ความเดิมตอนที่แล้ว
http://ppantip.com/topic/32578156
จัดเก็บเอกสารเตรียมประชุมเรียบร้อยแล้ว ติ๊นาก็นั่งลงระบายลมหายใจยาวที่เก้าอี้โต๊ะทำงาน
เมื่อตอนเช้า ติ๊นาส่งใบลาพักร้อนแค่เพียงสามวัน ที่ตั้งใจลาแค่นั้นเพราะวันสุดท้ายติดกับวันหยุดอีกหนึ่งวันพอดี สี่วันสำหรับการพักงานในครั้งนี้ ติ๊นาว่าเพียงพอแล้วล่ะกับสิ่งที่ตั้งใจจะทำ
ส่งใบลาเสร็จรีบโทรศัพท์แจ้งดนัยก่อนเป็นคนแรก เอ๊ะ ทำไมติ๊นาต้องรายงานราวกับเป็นเรื่องสำคัญถึงปานนั้นด้วยนะ ตอนเขาส่งใบลาของตัวเองไม่เห็นเขาเล่าอะไรให้ฟังด้วยซ้ำไป แถมยังทำเป็นยึกยักมาบอกเอาตอนหลัง เมื่ออารมณ์เซอร์ไพรส์เย็นชืดหมดแล้ว
รายงานของติ๊นาต่างหากที่กำลังร้อนๆ แต่ทำไมดนัยตอบแค่ อือม.. ก็ไม่รู้
แบบนี้มันน่าบีบมือให้ร้องลั่นเสียจริงๆ
....
'
แม่ '
ย้อนไปเมื่อแปดเดือนที่แล้ว
ภาพใบหน้าแสนคุ้นเคยของผู้หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งค่อยๆผุดขึ้นมาในความทรงจำ ติ๊นายังมองเห็นความเรียบง่ายถึงการใส่ใจตัวเองของแม่อยู่เช่นเคย ริ้วรอยแห่งชีวิตเริ่มปรากฎให้เห็นเด่นชัดมากขึ้นทุกที แต่ใบหน้าเรียบง่ายนั้นก็ยังคงได้รับการเอาใจใส่แค่เพียงแป้งรองพื้นไม่เคยเปลี่ยนแปลง เค้าหน้าที่ยังมองเห็นร่องรอยความสวยเมื่อยังสาวยังคงฉาบฉายให้เห็นเมื่อยามเหลือบมอง รอยยิ้มซึ่งมีให้เห็นและเสียงหัวเราะซึ่งมีให้ได้ยินนานๆครั้ง ติ๊นาว่า ครั้งนี้ทั้งติ๊นาและตะนอยต่างก็ได้เห็นและได้ยินมากขึ้นกว่าครั้งที่แล้วมาอย่างเห็นได้ชัด ไม่เว้นแม้กระทั่งตอนที่แม่กำลังค่อนแคะลูกสาวทั้งสองคน
เราสองคนพี่น้องถูกถามถึงเรื่องแฟนบ่อยครั้งขึ้น ตะนอยยังเอาตัวรอดได้เสมอ เพราะสามารถอ้างได้ว่าชีวิตของเธอถูกจำกัดอยู่แค่ขอบรั้วบ้านกับเขตรั้วโรงพยาบาล เรื่องสังคมภายนอกจึงเป็นเรื่องที่ยังต้องค่อยๆเพิ่มเวลาให้หลังจากที่ตำแหน่งหน้าที่การงานเบามือลงกว่านี้เสียก่อน ฟังแล้วเหมือนเหตุผลอ่อนเหลือเกิน แต่ก็เป็นที่น่าพอใจแล้วล่ะ ที่ติ๊นากับตะนอยได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆจากแม่
พอถึงคิวลูกสาวคนโต แม่เลยค่อนข้างจัดหนักมาให้ ไหนจะย้ำแล้วย้ำอีกเรื่องอายุของติ๊นาที่ผ่านไปและมากขึ้นทุกที แม่คงจะติดกับดักของแม่เองอยู่กับคำว่า'
เลือกมาก'อย่างแน่นอน เพราะแม่เผลอใช้คำนี้เกือบสามสิบครั้งแล้วกับลูกสาวคนโสดในสายตาของแม่ ซึ่งใช้ด้วยเหตุผลเชิงสะกิดให้รู้ตัวหรือเป็นการปรามไม่ให้ทำอย่างนั้น ติ๊นาก็ยังตีความไม่ออก และไม่กล้าถามด้วยอีกต่างหาก
...
