ที่จริงแล้ว ผมจะไม่ต้องลำบากเขียนกระทู้นี้เลย หากใครบางคน ซึ่งอวดอ้างตัวว่าเป็นชาวพุทธ
จะรู้จัก ยอมรับผิด(ตามธรรม) อย่างที่ลูกผู้ชายชาวพุทธ พึงกระทำ เสียบ้าง นะครับ ....... !
หากถามว่า รู้สึกแปลกใจ กับความด้านทนของหนังหน้า นายคนนี้ บ้างหรือไม่ ?
ขออนุญาต ตอบตามตรงว่า ผม(จ้าวนครเมฆขาว) ไม่รู้สึกแปลกใจอันใดเลย เนื่องจากว่า นี่มิใช่ครั้งแรก ที่มันมีพฤติกรรมแบบนี้
หากท่านทั้งหลาย ยังพอจำความได้อยู่ ก็เป็นไอ้หมอนี่นั่นแหละ ที่กล่าวตู่พระพุทธเจ้าว่า
พระองค์ ไม่ตรัสสอน "ศีลเบื้องต้น" แก่ภิกษุทั้งหลาย จะทรงสอนเรื่องนี้เฉพาะกับ "ชาวบ้าน" เท่านั้น
ก็ขนาดผมยก จุลศีล ขึ้นอ้าง มันยังทำโยกโย้ ไม่ยอมรับผิด โดยอ้างว่า หลักฐานดังกล่าว ไม่ได้ตรัสเรื่องศีลอย่างเดียว
มันจะยอมรับ ก็ต่อเมื่อ เป็นหลักฐานที่แสดงว่า พระพุทธเจ้าตรัสสอนเฉพาะเรื่องศีลเบื้องต้นกับภิกษุเท่านั้น
ครั้นเมื่อผมยก นิรยสูตร ขึ้นอ้าง คนๆนี้ กล่าวว่า อย่างไร รู้ไหมครับ ?
มันอ้างว่า ทั้งหมดนี้ เป็นเพียงแค่การ "เข้าใจผิด" เท่านั้น แต่มันกล่าวปฏิเสธว่า ไม่ได้ "กล่าวตู่" พระพุทธเจ้า
ทั้งๆ ที่พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้อย่างชัดเจนว่า คนที่แสดงสิ่งที่ตถาคต ภาษิตไว้ ตรัสไว้
ว่า ตถาคต มิได้ภาษิตไว้ มิได้ตรัสไว้ คนจำพวกนี้แล ย่อมกล่าวตู่ ตถาคต !
ขอประทานโทษนะครับ ถ้าพฤติกรรมดังที่มันได้ทำมานี้ ไม่ถือว่าเป็นการกล่าวตู่พระพุทธเจ้า
เช่นนั้น ในโลกนี้ ก็คงไม่มีใครที่สมควรถูกกล่าวหาว่า กล่าวตู่พระพุทธเจ้าได้อีกแล้ว กระมังครับ
มิน่าเล่า สหายร่วมบาปของมันผู้หนึ่ง ก็มีพฤติกรรมที่ไม่แตกต่างไปจากกันเลย กล่าวคือ
นายคนนั้น กล่าวตู่พระพุทธเจ้าว่า ไม่เคยตรัสว่า อภิธมฺเม หมายถึง โพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการ
มิหนาซ้ำ ยังกล่าวร้ายใส่ความ ท่านพระคึกฤทธิ์ว่า ท่านกล่าวเรื่องนี้เอาเอง ทั้งๆ ที่มีหลักฐานจาก กินติสูตร
ซึ่งระบุอย่างชัดเจนว่า อภิธมฺเม หรือ อภิธรรม คือ ธรรมอันยิ่ง นี้หมายถึง โพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการ
คือ สติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ และ อริยมรรคมีองค์ ๘
ก็ตะเภาเดียวกันนั่นแหละครับ หลังจากที่ ด้านหน้าแถกแถ อยู่สักพักหนึ่ง
ในที่สุด ก็หนีหน้า เพราะจนด้วยหลักฐาน โดยไม่มีการยอมรับผิด และขอขมาโทษต่อพระสงฆ์องค์เจ้า แต่อย่างใดทั้งสิ้น
แต่ที่เลวร้ายยิ่งกว่า ก็คือ มันผู้นี้ นอกจากจะไม่สำนึกผิดว่า มันได้กล่าวตู่พระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นกรรมอันหนักแล้ว
ยังอุตส่าห์หนีไปตั้งกระทู้ กล่าวร้ายใส่ความพระ(วัดนาป่าพง) ด้วยข้อมูลอันเป็นเท็จซ้ำเข้าไปอีก !
