หลายครั้งที่เราเห็นมิจฉาทิฐิบางคน ใช้คำว่างมงายเพื่อกล่าวหาศาสนิกชนผู้มีศรัทธา ว่าเป็นคนที่งมงาย เพราะเชื่อในสิ่งที่
ยังพิสูจน์ไม่ได้
ผมฟังแล้ว ค่อนข้างจะรู้สึกอึดอัดนิดหน่อย เนื่องจาก ตามความเข้าใจของผม ในโลกนี้ ถ้าดูกันอย่างจริงจังแล้ว ล้วนมีแต่สิ่งที่ยังพิสูจน์ไม่ได้แทบทั้งสิ้น แม้บางสิ่งที่พิสูจน์ได้แล้ว แต่พอเราหันหลังไป มันก็เปลี่ยนแปลงไปแล้ว(ตามกฏความไม่แน่นอน) ถ้าอยากจะรู้ความจริงก็ต้องพิสูจน์ใหม่อีกที ซึ่งขืนเรายึดหลักการนี้ในการดำเนินชีวิต ก็เป็นอันว่า วันวัน คงไม่เป็นอันได้ทำอะไร มัวแต่ต้องรอให้แน่ใจเสียก่อนจึงเชื่อ จึงค่อยตัดสินใจได้ มันจึงไม่สอดคล้องกับชีวิตจริง ชีวิตประจำวัน และความเป็นวิทยาศาสตร์ดังที่คนพวกนั้นชอบใช้อ้าง เพราะไม่มีใครในโลกเขาทำกัน เอาเป็นว่า สมมติตัวอย่างซักนิดหน่อยอาจจะช่วยให้เห็นภาพได้ง่ายขึ้น
เอาเรื่องใกล้ตัวและต้องเจอกันทุกคนดีกว่า สมมติว่า นาย ก. และนาย ข. ต่างก็มีภรรยาคนละคนกัน แต่ บางครั้งบางคราว ทั้งสองคน ต่างก็แอบตีท้ายครัวกันเอง คือ ภรรยานาย ก. นั้นเล่นชู้กับ นาย ข. ภรรยานาย ข. เล่นชู้กับนาย ก. เอาเป็นว่า ต่างฝ่าย ต่างโดนไปคนละดอก แล้วหลังจากนั้นก็เลิกยุ่งเกี่ยวกันไปทั้งสองฝ่าย และ ทั้งนาย ก.และ นาย ข. ต่างก็ไม่รู้ว่า ตนเองต่างก็โดนสวมเขาไปแล้วเช่นกัน และสมมติให้ไม่อยู่ในวิสัยที่จะรู้ได้ด้วยกันทั้งคู่ เพราะสมมติว่าต่างก็ไม่สนใจจะมีอะไรกันอีกก็แล้วกัน ส่วนเรารู้เห็นได้ทุกสิ่ง นาย ก. นั้น มีปรัชญาชีวิตว่า ถ้ายังไม่เห็น ยังพิสูจน์ไม่ได้ ก็จะยังไม่เชื่อในสิ่งใดๆทั้งสิ้น (น่าพิศวงว่าเป็นสิ่งที่ทำได้จริงด้วยหรือ) เพราะมันไม่ใช่ความจริงสำหรับตน จึงไม่เชื่อไว้ก่อน ถ้าเชื่อในสิ่งที่ไม่รู้ จะต้องแปลว่างมงายเท่านั้น ซึ่งในกรณีที่ เมียตนเองเล่นชู้อยู่ และตนเองก็ไม่รู้ ดังนั้นตนเองก็ต้องเฉยๆ เพราะไม่รู้นี่ว่าเมียมีชู้ ตนเองจึงไม่เชื่อว่า เมียมีชู้ ท่านคิดว่า นาย ก. คิดถูกต้องไหม ในกรณีนี้ ถ้า งั้น เรามาดูอีกทางหนึ่ง ครอบครัว นาย ข. นาย ข.