ไม่เคยเลือกมากเลยนะแม่ แค่เพียงที่ผ่านมานั้น พวกเขาสอบไม่ผ่านต่างหาก ...
เอ แบบนี้ตรงกับความหมายของแม่หรือเปล่าหนอ?
ติ๊นาอ้างเหตุผลงานยุ่ง ยุ่งทั้งกับเจ้านายและลูกน้อง สังคมก็แทบจะไม่มีเวลาให้นอกจากงานเลี้ยงของบริษัท ตื่นเช้ากลับมืด ไหนจะต้องกลับมาคอยดูแลน้องสาวอีก แล้วจะเอาเวลาไหนไปเจอกับชายหนุ่มที่ถูกใจสักคน
ตอนนี้ล่ะ ที่ทั้งแม่และคนถูกพาดพิงต่างหันมามองหน้าติ๊นาอย่างพร้อมเพรียงกัน ตะนอยหน้าตึงและเคร่งกว่าแม่ ติ๊นารู้ทันล่วงหน้าอยู่แล้ว ซึ่งก่อนที่คำพูดจากคนทั้งสองจะทลายออกมาเป็นเขื่อนแตก ติ๊นาก็ชิงแก้สถานการณ์เสียก่อน ด้วยคำพูดผสมท่าทีเขินอายพอประมาณ
"
กำลังคบกับคนหนึ่งอยู่ค่ะ"
คิดว่าจะจบเรื่องด้วยดีอยู่แล้วเชียว ปรากฎว่าคำถามมากมายจากแม่กลับตามมากระทุ้งเอาชนิดผิดความคาดหมาย โดยคำถามเหล่านั้นได้รับแรงสนับสนุนจากลูกสาวคนเล็กตัวดีเข้าไปด้วย
ตอนนั้นติ๊นายังไม่ได้รู้จักกับดนัยด้วยซ้ำ คำตอบซึ่งตะกุกตะกักในแต่ละคำถามเลยยิ่งทำให้โดนรุกใหญ่ แต่ก็ดีแล้วล่ะที่รอดตัวมาได้ในวันนั้น เพราะอาการตะกุกตะกักกลับกลายเป็นตัวช่วยให้น่ารักน่าเอ็นดูไปเฉยเลย
น่าสงสารด้วย อือม... น่าจะนะ
....
แม่'
เออร์ลี่รีไทร์'หรือ'
เกษียณอายุราชการก่อนกำหนด'ที่วัยห้าสิบห้า ด้วยคำวิงวอนร้องขอจากลูกสาวทั้งสองคน ตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนมัธยมในต่างจังหวัดแม้จะไม่หนักหนาก็จริง แต่ติ๊นาก็สัมผัสได้ถึงความเหนื่อยล้าของแม่ และนั่นก็คือเหตุผลที่ติ๊นากับตะนอยต้องช่วยกันคอยตะล่อมให้แม่วางมือจากงานเพื่อพักผ่อนในบั้นปลายเสียที เพราะนับตั้งแต่พ่อได้จากพวกเราไปด้วยโรคประจำตัวเมื่อเกือบสามสิบปีที่ผ่านมา แม่ต้องเหน็ดเหนื่อยกับภาระแห่งชีวิตมาโดยตลอด
แม้จะโชคดีที่มี'ป้าทับทิม'แม่บ้านซึ่งไม่ยอมจากไปไหนอยู่เป็นเพื่อนตลอดมาตั้งแต่พ่อยังมีชีวิตอยู่ แต่นั่นก็เป็นแค่ความสบายภายนอก ภายในใจของแม่เองต่างหากที่ยังหนักอึ้งไม่ยอมผ่อนคลาย ไม่ว่าจะเป็นภาระหน้าที่ในตำแหน่งผู้บริหารงานโรงเรียน หรือแม้แต่งานดูแลครอบครัวที่ต้องเป็นทั้งแม่และพ่อให้กับลูกสาวทั้งสองคน