สัตว์โลก มันคนกันตามธาตุ ใช่ไหมครับ ?
ผมสันนิษฐานว่า ๒ คนนั้น น่าจะเข้ากันได้ดีเป็นพิเศษ นะครับ
จริงไหม ?
*****************************************************************************
ประเด็นหลักของเรื่องนี้ มันก็อยู่ตรงที่ว่า นาย คันโตนาซี เขาต้องการจะแย้งว่า ไม่จำเป็นต้องได้ฌาน ก็สามารถไปพรหมโลกได้
เมื่อผมขอดูหลักฐานยืนยัน อัตตโนมัติ ดังกล่าว มันกลับไปยกพุทธพจน์ จาก โทณสูตร ขึ้นอ้าง ซึ่งพระสูตรดังกล่าว ระบุว่า
ปัญหาของหลักฐานชิ้นนี้ ก็คือ คันโตนาซี มันเขาใจเอาเองว่า
เพราะ(มี)พรหมวิหาร ๔ ก็ทำให้ไปเกิดในพรหมโลกได้โดยไม่จำเป็นต้องมีฌาน !
ซึ่งนั่นเป็นความเข้าใจผิด และนับได้ว่า เป็นความโง่เขลาของตัวผู้พูดเอง
ที่กล่าวว่าเป็นความโง่เขลา นี้มิใช่จะแกล้งว่าให้เจ็บใจ หากแต่ว่า จำเป็นต้องกล่าวอย่างนี้จริงๆ เนื่องจาก
ไม่ว่า ชาวพุทธผู้หนึ่งผู้ใด ก็ตาม จะอ้างตัวว่าเป็น นักปริยัติ หรือ นักปฏิบัติ ก็ตาม ย่อมต้องทราบเป็นอย่างดีว่า
พรหมวิหาร ๔ ตามที่ปรากฏอยู่ในพระสูตรดังกล่าวนั้น หมายถึง กองสมถะ ซึ่งผลของมันก็คือ ...... "ฌาน"
นั่นจึงหมายความว่า หลักฐานที่ คันโตนาซี ยกขึ้นอ้างนี้เอง กลับบ่งชี้ว่า
การจะเป็นพรหม หรือ เสมอเหมือนกับพรหม หรือ เมื่อตายกายแตกแล้ว
ได้ไปเกิดเป็นสหายกับพรหม ย่อมต้องเป็นผู้ได้ฌานสมาบัติ เท่านั้น
และเมื่อผมย้อนถามเอากับนายคนนั้น เพื่อให้อธิบายหลักฐานดังกล่าว ปรากฏว่า เงียบ !
นาย คันโตนาซี หนีหน้าหายไปจากทั้ง ๒ กระทู้ ที่มัน "ฝลัด" ข้อความและหลักฐานดังกล่าวนี้ไว้
ด้วยเหตุดังนี้ ผมสามารถสรุปได้ไหมว่า คันโตนาซี ได้ "ปล่อยไก่" จนหมดเล้า แสดงความ "ขี้เท่อ" ของตน ออกมาจนหมดเปลือก
ทำให้ผู้คนทั้งหลายได้ทราบข้อเท็จจริงว่า ที่แท้แล้ว นายคนนี้ มิได้เป็นนักปฏิบัติอะไรหรอก มันก็แค่ จำขี้ปากคนอื่นมาพูด
ลอกเลียนถ้อยคำของผู้อื่นมาอวดโอ้ตามเว็บบอร์ด เพื่อโชว์พาว สร้างภาพเทียมเท็จ ว่าเป็นนักปฏิบัติธรรม ทั้งๆ ที่มันก็แค่ กำมะลอ !
