพสหรัฐฯเสียอีก ทำให้เกิดคำถามว่าตั้งแต่ไทยมีโรงเรียนนายร้อย จปร. ผลิตนายพลล้นหลามมา 127 ปีนี้กองทัพไทยทำสงครามรบชนะชาติใดบ้าง? กองทัพไทยวิจัยและพัฒนาเพื่อผลิตอาวุธอะไรบ้าง?

งบประมาณวิจัยและพัฒนาของไทยต่ำมาก

เมื่อดูงบประมาณวิจัยและพัฒนาของไทยแล้วพบว่ามีมูลค่าเพียง 2 หมื่นล้านบาทหรือ 0.8% ของงบประมาณประจำปี [3]    ส่วนทีสหรัฐฯ งบประมาณวิจัยและพัฒนามีมูลค่าประมาณ 3.46 % ของงบประมาณประจำปี ประมาณครึ่งหนึ่งของงบวิจัยและพัฒนาเป็นงบวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีด้านการป้องกันประเทศ [4] แสดงว่าสัดส่วนงบวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีด้านการป้องกันประเทศในงบประมาณประจำปีของสหรัฐฯเป็น 2 เท่าของสัดส่วนงบวิจัยและพัฒนาทุกๆ ด้านของไทย

เมื่อเทียบการใช้จ่ายเพื่อการวิจัยและพัฒนา (ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน) กับนานาชาติแล้วพบว่าตัวเลขของไทยต่ำจนน่าใจหาย เมื่อวัดสัดส่วนการใช้จ่ายเพื่อวิจัยและพัฒนาต่อผลผลิตประชาชาติ (จีดีพี) แล้วพบว่าของไทยอยู่ที่ 0.25% ของจีดีพี ตัวเลขนี้สำหรับญี่ปุ่นและเกาหลีใต้สูงกว่า 3% สำหรับสิงคโปร์และมาเลเซียอยู่ที่ 2% และ 1% ตามลำดับ [5]

ไทยมีศาสตราจารย์น้อยกว่านายพล

ในเมื่อทุนวิจัยของไทยต่ำมากก็ไม่น่าแปลกใจว่านักวิจัยไทยมีผลงานวิจัยน้อย จำนวนศาสตราจารย์ไทยก็น้อยกว่าจำนวนนายพล ไทยเสียอีก [6]  ซึ่งแตกต่างจากจำนวนศาสตราจารย์ที่สหรัฐฯ จำนวนศาสตราจารย์ในมหาวิทยาลัยประจำมลรัฐใหญ่ๆอย่างแคลิฟอร์เนียแค่มลรัฐเดียวก็มีจำนวนศาสตราจารย์มากกว่านายพลอเมริกันทุกเหล่าทัพรวมกัน มหาวิทยาลัยวิจัยเอกชนขนาดใหญ่อย่างสแตนฟอร์ดแห่งเดียวก็มีจำนวนศาสตราจารย์มากกว่านายพลอเมริกันแล้ว [7] ไม่ว่าจะวัดด้วยจำนวนประชากรหรือจำนวนแรงงานมีทักษะอย่างศาสตราจารย์ ชัดเจนว่านายพลอเมริกันมีพื้นที่ในตลาดแรงงานน้อยกว่านายพลไทยมากๆ นอกจากนี้สหรัฐฯก็ยกเลิกการเกณฑ์ทหารไป 40 ปีแล้ว นายพลอเมริกันไม่ได้ใช้แรงงานฟรีจากการเกณฑ์ทหารแบบนายพลไทย

สวัสดิการนายพล

ฉันพยายามหาสถิติว่ากองทัพไทยใช้งบประมาณเพื่อการคมนาคมขนส่งให้นายพลปีละเท่าไร? งบจัดซื้อรถยนต์ประจำตำแหน่ง งบค่าน้ำมัน และงบค่าเดินทางไปต่างประเทศ รวมกันคิดเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ของงบประมาณกลาโหมซึ่งมีมูลค่าเกือบ 2 แสนล้านบาท? งบรถยนต์ประจำตำแหน่งรวมทั้งงบค่าน้ำมันงบและงบค่าเดินทางไปต่างประเทศของนายพลไทยสูงกว่างบวิจัยและพัฒนาทุกๆด้านในไทยหรือไม่? แต่ฉันไม่สามารถหาสถิติได้  