และเมื่อถึงเวลาอันสมควร
แม่ก็ใจอ่อนกับติ๊นาและตะนอย โดยยอมหยุดชีวิตข้าราชการเอาไว้ตามที่ลูกสาวร้องขอ ใช้เวลาพักผ่อนอยู่กับ'ป้าทับทิม'และ'เจ้ามอม เจ้ามืด เจ้าหม่น'สุนัขอีกสามตัว ใช้เวลาที่เกษียณแล้วอยู่กับต้นไม้ดอกไม้รอบบ้าน ตื่นเช้ามืดในทุกวันก็ไปทำบุญที่วัดด้วยกันตามประสาสองป้ากับสามสัตว์เลี้ยงผู้ติดตามไม่ยอมห่าง
นึกถึงตรงนี้แล้ว ติ๊นาได้แต่ยิ้มมีความสุขอยู่คนเดียวเงียบๆ และยังพลอยหวนนึกไปถึงคำพูดคำสอนต่างๆนาๆของแม่อีกต่างหาก
คำสอนที่เปรียบเสมือนมาจากคนเป็นแม่และมาจากคนเป็นครูบาอาจารย์ในเวลาเดียวกัน มักมีมาให้ติ๊นาได้ซึมซับลมหายใจแห่งความห่วงใยของแม่อยู่เสมอๆ คำสอนซึ่งไม่เว้นแม้แต่เรื่องของกิริยามารยาทอันดีงามนั้น แม่เฝ้าเพียรบ่มเพาะมาให้ติ๊นาอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่เคยมีสักครั้งที่แม่จะจับลูกสาวมานั่งอบรมต่อหน้าในยามที่อยากจะสั่งสอน แม่คอยพูดและตักเตือนตามจังหวะสถานการณ์ในแต่ละครั้งได้อย่างลงตัวเสียมากกว่า คำพูดคมคายลึกซึ้งจากแม่ ติ๊นายังจำได้แทบทุกคำ แม้แต่คำพูดที่ให้ไว้เตือนสติเมื่อต้องเริ่มต้นรู้จักใครสักคน อย่างเช่น....
...
รู้หน้าแต่ไม่รู้ใจนั่นยังไม่เท่าไหร่ แต่ถ้าไม่รู้ใจตัวเองนั่นแหละ จะเสี่ยงยิ่งกว่าไม่รู้ใจคนอื่นเสียอีก ...
ถึงตรงนี้ คล้ายๆกับติ๊นาจะมองเห็นใบหน้าใครคนหนึ่งขึ้นนมาลางๆนะ
"อิจฉาแผนกนี้จังเล๊ยย....ย...." เสียงคุ้นหูดังแว่วอยู่เบื้องหน้า "งีบซักพักก็ยังได้"
ติ๊นาเปิดเปลือกตา อุ้มนั่งลงที่ม้านั่งคุ้นเคยของเธอ แฟ้มเอกสารในอกด้านหนึ่งทำให้พลอยมองเห็นภาระหน้าที่ของเธอตามแฟ้มไปด้วย
"ไม่ได้หลับนะยะ" ติ๊นาขยับนั่งตัวตรง "กำลังคิดถึงใครคนหนึ่งอยู่ แค่นั้นเอง"
"โอ๊ยย....โลกมันชักจะสีชมพูจนล้นลิมิตไปแล้วนะเพคะ อย่าเติมสีสันเข้าไปอีกเลย เพลาๆลงหน่อยก็ได้ ความรักมันจะได้ไม่ทำให้เป็นเบาหวานไปเสียก่อน"
"นี่ ! ที่ว่าคิดถึงใครนั้นน่ะ ติ๊นากำลังคิดถึงแม่อยู่ต่างหาก!"