และเมื่อผมถามย้ำกับมันอีกครั้ง ในกระทู้ ........... พรหมโลก ภพภูมิเฉพาะสำหรับผู้ได้ฌานสมาบัติ
http://ppantip.com/topic/32581279
นอกจาก คันโตนาซี จะเย็บปาก "เงียบกริบ" ในเรื่องนี้แล้ว มันยังอุตส่าห์ สร้างเรื่องเพิ่มเติมขึ้นมาอีก
ด้วยการ อ้างหลักฐานชิ้นใหม่ ซึ่งก็มิได้ทำให้สถานการณ์(ของมัน) ดีขึ้นไปกว่าเก่าเลย กล่าวคือ
มันอ้างหลักฐาน เรื่อง อนาคามีบุคคล ว่าสามารถไปเกิดในพรหมโลกได้โดยไม่ต้องมีฌาน (เฮ้ออออออ !)
ถามว่า หลักฐานชิ้นนี้ ไม่สามารถนำมาอ้างใช้ได้ ด้วยเหตุผลใด ?
คำตอบ ก็คือ หลักฐานจากพระไตรปิฎกฉบับแปลไทยชิ้นนี้ เกี่ยวข้องกับ อนาคามีบุคคล โดยได้กล่าวถึง พรหมโลก
เทวโลก หรือ สุทธาวาส ฯลฯ หรืออะไรก็ตาม ล้วนเป็นการ "แปลเกิน" จากพระบาลีเดิม โดยผู้แปลไทย ทั้งสิ้น !
ถามว่า ผมได้เคยอธิบายเรื่องนี้แล้วหรือไม่ ?
ตอบว่า ผมได้อธิบายเรื่องนี้ไปแล้ว ในกระทู้ ........ เรื่องของ (๑) โลกนั้น หรือ (๒) ที่นั้น หรือ (๓) ภพนั้น ที่ไม่มีอยู่จริงในพระบาลี
http://ppantip.com/topic/32523690
ปรากฏว่า นาย วงกลม ในกระทู้ดังกล่าว รวมไปถึง นาย คันโตนาซี ในกระทู้นี้ ก็มิได้นำพา ต่อข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น
โดยทั้ง ๒ คนนี้ ก็ยังคง "กอด" พระไตรปิฎกฉบับแปลไทยเอาไว้อย่างเหนียวแน่น ทั้งๆ ที่เป็นมันทั้ง ๒ นี่แหละ
ที่กล่าวหาว่าร้าย วัดนาป่าพงในกรณี ปาฏิโมกข์ ๑๕๐ ในทำนองว่า ไม่สามารถใช้พระไตรปิฎกฉบับแปลไทยเป็นข้อยุติได้
แต่ต้องพิจารณา "ข้อเท็จจริง" จาก ต้นฉบับเดิม คือ ฉบับภาษาบาลี เท่านั้น จึงจะถือว่า ถูกต้อง
สภาพมันน่าสมเพชไหมล่ะ ?
ทีเวลากล่าวหาคนอื่น มันไม่ยอมให้อ้างอิงพระไตรปิฎกฉบับแปลไทย
แต่พอถึงคราวของตนเองบ้าง พวกมัน กลับกอดพระไตรปิฎกฉบับแปลไทย เสียแน่น ไม่ยอมปล่อย
พฤติกรรมแบบนี้ มันย่อมเข้าตำรา "ว่าแต่เขา อิเหนาเป็นเอง" ใช่หรือไม่ ?