มีปรัชญา ชีวิตว่า ถ้าอะไรที่ ยังพิสูจน์ไม่ได้ และตนไม่รู้ไม่เห็น ก็จะพิจารณาดูว่า อะไรที่เป็นประโยชน์อะไรที่ทำแล้วมีความสุข ก็จะเลือกเชื่อตามนั้นไปก่อน แต่ไม่ได้ ยึดมั่นเอาเป็นเอาตายว่า มัน จริงแท้แน่นอนแล้ว ถ้ามีหลักฐานเมื่อไหร่ ก็จะว่าไปตามหลักฐาน ดังนั้น นาย ข. จึง ทำอย่างไรครับ นาย ข. จึงเลือกที่จะคิดว่า เมียของตนนั้น บริสุทธิ์ไว้ก่อน เพราะเมื่อคิดเช่นนั้น ครอบครัวนาย ข. ก็สามารถครองเรือนได้อย่างปกติสุขดี เช่นกันกับ นาย ก.เหมือนกัน คำถามคือ แล้วทั้งสองคน ทั้งๆที่ต่างก็เชื่อกันคนละอย่าง ซึ่งอันที่จริงในเรื่องนี้ ฝ่าย นาย ก. ก็ได้นึกกระหยิ่ม หัวเราะเยาะเย้ยนาย ข.คิดว่า นาย ข. โง่ งมงาย เลือกที่คิดว่าเมียตัวเองบริสุทธิ์ทั้งๆที่มีชู้อยู่ ในที่นี้ คือ ตน (แต่ไม่กล้าบอกนาย ข.กลัวโดนยิงกะบาล) ซึ่งแล้ว มันต่างกันอย่างไร ในที่สุดแล้ว มันก็เหมือนกันอยู่ดี สาเหตุคืออะไร สาเหตุก็คือ นาย ก. ต่างหากที่โง่ จนคิดว่า ตนได้ตัดสินใจที่จะไม่เลือกเชื่อ อย่างใดอย่างหนึ่ง ในกรณีที่ยังพิสูจน์ไม่ได้ ทั้งๆที่ ตนเองก็ได้ตัดสินใจเลือกที่จะเชื่อไปแล้วว่า เมียของตนบริสุทธิ์ เช่นกันกับนาย ข. เพราะไม่มีหลักฐานมาให้เห็น ว่า มีชู้ สิ่งที่แตกต่างกันระหว่างทั้งคู่ ก็เป็นแต่เพียงคำพูดของเจ้าตัวเท่านั้น ที่เข้าใจเอาเองว่าแตกต่างกัน แต่พฤติกรรมก็เหมือนๆกัน แบบเดียวกัน และนี่จึงนำมาสู่ข้อสรุปเดียวกัน โดยที่ นาย ก. ก็คิดว่านาย ข. งมงาย ส่วนนาย ข. เลือกที่จะเฉยๆ เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหา เพราะ จากกรณีนี้ เราจะเห็นได้ว่า งมงายหรือไม่งมงาย ไม่ได้ ขึ้นอยู่กับการเลือกที่จะเชื่อหรือไม่เชื่ออย่างใด ในสิ่งที่ตนเองยังไม่รู้ เพราะการเชื่อ หรือ ไม่เชื่อ มันก็คือ สิ่งเดียวกันนั่นเอง
แล้วดังนั้น อะไร คือ ความงมงาย ความงมงาย ในความคิดของผมก็คือ การเลือกที่จะเชื่อในสิ่งที่รู้ว่าไม่จริงต่างหาก นั้นคือความงมงาย อย่างเช่น เมื่อต่อมาภายหลัง เรา ให้ นาย ก. และ นาย ข. ต่างก็ได้รู้ความจริงแล้ว ส่วน นาย ก. ทำใจไม่ได้ ไม่ยอมฟังใครๆทั้งสิ้น คือ รับความจริงไม่ได้นั่นเอง ยังหลอกตนเองว่าเมียไม่ได้มีชู้ ส่วน นาย ข. เมื่อรู้ความจริงเช่นนั้น ก็ ยอมรับ แล้ว ตัดสินใจไปตามข้อเท็จจริงนั้น นี่คือความแตกต่างระหว่าง ความงมงาย กับไม่งมงาย ในสายตาของผม