การปฏิรูปกองทัพ

ในเมื่อนายพลเสนอตัวปฎิรูปประเทศ นายพลก็ต้องปฎิรูปตัวเองด้วย อาทิ ปฏิรูปด้านความโปร่งใสของการใช้จ่ายงบประมาณ รวมทั้งปฎิรูปเพื่อลดจำนวนนายพลและลดกำลังพลให้เหมาะสมกับจำนวนประชากร การเข้าร่วมประชาคมอาเซียนไม่ใช่การเข้าทำสงคราม แต่เป็นการแข่งขันด้านเศรษฐกิจและทรัพยากรบุคคล ถึงเวลาแล้วที่นายพลที่ว่างงานควรโดนปลดประจำการเพื่อคืนทรัพยากรให้ส่วนรวม ไม่ว่าจะเป็นงบรถยนต์ประจำตำแหน่ง งบค่าน้ำมันฟรี งบตั๋วเครื่องบินฟรี ฯลฯ   เพื่อให้งบประมาณโดนจัดสรรเพื่อการวิจัยและพัฒนาให้ทัดเทียมกับประเทศในกลุ่มอาเซียน



[1] http://www.freedomhouse.org/report/countries-crossroads/2011/thailand#.VEIKUPldWQw

[2] http://truth-out.org/index.php?option=com_k2&view=item&id=5920%3Athe-pentagons-biggest-overrun-way-too-many-generals

[3] http://www.moe.go.th/websm/2014/aug/183.html

[4] http://www.whitehouse.gov/sites/default/files/microsites/ostp/fy2015rdtables.pdf

[5] http://data.worldbank.org/indicator/GB.XPD.RSDV.GD.ZS

[6] http://www.nap.mua.go.th/

[7] http://facts.stanford.edu/academics/faculty-profile
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 35
เรื่องพวกนี้เอาจริงๆ เคยพูด เคยเปรย เคยถกกันมานานแล้ว

แต่ถ้าพูดตอนนี้ไป เอาตรงๆ เดี๋ยวก็เข้าข้อหาการเมืองอีก โดนหาว่าเป็นเรื่องประยุทธ์, รัฐประหาร, เสื้อแดงเสื้อเหลือง ฯลฯ อีก


พูดกันมานานมาก ว่า สปอตไลท์ มันจับจ้องแต่พวก "นักการเมือง" พวกนี้เป็นแค่ยอดภูเขาน้ำแข็ง ถูกจับถูกไล่บี้ได้ แต่อีก 2 อย่างที่ทั้งสื่อและสังคมลืมไปหมดคือ 1. การคอรัปชั่น ไม่ใช่นิสัยนักการเมือง แต่คือ "นิสัยคนไทย"

และจากข้อแรกมาสู่ข้อ 2. มีอีกหลายหน่วยงาน หลายภาคส่วนในไทยอีกมากที่บ่อนทำลายชาติจากการคอรัปชั่นและใช้งบประมาณอย่างไม่มีประสิทธิภาพ

เคยสงสัยบ้างมั้ย เปลี่ยนรัฐบาลทุกๆ 1-2 ปี เปลี่ยนมันยกชุดยกทีม ฝ่ายค้านก็จ้องขยี้จองล้างกัน งัดแงะแซะตลอด เป็นแบบนี้มากี่สิบปี ทำไมเรื่องคอรัปชั่นยังถูกพูดถึง ไม่จบไม่สิ้น ไม่หมดไป?

ก็มีแต่คนดีๆ ออกมาล้างบางคนไม่ดีตลอดเวลานี่นา?