ที่พิลึกเป็นอย่างยิ่ง ก็คือ ทั้งๆ ที่ถูกทักท้วง นอกจากที่มันทั้ง ๒ จะหลับหูหลับตา ไม่ยอมรับรู้ความจริงแล้ว
มันทั้งคู่ ก็ยังด้านหน้า ตั้งกระทู้ กล่าวหาใส่ร้าย วัดนาป่าพง ต่อไปอย่างไม่มีความละอายแก่ใจเลยแม้แต่น้อย
ในกรณี อนาคามีบุคคลนั้น หากพิจารณาจากพระบาลีโดยตรง จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า
ไม่มี พรหมโลก เทวโลก หรืออะไรทำนองนั้นอยู่เลย แม้แต่คำเดียว ที่เห็นว่ามีอยู่ในฉบับภาษาไทยนั้น
ล้วนแล้วแต่เป็นการ "ยัดพระโอษฐ์" โดยผู้แปลไทย ทั้งสิ้น นะครับ
.
.
.
ปญฺจนฺนํ โอรมฺภาคิยานํ สญฺโญชนานํ ปริกฺขยา(ความสิ้นไป)
โอปปาติโก ตตฺถ(ในที่นั้น) ปรินิพฺพายี(ดับรอบ) อนาวตฺติธมฺโม(ไม่หวนกลับมาอีกเป็นธรรมดา)
ตสฺมา(เพราะเหตุนั้น) โลกาติ(โลกนี้=กามภพ) ฯ
.
.
.
ขอให้ท่านทั้งหลาย จงพิจารณา หลักฐาน อย่างรอบคอบด้วยนะครับว่า มันมี เทวบุตร โอปปาติกเทพ
เทวโลก พรหมโลก หรือ สุทธาวาส อยู่ตรงส่วนไหนของพระบาลี หรือไม่ ?
และในเมื่อไม่มี เทวดามารพรหม อยู่ในพระบาลีนั้น แม้สักคำเดียว
เช่นนี้แล้ว ยังจะสามารถยกมาอ้าง เพื่อสนับสนุนอัตตโนมัติโง่ๆ ของพวกมันได้อย่างไรกัน ?
หรือมิใช่ ?
ทางไป พรหมโลก !
จะรู้จัก ยอมรับผิด(ตามธรรม) อย่างที่ลูกผู้ชายชาวพุทธ พึงกระทำ เสียบ้าง นะครับ ....... !
หากถามว่า รู้สึกแปลกใจ กับความด้านทนของหนังหน้า นายคนนี้ บ้างหรือไม่ ?
ขออนุญาต ตอบตามตรงว่า ผม(จ้าวนครเมฆขาว) ไม่รู้สึกแปลกใจอันใดเลย เนื่องจากว่า นี่มิใช่ครั้งแรก ที่มันมีพฤติกรรมแบบนี้
หากท่านทั้งหลาย ยังพอจำความได้อยู่ ก็เป็นไอ้หมอนี่นั่นแหละ ที่กล่าวตู่พระพุทธเจ้าว่า
พระองค์ ไม่ตรัสสอน "ศีลเบื้องต้น" แก่ภิกษุทั้งหลาย จะทรงสอนเรื่องนี้เฉพาะกับ "ชาวบ้าน" เท่านั้น
ก็ขนาดผมยก จุลศีล ขึ้นอ้าง มันยังทำโยกโย้ ไม่ยอมรับผิด โดยอ้างว่า หลักฐานดังกล่าว ไม่ได้ตรัสเรื่องศีลอย่างเดียว
มันจะยอมรับ ก็ต่อเมื่อ เป็นหลักฐานที่แสดงว่า พระพุทธเจ้าตรัสสอนเฉพาะเรื่องศีลเบื้องต้นกับภิกษุเท่านั้น
ครั้นเมื่อผมยก นิรยสูตร ขึ้นอ้าง คนๆนี้ กล่าวว่า อย่างไร รู้ไหมครับ ?