"อ้าวเหรอ? เป็นงั้นไป แต่เอ๊ะ ทำไมต้องไปเครียดล่วงหน้าล่ะ ไม่คิดมั่งเหรอว่าพระมารดาอาจจะพอพระทัยว่าที่โอรสเขยก็ได้น๊า"
ติ๊นาสะดุ้ง "
เดี๋ยวก่อน !" อดประหลาดใจไม่ได้เสียจริงเชียว "เดี๋ยวนี้แม่นางพระสหายเปลี่ยนร่างไปเป็นแม่โหราจารย์ตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย ถึงได้รู้เรื่องราวไพร่ฟ้าประชาชีไปจนถึงเรื่องส่วนตัวนางฟ้าแบบนี้ยะ!" ติ๊นาเน้นคำท้ายหนักหน่วง
"โถ โถ โถ แค่ได้ข่าวเรื่องลาพักร้อนมาแค่นั้นเอง"
"แค่นั้นเนี่ยนะ" น่าทึ่งเสียจริงๆ "แล้วมองเห็นอะไรทะลุปานนั้นเลยเหรอ? โห... เชื่อเลย"
อุ้มหัวเราะคิกคักตามประสาของเธอ
เพื่อนร่วมงานผู้เปรียบเสมือนสีสันในชีวิตทำงานของติ๊นาคนนี้ เธอช่างช่วยชุบใจให้ติ๊นาได้แช่มชื่นไม่เว้นวัน บ่อยครั้งที่ติ๊นากำลังหนักอึ้งไม่ว่าจะเป็นเรื่องงานหรือเรื่องส่วนตัว เธอคนนี้แหละที่เป็นคนช่วยผ่องถ่ายความเครียดเคร่งและหนักอึ้งออกไปให้อยู่เสมอ โดยที่ตัวเธอเองก็อาจจะไม่รู้ตัวเสียด้วยซ้ำ
อุ้มแวะมาเสวนาพาทีด้วยพร้อมกับกำชับเรื่องประชุม ติ๊นาบอกเตรียมพร้อมเรียบร้อยแล้วไม่ต้องห่วง อุ้มฝากอวยพรล่วงหน้าให้แม่สุขภาพแข็งแรงปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ ทั้งๆที่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทางเบื้องบนจะเซ็นอนุมัติลงมาเมื่อไหร่ เราคุยกันอีกพักหนึ่ง แล้วอุ้มก็ขอตัวกลับแผนกของเธอ
ติ๊นากลับมาเหม่อลอยราวกับอยู่ในสุญญากาศอีกครั้ง มองเห็นโทรศัพท์มือถือวางอยู่ริมโต๊ะ ทำให้นึกถึงใครคนหนึ่งขึ้นมา คงเป็นเพราะตั้งใจเอาไว้ตั้งแต่เมื่อคืนแล้วว่า วันนี้จะต้องโทรศัพท์ถึงเขาให้ได้ ตอนนี้ถึงเวลาแล้วล่ะ สำหรับ'
คุณดุลยรัฐ'
☻ รักต้องเลือก ☻(ต่อ)
http://ppantip.com/topic/32578156
จัดเก็บเอกสารเตรียมประชุมเรียบร้อยแล้ว ติ๊นาก็นั่งลงระบายลมหายใจยาวที่เก้าอี้โต๊ะทำงาน
เมื่อตอนเช้า ติ๊นาส่งใบลาพักร้อนแค่เพียงสามวัน ที่ตั้งใจลาแค่นั้นเพราะวันสุดท้ายติดกับวันหยุดอีกหนึ่งวันพอดี สี่วันสำหรับการพักงานในครั้งนี้ ติ๊นาว่าเพียงพอแล้วล่ะกับสิ่งที่ตั้งใจจะทำ
ส่งใบลาเสร็จรีบโทรศัพท์แจ้งดนัยก่อนเป็นคนแรก เอ๊ะ ทำไมติ๊นาต้องรายงานราวกับเป็นเรื่องสำคัญถึงปานนั้นด้วยนะ ตอนเขาส่งใบลาของตัวเองไม่เห็นเขาเล่าอะไรให้ฟังด้วยซ้ำไป แถมยังทำเป็นยึกยักมาบอกเอาตอนหลัง เมื่ออารมณ์เซอร์ไพรส์เย็นชืดหมดแล้ว
รายงานของติ๊นาต่างหากที่กำลังร้อนๆ แต่ทำไมดนัยตอบแค่ อือม.. ก็ไม่รู้
แบบนี้มันน่าบีบมือให้ร้องลั่นเสียจริงๆ
....