ข้าราชการประจำล่ะครับ? พวกนี้ยังอิ่มอยู่ในเกาอี้ไม่ว่ารัฐบาลไหนๆ แต่เพราะมันเหมือนรังผึ้ง มันได้หยิบทียกกระบิ เทกระจาด แต่ตอดคนละเล็กละน้อย อำเภอละเท่าไหร่ ท้องที่ จังหวัด ภูมิภาค ฯลฯ

ไม่ใช่แค่ข้าราชการฝ่ายปกครอง, ตำรวจ, หมอ, ครู

และ ทหาร

ได้มาขุดคุ้ยกันบ้างไหม? ปล่าว


งบกลาโหมปีๆ นึง 2 แสนกว่าล้านบาท เคยมั้ย เคยมีใครกล้าไปแตะไหม? สนธิ, อภิสิทธิ์, สุเทพ, จำลอง ฯลฯ ?


"ทหาร" กลายเป็น "สถาบัน" ที่ใหญ่ที่สุดในไทยแบบเงียบๆ มาตลอดหลายสิบปี เมื่อก่อนมันเคย "ใหญ่แบบโจ่งแจ้ง" แต่ด้วยกระแสโลกาภิวัฒน์ คนรุ่นใหม่ศึกษาหาความรู้ รู้จักคำว่าประชาธิปไตย ความเสมอภาค ฯลฯ ทำให้ทหารต้องค่อยๆ ลดบทบาทลงไป ปล่อยให้นักการเมืองดวลฝีมือกัน

แต่สุดท้าย สุดท้าย คนไทยก็ทำกันเอง

นักศึกษารุ่นใหม่ ก็ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร เฮโลตามกระแส โหนคำเท่ๆ รักชาติ โกง วนๆ มันอยู่แค่นี้ แค่แบบตื้นเขิน

"ตื้นเขิน"


วันนี้ ชาติไทยก็แทบถึงจุดจบ เมื่อคนไทยยิ้มเริ่งร่ามอบเสรีภาพและความเสมอภาคของคนเตงให้ทหารไป


รัฐประหาร ใช้คำถูกแล้ว

แต่ "ปฏิวัติ" หรือ revolution ก็ไม่ผิดแล้ว เพราะนี่คือเปลี่ยนผ่าน จากสังคมที่ "พยายาม" ใช้แนวทางประชาธิปไตยแบบลูกผีลูกคน ง่อนๆ แง่นๆ มานาน สุดท้าย ก็ละทิ้ง และอ้าแขนรับระบอบ ทหารธิปไตย อย่างเต็มภาคภูมิ

วันที่คนไทยเคย Look Up คือมองต่างชาติอย่างชื่นชม อยากเอาเยี่ยงเอาอย่าง ค่อยๆ หมดไป คนไทยเริ่มปีกกล้าขาแข็ง และมองว่าเราไม่แพ้ชาติไหนในโลก

คำเดียวที่คนไทยส่งออกไปสู่สังคมโลกคือ "เsือก"


อีก 10 ปี หรือ 20 ปี ต่อให้บ้านเรามีนายกรัฐมนตรีได้ มันก็เป็นได้แค่นายกฯหุ่นกระบอก

นายกรัฐมนตรีหุ่นกระบอก ประชาธิปไตยหลอก อำนาจกลวงๆ

นี่ คือสิ่งที่กำลังก่อร่างสร้างตัว ในสังคมไทย และคนไทยก็เริ่งร่ายะฮู้ไปกับมัน


ต่างชาติได้รู้แล้ว และกำลังเรียนรู้เพิ่มเติม ว่าคนที่มีอำนาจสูงสุดในสังคมไทย คือ ทหาร อีกหน่อยมันไม่ต้องมีแล้วเยี่ยมเยียนนายกฯ ไม่ต้องหารือกับผู้นำทางการเมือง

วิเคราะห์ข่าวต่างประเทศของต่างชาติ จะไม่แค่วิเคราะห์แนวคิดของนายกฯคนไทย แต่จะวิเคราะห์ด้วยว่า "ผู้นำทหาร" เป็นคนแบบไหน เพราะผู้นำทหารคนไทยคือนายกฯเงา คือผู้กำอำนาจสูงสุดตัวจริง

อีกหน่อย เราอาจไม่ได้เห็นภาพนายกฯยืนคู่ผบ.ทบ. แต่อาจต้อง "เข้าเยี่ยม" หรือ "เข้ารับพร" จาก ผบ.ทบ.