มันอ้างว่า ทั้งหมดนี้ เป็นเพียงแค่การ "เข้าใจผิด" เท่านั้น แต่มันกล่าวปฏิเสธว่า ไม่ได้ "กล่าวตู่" พระพุทธเจ้า
ทั้งๆ ที่พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้อย่างชัดเจนว่า คนที่แสดงสิ่งที่ตถาคต ภาษิตไว้ ตรัสไว้
ว่า ตถาคต มิได้ภาษิตไว้ มิได้ตรัสไว้ คนจำพวกนี้แล ย่อมกล่าวตู่ ตถาคต !
ขอประทานโทษนะครับ ถ้าพฤติกรรมดังที่มันได้ทำมานี้ ไม่ถือว่าเป็นการกล่าวตู่พระพุทธเจ้า
เช่นนั้น ในโลกนี้ ก็คงไม่มีใครที่สมควรถูกกล่าวหาว่า กล่าวตู่พระพุทธเจ้าได้อีกแล้ว กระมังครับ
มิน่าเล่า สหายร่วมบาปของมันผู้หนึ่ง ก็มีพฤติกรรมที่ไม่แตกต่างไปจากกันเลย กล่าวคือ
นายคนนั้น กล่าวตู่พระพุทธเจ้าว่า ไม่เคยตรัสว่า อภิธมฺเม หมายถึง โพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการ
มิหนาซ้ำ ยังกล่าวร้ายใส่ความ ท่านพระคึกฤทธิ์ว่า ท่านกล่าวเรื่องนี้เอาเอง ทั้งๆ ที่มีหลักฐานจาก กินติสูตร
ซึ่งระบุอย่างชัดเจนว่า อภิธมฺเม หรือ อภิธรรม คือ ธรรมอันยิ่ง นี้หมายถึง โพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการ
คือ สติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ และ อริยมรรคมีองค์ ๘
ก็ตะเภาเดียวกันนั่นแหละครับ หลังจากที่ ด้านหน้าแถกแถ อยู่สักพักหนึ่ง
ในที่สุด ก็หนีหน้า เพราะจนด้วยหลักฐาน โดยไม่มีการยอมรับผิด และขอขมาโทษต่อพระสงฆ์องค์เจ้า แต่อย่างใดทั้งสิ้น
แต่ที่เลวร้ายยิ่งกว่า ก็คือ มันผู้นี้ นอกจากจะไม่สำนึกผิดว่า มันได้กล่าวตู่พระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นกรรมอันหนักแล้ว
ยังอุตส่าห์หนีไปตั้งกระทู้ กล่าวร้ายใส่ความพระ(วัดนาป่าพง) ด้วยข้อมูลอันเป็นเท็จซ้ำเข้าไปอีก !
สัตว์โลก มันคนกันตามธาตุ ใช่ไหมครับ ?
ผมสันนิษฐานว่า ๒ คนนั้น น่าจะเข้ากันได้ดีเป็นพิเศษ นะครับ
จริงไหม ?
*****************************************************************************
ประเด็นหลักของเรื่องนี้ มันก็อยู่ตรงที่ว่า นาย คันโตนาซี เขาต้องการจะแย้งว่า ไม่จำเป็นต้องได้ฌาน ก็สามารถไปพรหมโลกได้
เมื่อผมขอดูหลักฐานยืนยัน อัตตโนมัติ ดังกล่าว มันกลับไปยกพุทธพจน์ จาก โทณสูตร ขึ้นอ้าง ซึ่งพระสูตรดังกล่าว ระบุว่า
ปัญหาของหลักฐานชิ้นนี้ ก็คือ คันโตนาซี มันเขาใจเอาเองว่า
เพราะ(มี)พรหมวิหาร ๔ ก็ทำให้ไปเกิดในพรหมโลกได้โดยไม่จำเป็นต้องมีฌาน !