' แม่ '
ย้อนไปเมื่อแปดเดือนที่แล้ว
ภาพใบหน้าแสนคุ้นเคยของผู้หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งค่อยๆผุดขึ้นมาในความทรงจำ ติ๊นายังมองเห็นความเรียบง่ายถึงการใส่ใจตัวเองของแม่อยู่เช่นเคย ริ้วรอยแห่งชีวิตเริ่มปรากฎให้เห็นเด่นชัดมากขึ้นทุกที แต่ใบหน้าเรียบง่ายนั้นก็ยังคงได้รับการเอาใจใส่แค่เพียงแป้งรองพื้นไม่เคยเปลี่ยนแปลง เค้าหน้าที่ยังมองเห็นร่องรอยความสวยเมื่อยังสาวยังคงฉาบฉายให้เห็นเมื่อยามเหลือบมอง รอยยิ้มซึ่งมีให้เห็นและเสียงหัวเราะซึ่งมีให้ได้ยินนานๆครั้ง ติ๊นาว่า ครั้งนี้ทั้งติ๊นาและตะนอยต่างก็ได้เห็นและได้ยินมากขึ้นกว่าครั้งที่แล้วมาอย่างเห็นได้ชัด ไม่เว้นแม้กระทั่งตอนที่แม่กำลังค่อนแคะลูกสาวทั้งสองคน
เราสองคนพี่น้องถูกถามถึงเรื่องแฟนบ่อยครั้งขึ้น ตะนอยยังเอาตัวรอดได้เสมอ เพราะสามารถอ้างได้ว่าชีวิตของเธอถูกจำกัดอยู่แค่ขอบรั้วบ้านกับเขตรั้วโรงพยาบาล เรื่องสังคมภายนอกจึงเป็นเรื่องที่ยังต้องค่อยๆเพิ่มเวลาให้หลังจากที่ตำแหน่งหน้าที่การงานเบามือลงกว่านี้เสียก่อน ฟังแล้วเหมือนเหตุผลอ่อนเหลือเกิน แต่ก็เป็นที่น่าพอใจแล้วล่ะ ที่ติ๊นากับตะนอยได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆจากแม่
พอถึงคิวลูกสาวคนโต แม่เลยค่อนข้างจัดหนักมาให้ ไหนจะย้ำแล้วย้ำอีกเรื่องอายุของติ๊นาที่ผ่านไปและมากขึ้นทุกที แม่คงจะติดกับดักของแม่เองอยู่กับคำว่า'เลือกมาก'อย่างแน่นอน เพราะแม่เผลอใช้คำนี้เกือบสามสิบครั้งแล้วกับลูกสาวคนโสดในสายตาของแม่ ซึ่งใช้ด้วยเหตุผลเชิงสะกิดให้รู้ตัวหรือเป็นการปรามไม่ให้ทำอย่างนั้น ติ๊นาก็ยังตีความไม่ออก และไม่กล้าถามด้วยอีกต่างหาก
... ไม่เคยเลือกมากเลยนะแม่ แค่เพียงที่ผ่านมานั้น พวกเขาสอบไม่ผ่านต่างหาก ...
เอ แบบนี้ตรงกับความหมายของแม่หรือเปล่าหนอ?
ติ๊นาอ้างเหตุผลงานยุ่ง ยุ่งทั้งกับเจ้านายและลูกน้อง สังคมก็แทบจะไม่มีเวลาให้นอกจากงานเลี้ยงของบริษัท ตื่นเช้ากลับมืด ไหนจะต้องกลับมาคอยดูแลน้องสาวอีก แล้วจะเอาเวลาไหนไปเจอกับชายหนุ่มที่ถูกใจสักคน
ตอนนี้ล่ะ ที่ทั้งแม่และคนถูกพาดพิงต่างหันมามองหน้าติ๊นาอย่างพร้อมเพรียงกัน ตะนอยหน้าตึงและเคร่งกว่าแม่ ติ๊นารู้ทันล่วงหน้าอยู่แล้ว ซึ่งก่อนที่คำพูดจากคนทั้งสองจะทลายออกมาเป็นเขื่อนแตก ติ๊นาก็ชิงแก้สถานการณ์เสียก่อน ด้วยคำพูดผสมท่าทีเขินอายพอประมาณ
"กำลังคบกับคนหนึ่งอยู่ค่ะ"
คิดว่าจะจบเรื่องด้วยดีอยู่แล้วเชียว ปรากฎว่าคำถามมากมายจากแม่กลับตามมากระทุ้งเอาชนิดผิดความคาดหมาย โดยคำถามเหล่านั้นได้รับแรงสนับสนุนจากลูกสาวคนเล็กตัวดีเข้าไปด้วย
ตอนนั้นติ๊นายังไม่ได้รู้จักกับดนัยด้วยซ้ำ คำตอบซึ่งตะกุกตะกักในแต่ละคำถามเลยยิ่งทำให้โดนรุกใหญ่ แต่ก็ดีแล้วล่ะที่รอดตัวมาได้ในวันนั้น เพราะอาการตะกุกตะกักกลับกลายเป็นตัวช่วยให้น่ารักน่าเอ็นดูไปเฉยเลย
น่าสงสารด้วย อือม... น่าจะนะ
....