"ความจริง" ที่ต้องยอมรับให้ได้ คือ ทุกๆ ความเสื่อมของสังคมไทย ไม่ได้เกิดจากกลุ่มคนกลุ่มเดียว อาชีพเดียว ถ้าจะมาอ้างเรื่องชาติจริง ต้องยอมรับว่ามันมาจากทุกที่ เพราะมันทัศนคติ คือนิสัย ของคนไทย ไม่ใช่แค่ "นักการเมือง" ถ้าจะขยี้รัฐธรรมนูญทิ้งแล้วเขียนใหม่ตามอำเภอใจ ก็อย่าอ้างเรื่องปฏิรูป ปฏิวัติ

ถ้าปฏิรูป เพื่อชาติ มันต้องทั้งหมดไปเลย กล้าไหม ชำแหละค่ายทหาร

ทุกวันนี้ คนใหญ่คนโตกลัวค่ายทหารขนาดไหน


ประเทศไทย "ไม่มีใครใหญ่เกินคุกทหาร"

ถ้าม๊อบถูกตำรวจจับ ฟ้องร้อง ขึ้นศาล ละเมิดสิทธิ์ ฯลฯ ถ้าม๊อบเข้าคุกทหาร เงียบฉี่


"สิทธิ์" ที่ถูกนำมาอ้าง ใช้กันชุ่ยๆ แพร่หลายเกลื่อนเกร่อ สุดท้ายก็เงียบสนิทเมื่อมันถูกละเมิดโดย "ทหาร"


กลไกของประชาธิปไตย คือ เก้าอี้สามขา ที่คานกันและกันระหว่าง ฝ่ายบริหาร, ฝ่ายนิติบัญญัติ, และฝ่ายตุลาการ

ของไทย ทั้ง 3 ฝ่ายนั้นยังอยู่ใต้ "ฝ่ายชุดพราง" อีกที



น่าเศร้าใจ ที่ความเกลียดชังทางการเมืองมันลุกลามร้ายแรงจนทำให้ผู้คนหน้ามืดตามัว ถึงขนาดไม่เห็นแก่ประโยชน์ในภาพกว้าง ประโยชน์หมู่มาก แต่ยอมสละทุกสิ่งอย่างเพื่อทำร้ายทำลายฝ่ายตรงข้าม เราถึงจุดที่ "ยอมเผาบ้านตัวเอง เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายได้อยู่"

คำปลุกใจในวันนั้น เลือดรักชาติที่สูบฉีดในวันนั้น วันนี้กลับสิ้นเสียง เงียบสนิท

กี่เดือน กี่ปี หรือกี่สิบปี ที่คนไทยจะเป็นอยู่แบบนี้ แล้วก็ร้องโวยวายเรียกร้องหาความเจริญ


คงต้องรอ รอ.. รอให้ประเทศไทย มันพังทลายถึงรากฐาน ถึงจุดที่แม้แต่พื้นบ้านก็ไหม้เสียจนไม่มีใครอยู่ได้ ทุกคนถึงจะได้ตาสว่าง


Nobody cares as long as their stomachs are full - ตราบเท่าที่ยังกินอิ่มนอนหลับ สุขสบาย ก็ไม่มีใครสนใจจริงๆ หรอกว่าเกิดอะไรขึ้น


"อ้าว แล้วที่ผ่านมาล่ะ?"

ที่ผ่านมา มันไม่ใช่ people's revolution เลย ไม่ เคย แม้แต่ใกล้เคียง...........