ซึ่งนั่นเป็นความเข้าใจผิด และนับได้ว่า เป็นความโง่เขลาของตัวผู้พูดเอง
ที่กล่าวว่าเป็นความโง่เขลา นี้มิใช่จะแกล้งว่าให้เจ็บใจ หากแต่ว่า จำเป็นต้องกล่าวอย่างนี้จริงๆ เนื่องจาก
ไม่ว่า ชาวพุทธผู้หนึ่งผู้ใด ก็ตาม จะอ้างตัวว่าเป็น นักปริยัติ หรือ นักปฏิบัติ ก็ตาม ย่อมต้องทราบเป็นอย่างดีว่า
พรหมวิหาร ๔ ตามที่ปรากฏอยู่ในพระสูตรดังกล่าวนั้น หมายถึง กองสมถะ ซึ่งผลของมันก็คือ ...... "ฌาน"
นั่นจึงหมายความว่า หลักฐานที่ คันโตนาซี ยกขึ้นอ้างนี้เอง กลับบ่งชี้ว่า
การจะเป็นพรหม หรือ เสมอเหมือนกับพรหม หรือ เมื่อตายกายแตกแล้ว
ได้ไปเกิดเป็นสหายกับพรหม ย่อมต้องเป็นผู้ได้ฌานสมาบัติ เท่านั้น
และเมื่อผมย้อนถามเอากับนายคนนั้น เพื่อให้อธิบายหลักฐานดังกล่าว ปรากฏว่า เงียบ !
นาย คันโตนาซี หนีหน้าหายไปจากทั้ง ๒ กระทู้ ที่มัน "ฝลัด" ข้อความและหลักฐานดังกล่าวนี้ไว้
ด้วยเหตุดังนี้ ผมสามารถสรุปได้ไหมว่า คันโตนาซี ได้ "ปล่อยไก่" จนหมดเล้า แสดงความ "ขี้เท่อ" ของตน ออกมาจนหมดเปลือก
ทำให้ผู้คนทั้งหลายได้ทราบข้อเท็จจริงว่า ที่แท้แล้ว นายคนนี้ มิได้เป็นนักปฏิบัติอะไรหรอก มันก็แค่ จำขี้ปากคนอื่นมาพูด
ลอกเลียนถ้อยคำของผู้อื่นมาอวดโอ้ตามเว็บบอร์ด เพื่อโชว์พาว สร้างภาพเทียมเท็จ ว่าเป็นนักปฏิบัติธรรม ทั้งๆ ที่มันก็แค่ กำมะลอ !
และเมื่อผมถามย้ำกับมันอีกครั้ง ในกระทู้ ........... พรหมโลก ภพภูมิเฉพาะสำหรับผู้ได้ฌานสมาบัติ http://ppantip.com/topic/32581279
นอกจาก คันโตนาซี จะเย็บปาก "เงียบกริบ" ในเรื่องนี้แล้ว มันยังอุตส่าห์ สร้างเรื่องเพิ่มเติมขึ้นมาอีก
ด้วยการ อ้างหลักฐานชิ้นใหม่ ซึ่งก็มิได้ทำให้สถานการณ์(ของมัน) ดีขึ้นไปกว่าเก่าเลย กล่าวคือ
มันอ้างหลักฐาน เรื่อง อนาคามีบุคคล ว่าสามารถไปเกิดในพรหมโลกได้โดยไม่ต้องมีฌาน (เฮ้ออออออ !)
ถามว่า หลักฐานชิ้นนี้ ไม่สามารถนำมาอ้างใช้ได้ ด้วยเหตุผลใด ?
คำตอบ ก็คือ หลักฐานจากพระไตรปิฎกฉบับแปลไทยชิ้นนี้ เกี่ยวข้องกับ อนาคามีบุคคล โดยได้กล่าวถึง พรหมโลก
เทวโลก หรือ สุทธาวาส ฯลฯ หรืออะไรก็ตาม ล้วนเป็นการ "แปลเกิน" จากพระบาลีเดิม โดยผู้แปลไทย ทั้งสิ้น !
ถามว่า ผมได้เคยอธิบายเรื่องนี้แล้วหรือไม่ ?