แม่'เออร์ลี่รีไทร์'หรือ'เกษียณอายุราชการก่อนกำหนด'ที่วัยห้าสิบห้า ด้วยคำวิงวอนร้องขอจากลูกสาวทั้งสองคน ตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนมัธยมในต่างจังหวัดแม้จะไม่หนักหนาก็จริง แต่ติ๊นาก็สัมผัสได้ถึงความเหนื่อยล้าของแม่ และนั่นก็คือเหตุผลที่ติ๊นากับตะนอยต้องช่วยกันคอยตะล่อมให้แม่วางมือจากงานเพื่อพักผ่อนในบั้นปลายเสียที เพราะนับตั้งแต่พ่อได้จากพวกเราไปด้วยโรคประจำตัวเมื่อเกือบสามสิบปีที่ผ่านมา แม่ต้องเหน็ดเหนื่อยกับภาระแห่งชีวิตมาโดยตลอด
แม้จะโชคดีที่มี'ป้าทับทิม'แม่บ้านซึ่งไม่ยอมจากไปไหนอยู่เป็นเพื่อนตลอดมาตั้งแต่พ่อยังมีชีวิตอยู่ แต่นั่นก็เป็นแค่ความสบายภายนอก ภายในใจของแม่เองต่างหากที่ยังหนักอึ้งไม่ยอมผ่อนคลาย ไม่ว่าจะเป็นภาระหน้าที่ในตำแหน่งผู้บริหารงานโรงเรียน หรือแม้แต่งานดูแลครอบครัวที่ต้องเป็นทั้งแม่และพ่อให้กับลูกสาวทั้งสองคน
และเมื่อถึงเวลาอันสมควร
แม่ก็ใจอ่อนกับติ๊นาและตะนอย โดยยอมหยุดชีวิตข้าราชการเอาไว้ตามที่ลูกสาวร้องขอ ใช้เวลาพักผ่อนอยู่กับ'ป้าทับทิม'และ'เจ้ามอม เจ้ามืด เจ้าหม่น'สุนัขอีกสามตัว ใช้เวลาที่เกษียณแล้วอยู่กับต้นไม้ดอกไม้รอบบ้าน ตื่นเช้ามืดในทุกวันก็ไปทำบุญที่วัดด้วยกันตามประสาสองป้ากับสามสัตว์เลี้ยงผู้ติดตามไม่ยอมห่าง
นึกถึงตรงนี้แล้ว ติ๊นาได้แต่ยิ้มมีความสุขอยู่คนเดียวเงียบๆ และยังพลอยหวนนึกไปถึงคำพูดคำสอนต่างๆนาๆของแม่อีกต่างหาก
คำสอนที่เปรียบเสมือนมาจากคนเป็นแม่และมาจากคนเป็นครูบาอาจารย์ในเวลาเดียวกัน มักมีมาให้ติ๊นาได้ซึมซับลมหายใจแห่งความห่วงใยของแม่อยู่เสมอๆ คำสอนซึ่งไม่เว้นแม้แต่เรื่องของกิริยามารยาทอันดีงามนั้น แม่เฝ้าเพียรบ่มเพาะมาให้ติ๊นาอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่เคยมีสักครั้งที่แม่จะจับลูกสาวมานั่งอบรมต่อหน้าในยามที่อยากจะสั่งสอน แม่คอยพูดและตักเตือนตามจังหวะสถานการณ์ในแต่ละครั้งได้อย่างลงตัวเสียมากกว่า คำพูดคมคายลึกซึ้งจากแม่ ติ๊นายังจำได้แทบทุกคำ แม้แต่คำพูดที่ให้ไว้เตือนสติเมื่อต้องเริ่มต้นรู้จักใครสักคน อย่างเช่น....
... รู้หน้าแต่ไม่รู้ใจนั่นยังไม่เท่าไหร่ แต่ถ้าไม่รู้ใจตัวเองนั่นแหละ จะเสี่ยงยิ่งกว่าไม่รู้ใจคนอื่นเสียอีก ...