ที่ผ่านมา มันไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าเกมการเมือง เป็นกล เป็นเกม เป็นกระแส เป็นฉวยโอกาส จังหวะ เวลา เป็นเล่ห์ เป็นกล

แน่นอน ผมรู้ คนที่ไม่โง่ในไทยก็เยอะ คนที่รู้ แต่ถึงจุดนั้นแล้ว คุณไม่แคร์ ผมรู้ คุณออกไปทั้งที่รู้ว่าเป็นแค่หมาก แต่เพื่อสนอง hatred ของตัวเอง ต่อให้ต้องโง่แค่ไหนก็ยอม


a true people's enlightenment
a true people's awakening
a true people's raise

พวกนี้ยังไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลยในตลอดห้วงหลายปีที่ผ่านมา เพียงแต่มันมีการใช้คำเท่ห์ๆ แบบ "รู้ทัน", "จับได้", "ปลดแอก", หรือ "สงครามครั้งสุดท้าย" กันบ่อย ปลุกเร้า พร่ำเพร่อ จนมัน........ น่าเศร้า

ทุกๆ จำนวนม๊อบที่มีมา

ทุกๆ การอ้างการ "รู้แจ้ง" ที่ผ่านมา

มันกลับยิ่งตอกย้ำถึงความ "รู้ ไม่ ทัน" ของประชาชน

และมาถึงวันนี้ วันที่ถึงจุดต่ำสุดของระบอบ ระบบ ถึงจุดที่ต่ำกว่านี้ก็ได้แค่เป็นแบบพม่าในช่วงก่อนหน้า หรือไม่ก็เป็นเกาหลีเหนือในปัจจุบัน



อายุผมยังไม่มาก แต่ก็ยังไม่แน่ใจว่าจะได้มีวันเห็นวันนั้นมั้ย วันที่ไทย "ฉลาด" และ "ลืมตาตื่น" จริงๆ เสียที ด้วยตัวเอง อย่างบริสุทธิ์ และมีพลังแท้ๆ จริงๆ ไม่ใช่เพียงแค่หมากกลทางการเมือง

ผมอาจต้องตายก่อน
ความคิดเห็นที่ 37
จะบอกว่าเทียบตรงๆแบบนั้นจริงๆก็ไม่แฟร์เท่าไหร่ครับ
ความจริงจำนวน "นายพลอัตราหลัก" นั้นถูกพิคตามอัตรากำลังพลอยู่แล้วครับ ตรงนี้เค้าอ้างอิงนาโต้กันเพื่อประโยชน์ในการรบร่วม

แต่สาเหตุนึงที่นายพลเราเยอะนั่นเพราะการให้ยศ 1 ขั้นก่อนเกษียณ 1 ปีครับ ดังนั้นพวกที่อั้นๆจ่อ พ.อ.(พ) ไว้นั้นได้เป็นนายพลหมด แต่นายพลพวกนี้ทางปฎิบัติไม่ได้มีตำแหน่งหรืออำนาจอะไร (งบประมาณก็ไม่ได้ใช้เพิ่มเพราะพวกนี้จะได้แต่ยศกินอัตราเงินเดือนเดิม) เป็นพวกได้รอเกษียญเท่านั้นส่วนอเมริกา หากนายพลถูกย้ายออกจากตำแหน่งโดยไม่ได้ตำแหน่งหลัก โดยมากเค้าจะเชิญให้เกษียญเลย หากไม่เกษียณก็จะลดยศเหลือพล.ต. โดยแลกกับค่าตอบแทนให้ออก แต่เมืองไทยไม่มีนโยบายตรงนั้นถ้านายพลหลุดจากตำแหน่ง(โดยยังไม่เกษียญ) ส่วนมากก็นั่งประจำ จึงยังอยู่ในระบบอยู่ ถึงแม้ไม่ได้อำนาจอะไรแล้ว

ยังไม่รวมค่านิยมคนไทยที่มักใช้ยศนำหน้าชื่อ ดังนั้นคนสำคัญๆ หลายๆคนเราเห็นเค้าใช้ยศนายพลก็จริง แต่เค้าอาจจะไม่ใช่ข้าราชการประจำแล้วนะครับ

ทีนี้ถามว่าถ้าอยากให้ตัวเลขนายพลที่แท้จริงน้อยทำไง ง่ายมากขั้นแรกคือไม่แต่งตั้งยศให้ก่อนเกษียณ ตรงนี้อาจลดนายพลได้เกือบๆครึ่ง แต่คำถาม
คือทำเพื่ออะไร ในเมื่อการแต่งตั้งยศให้ก่อนเกษียญเป็นขวัญและกำลังใจให้ข้าราชการที่รับราชการมายาวนาน แต่ให้ยศก่อนเกษียญมันไม่ได้เสียอะไรเนื่องจากเงินเดือนก็เท่าเดิม ค่าต่างๆก็ไม่มี การยกเลิกไปความจริงก็จะทำให้เสียกำลังใจกันเปล่าๆ