ตอบว่า ผมได้อธิบายเรื่องนี้ไปแล้ว ในกระทู้ ........ เรื่องของ (๑) โลกนั้น หรือ (๒) ที่นั้น หรือ (๓) ภพนั้น ที่ไม่มีอยู่จริงในพระบาลี http://ppantip.com/topic/32523690
ปรากฏว่า นาย วงกลม ในกระทู้ดังกล่าว รวมไปถึง นาย คันโตนาซี ในกระทู้นี้ ก็มิได้นำพา ต่อข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น
โดยทั้ง ๒ คนนี้ ก็ยังคง "กอด" พระไตรปิฎกฉบับแปลไทยเอาไว้อย่างเหนียวแน่น ทั้งๆ ที่เป็นมันทั้ง ๒ นี่แหละ
ที่กล่าวหาว่าร้าย วัดนาป่าพงในกรณี ปาฏิโมกข์ ๑๕๐ ในทำนองว่า ไม่สามารถใช้พระไตรปิฎกฉบับแปลไทยเป็นข้อยุติได้
แต่ต้องพิจารณา "ข้อเท็จจริง" จาก ต้นฉบับเดิม คือ ฉบับภาษาบาลี เท่านั้น จึงจะถือว่า ถูกต้อง
สภาพมันน่าสมเพชไหมล่ะ ?
ทีเวลากล่าวหาคนอื่น มันไม่ยอมให้อ้างอิงพระไตรปิฎกฉบับแปลไทย
แต่พอถึงคราวของตนเองบ้าง พวกมัน กลับกอดพระไตรปิฎกฉบับแปลไทย เสียแน่น ไม่ยอมปล่อย
พฤติกรรมแบบนี้ มันย่อมเข้าตำรา "ว่าแต่เขา อิเหนาเป็นเอง" ใช่หรือไม่ ?
ที่พิลึกเป็นอย่างยิ่ง ก็คือ ทั้งๆ ที่ถูกทักท้วง นอกจากที่มันทั้ง ๒ จะหลับหูหลับตา ไม่ยอมรับรู้ความจริงแล้ว
มันทั้งคู่ ก็ยังด้านหน้า ตั้งกระทู้ กล่าวหาใส่ร้าย วัดนาป่าพง ต่อไปอย่างไม่มีความละอายแก่ใจเลยแม้แต่น้อย
ในกรณี อนาคามีบุคคลนั้น หากพิจารณาจากพระบาลีโดยตรง จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า
ไม่มี พรหมโลก เทวโลก หรืออะไรทำนองนั้นอยู่เลย แม้แต่คำเดียว ที่เห็นว่ามีอยู่ในฉบับภาษาไทยนั้น
ล้วนแล้วแต่เป็นการ "ยัดพระโอษฐ์" โดยผู้แปลไทย ทั้งสิ้น นะครับ
.
.
.
ปญฺจนฺนํ โอรมฺภาคิยานํ สญฺโญชนานํ ปริกฺขยา(ความสิ้นไป)
โอปปาติโก ตตฺถ(ในที่นั้น) ปรินิพฺพายี(ดับรอบ) อนาวตฺติธมฺโม(ไม่หวนกลับมาอีกเป็นธรรมดา)
ตสฺมา(เพราะเหตุนั้น) โลกาติ(โลกนี้=กามภพ) ฯ
.
.
.
ขอให้ท่านทั้งหลาย จงพิจารณา หลักฐาน อย่างรอบคอบด้วยนะครับว่า มันมี เทวบุตร โอปปาติกเทพ
เทวโลก พรหมโลก หรือ สุทธาวาส อยู่ตรงส่วนไหนของพระบาลี หรือไม่ ?
และในเมื่อไม่มี เทวดามารพรหม อยู่ในพระบาลีนั้น แม้สักคำเดียว
เช่นนี้แล้ว ยังจะสามารถยกมาอ้าง เพื่อสนับสนุนอัตตโนมัติโง่ๆ ของพวกมันได้อย่างไรกัน ?
หรือมิใช่ ?