ถึงตรงนี้ คล้ายๆกับติ๊นาจะมองเห็นใบหน้าใครคนหนึ่งขึ้นนมาลางๆนะ
"อิจฉาแผนกนี้จังเล๊ยย....ย...." เสียงคุ้นหูดังแว่วอยู่เบื้องหน้า "งีบซักพักก็ยังได้"
ติ๊นาเปิดเปลือกตา อุ้มนั่งลงที่ม้านั่งคุ้นเคยของเธอ แฟ้มเอกสารในอกด้านหนึ่งทำให้พลอยมองเห็นภาระหน้าที่ของเธอตามแฟ้มไปด้วย
"ไม่ได้หลับนะยะ" ติ๊นาขยับนั่งตัวตรง "กำลังคิดถึงใครคนหนึ่งอยู่ แค่นั้นเอง"
"โอ๊ยย....โลกมันชักจะสีชมพูจนล้นลิมิตไปแล้วนะเพคะ อย่าเติมสีสันเข้าไปอีกเลย เพลาๆลงหน่อยก็ได้ ความรักมันจะได้ไม่ทำให้เป็นเบาหวานไปเสียก่อน"
"นี่ ! ที่ว่าคิดถึงใครนั้นน่ะ ติ๊นากำลังคิดถึงแม่อยู่ต่างหาก!"
"อ้าวเหรอ? เป็นงั้นไป แต่เอ๊ะ ทำไมต้องไปเครียดล่วงหน้าล่ะ ไม่คิดมั่งเหรอว่าพระมารดาอาจจะพอพระทัยว่าที่โอรสเขยก็ได้น๊า"
ติ๊นาสะดุ้ง "เดี๋ยวก่อน !" อดประหลาดใจไม่ได้เสียจริงเชียว "เดี๋ยวนี้แม่นางพระสหายเปลี่ยนร่างไปเป็นแม่โหราจารย์ตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย ถึงได้รู้เรื่องราวไพร่ฟ้าประชาชีไปจนถึงเรื่องส่วนตัวนางฟ้าแบบนี้ยะ!" ติ๊นาเน้นคำท้ายหนักหน่วง
"โถ โถ โถ แค่ได้ข่าวเรื่องลาพักร้อนมาแค่นั้นเอง"
"แค่นั้นเนี่ยนะ" น่าทึ่งเสียจริงๆ "แล้วมองเห็นอะไรทะลุปานนั้นเลยเหรอ? โห... เชื่อเลย"
อุ้มหัวเราะคิกคักตามประสาของเธอ
เพื่อนร่วมงานผู้เปรียบเสมือนสีสันในชีวิตทำงานของติ๊นาคนนี้ เธอช่างช่วยชุบใจให้ติ๊นาได้แช่มชื่นไม่เว้นวัน บ่อยครั้งที่ติ๊นากำลังหนักอึ้งไม่ว่าจะเป็นเรื่องงานหรือเรื่องส่วนตัว เธอคนนี้แหละที่เป็นคนช่วยผ่องถ่ายความเครียดเคร่งและหนักอึ้งออกไปให้อยู่เสมอ โดยที่ตัวเธอเองก็อาจจะไม่รู้ตัวเสียด้วยซ้ำ
อุ้มแวะมาเสวนาพาทีด้วยพร้อมกับกำชับเรื่องประชุม ติ๊นาบอกเตรียมพร้อมเรียบร้อยแล้วไม่ต้องห่วง อุ้มฝากอวยพรล่วงหน้าให้แม่สุขภาพแข็งแรงปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ ทั้งๆที่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทางเบื้องบนจะเซ็นอนุมัติลงมาเมื่อไหร่ เราคุยกันอีกพักหนึ่ง แล้วอุ้มก็ขอตัวกลับแผนกของเธอ
ติ๊นากลับมาเหม่อลอยราวกับอยู่ในสุญญากาศอีกครั้ง มองเห็นโทรศัพท์มือถือวางอยู่ริมโต๊ะ ทำให้นึกถึงใครคนหนึ่งขึ้นมา คงเป็นเพราะตั้งใจเอาไว้ตั้งแต่เมื่อคืนแล้วว่า วันนี้จะต้องโทรศัพท์ถึงเขาให้ได้ ตอนนี้ถึงเวลาแล้วล่ะ สำหรับ'คุณดุลยรัฐ'