ส่วนอย่างที่ 2 พอนายพลออกจากตำแหน่งก็ให้เออรี่ แต่คำถามอีกนั่นแหละมีเงินพอจูงใจแบบอเมริกามั้ย ทุกๆปีที่ผ่านมาเชื่อมั้ยคนอยากเออรี่เยอะแยะ แต่โควต้าไม่พอเพราะงบเออรี่ไม่พอ

ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นเนื่องจากนายทหารระดับสูงจำนวนเยอะนั้นหลายคนคงไม่ทราบ ประชาชนทั่วไปมองกันไปเองว่าทหารระดับนี้ๆใหญ่ แต่ความจริงคือถ้าเทียบระดับเงินเดือน สวัสดิการ ต่างๆมันอ้างอิงกันหมดและทหารค่อนข้างช้ากว่าข้าราชการอื่นๆแล้ว

อย่างท่านทราบมั้ยว่าอาจารย์ คส. 3 เดียวนี้ข้ามแท่งกินอาจารย์ คส.4 ได้ เงินเดือนอาจารย์ คส.3 ข้ามแท่งใหม่นี้เท่ากับเงินเดือน พ.อ.(พ) และพล.ต.(2 ชั้นยศนี้เงินเดือนตันเท่ากัน) แต่ถามหน่อย อาจารย์คส.3 (คิดเป็น 30+ % ของครูทั่วไทย) กับ พ.อ.(พ)-พล.ต.(มีไม่ถึง 2 % ของข้าราชการทหาร ย้ำว่าเฉพาะข้าราชการไม่รวมพลทหาร) อันใหนได้ง่ายกว่า ส่วนอาจารย์คส.4 นั้นเงินเดือนตันเท่าพล.อ.ด้วยซ้ำ

ส่วนระดับล่างๆ ไม่ได้อ้างอิงนาโต้ก็จริง แต่ถ้าเทียบกับข้าราชการอื่นๆก็ช้ามาก ทหารยศ ร.ต.-พ.ต. เทียบได้แค่ วิชาการ คส.1 เงินเดือนชั้น น.1(ของร.ต.-ร.อ.)  ขั้นเงินเดือนขึ้นน้อยกว่าครูผู้ช่วย แท่งวิชาการปรกติซะอีก(คือถ้าได้ 1 ขั้นเท่ากันทหารเงินเดือนจะขึ้นน้อยกว่าข้าราชการอื่นๆ ต้องแท่ง น.2 ของ พ.ต. ถึงเท่ากับข้าราชการอื่น) พ.ท.-พ.อ.(บางตำแหน่ง) เทียบเท่าแค่ชำนาญการหรือค.ส.2 แต่กว่าจะถึงขั้น พ.ท.ได้นั้นทหารตั้งใช้เวลาอย่างต่ำ 13-15 ปีในการได้ชำนาญการ (ข้าราชการ 6 ปีก็ได้แล้ว) ดังนั้นพูดก็พูดเถอะ ถ้าอยากให้ยศไม่เฟ้อหน่ะ ก็ต้องเลิกเอาเงินเดือนผูกยศก่อนครับ

และอันนี้ส่วนตัวนะครับ ผมว่าจำนวนนายพลไม่เกียวกับการปฎิวัติ เกี่ยวกับการเมืองบ้านเราโดยตรง อันนั้นเป็นเรื่องของบทบาท โครงสร้างอำนาจทหารมากกว่า ตรงข้ามถ้าตำแหน่งนายพลหลักเยอะจริง ยิ่งยากต่อการรวบอำนาจ เช่น ถ้ากำลัง 100000 คนมี นายพล 1 คน แสดงว่านายพล 1 คน คุมกำลังพล 100000 นาย ถ้ากลับกัน มีนายพล 10 คน กำลังพล 100000 นายพล 1 คน คุมกำลังพล แค่ 10000 ถามจริง 2 ระบบนี้นายพลแบบในน อำนาจมากกว่ากัน  การล็อบบี้คน 1 คนให้ได้กำลัง 100000 กับล็อบบี้คน 10 คนให้ได้กำลังเท่ากันอันใหนง่ายกว่า  ดังนั้นอยากให้ทราบว่าความจริงนายพลเยอะหน่ะส่งผลให้อำนาจนายพลน้อยลงด้วยซ้ำ

การโกงเช่นกัน ไม่ใช่ว่ามีนายพลน้อยจะโกงน้อยลง ถ้านายพล 10 คน โกง 10 ล้าน นายพล 1 คนไม่ได้หมายความว่าจะโกงแค่ 1 ล้าน ในเมื่อเค้ามีงบ มีกำลังพลเท่านายพล 10 คน ตรงข้ามเนื่องจากที่กล่าวไปขั้นต้นถ้านายพล 1 คน มีอำนาจเยอะไปการโกงกลับยิ่งง่ายด้วยซ้ำ ตรงนี้ถ้าใครเรียนบริหารมาจะทราบว่าการบริหารแนวใหม่ความจริงคือเค้าพยายามทำให้จำนวนระดับชั้นมันลดลง และเพิ่มจำนวนคนระดับมีอำนาจตัดสินใจมากขึ้น เพื่อเพิ่มความเร็ว และอิสระในการบริหาร รวมถึงลดอำนาจเบ็ดเสร็จลง ทำให้ง่ายต่อการตรวจสอบขึ้นด้วยซ้ำ

ปล.ค่านำมันประจำตำแหน่งจริงๆไม่มีนะครับ จะมีเป็นค่ารถประจำตำแหน่ง (ซึ่งหลายๆคนเรียกค่าน้ำมันนั่นแหละ) ซึ่งค่ารถประจำตำแหน่งนี้ไม่ใช่ได้แต่ทหารนะครับ แต่ข้าราชการระดับ 9 ขึ้นไปในตำแหน่งเทียบเท่ารองอธิบดี รองเจ้ากรม (หมายความว่าไม่ได้ได้ทุกคน นายพลก่อนเกษียญไม่ได้)ก็ได้เหมือนกันหมด เป็นเงินที่ให้ตามระเบียบราชการครับ

ตั๋วเครื่องบินฟรีนี่ไม่มีครับ เรื่องงบดูงานต่างประเทศจริงๆก็เหมือนข้าราชการอื่นๆแหละ
ความคิดเห็นที่ 2
การที่ ปทท มีนายพล จำนวนมาก บ่งบอกถึงเรื่องหนึ่ง

คือ ยศฐา บรรดาศักดิ์
ความคิดเห็นที่ 6
สักวันจะมีข่าวว่า มอไซด์ประสานงา
คู่กรณีเป็นนายพลทั้งคู่ เนื่องจากเยอะเกินหลบกันไม่พ้น
ความคิดเห็นที่ 13
เรื่องบ้าบอสมัยเป็นไอเณร

ผมติดทหารที่นครศรี  แต่ไม่ใช่คนจังหวัดนั้น

วันหนึ่งผมและพรรคพวกรวม 8 คนถูกเกณฑ์ไปตัดหญ้าให้บ้านอดีตรองแม่ทัพที่เกษียณไปแล้ว

ต้องลอกท่อหลังบ้านซึ่งโครตสกปรก  หนอนแมลงวันยั้วเยี้ย  ลงไปลุยกันโดยไม่มีอะไรป้องกัน

คนๆนี้เป็นอดีตทหาร เขาไม่เกี่ยวข้องอะไรกับกองทัพแล้ว  แล้วทำไมถึงได้เอากำลังพลมาทำอะไรแบบนี้

ต่อมาไม่นานพ่อตาหรือแม่ยายแกเสียนี่แหละ

โอย  มีคำสั่งเกณฑ์กำลังพลทุกหน่วยไปช่วยงานอีก

เอาไอเณรไปเสิร์ฟน้ำ  เสิร์ฟข้าว

ไร้สาระสิ้นดี
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่