ดังนั้น สรุป หากจะกล่าวหาว่าใครงมงาย จึงควรที่คนที่เป็นผู้กล่าวหา จะต้องหาหลักฐานมาพิสูจน์คำพูดของตน แล้วค่อยดูว่าอีกฝ่ายยอมรับได้หรือไม่ หากอีกฝ่าย ไม่ยอมรับ ทั้งๆที่หลักฐานชัดเจนแน่นอนแล้ว แบบั้นแหละ เราจึงตัดสินว่า เขา งมงายแน่แท้แล้ว แต่ อย่า อย่าไปกล่าวหาฝ่ายที่เขาเชื่อในบางสิ่ง ที่ยังไม่มีข้อพิสูจน์ว่าสิ่งนั้นจริงหรือเท็จ ว่า งมงาย เพราะมันยังไม่เพียงพอที่จะกล่าวเช่นนั้น และถ้าหากสิ่งที่เขาเชื่อเช่นนั้น เป็นความจริงขึ้นมาล่ะ ใครกันแน่ ที่จะงมงาย จริงไหมครับ
ผมคิดว่า เหตุผลที่แสดงมานี้ น่าจะเพียงพอที่จะใช้เป็นเกณฑ์ในการพิจารณาว่า สิ่งใดควรกล่าวหาว่างมงายหรือไม่งมงายได้อย่างมีกติกาที่แน่นอนชัดเจน ดีกว่าที่จะปล่อยให้คนที่มิจฉาทิฐิครอบงำบางคน เที่ยว ไล่ด่า ไล่ว่า อีกฝ่ายเอาอย่างดื้อๆ อย่างไร้เหตุผล ทั้งๆที่ตนก็ไม่ได้รู้อะไรจริงเลยเช่นกัน ซึ่งไม่ได้แสดงให้เห็นอะไรเลย นอกจากความหลงอัตตา ความเขลา ความกดผู้อื่นให้ต่ำอย่างไร้เหตุผล และกระทำในสิ่งที่ตรงข้ามกับคำสอนของศาสนาที่ตนนับถืออยู่ด้วยซ้ำ คิดว่างั้นนะครับ.
อะไรคือความงมงาย
ผมฟังแล้ว ค่อนข้างจะรู้สึกอึดอัดนิดหน่อย เนื่องจาก ตามความเข้าใจของผม ในโลกนี้ ถ้าดูกันอย่างจริงจังแล้ว ล้วนมีแต่สิ่งที่ยังพิสูจน์ไม่ได้แทบทั้งสิ้น แม้บางสิ่งที่พิสูจน์ได้แล้ว แต่พอเราหันหลังไป มันก็เปลี่ยนแปลงไปแล้ว(ตามกฏความไม่แน่นอน) ถ้าอยากจะรู้ความจริงก็ต้องพิสูจน์ใหม่อีกที ซึ่งขืนเรายึดหลักการนี้ในการดำเนินชีวิต ก็เป็นอันว่า วันวัน คงไม่เป็นอันได้ทำอะไร มัวแต่ต้องรอให้แน่ใจเสียก่อนจึงเชื่อ จึงค่อยตัดสินใจได้ มันจึงไม่สอดคล้องกับชีวิตจริง ชีวิตประจำวัน และความเป็นวิทยาศาสตร์ดังที่คนพวกนั้นชอบใช้อ้าง เพราะไม่มีใครในโลกเขาทำกัน เอาเป็นว่า สมมติตัวอย่างซักนิดหน่อยอาจจะช่วยให้เห็นภาพได้ง่ายขึ้น
เอาเรื่องใกล้ตัวและต้องเจอกันทุกคนดีกว่า สมมติว่า นาย ก. และนาย ข. ต่างก็มีภรรยาคนละคนกัน แต่ บางครั้งบางคราว ทั้งสองคน ต่างก็แอบตีท้ายครัวกันเอง คือ ภรรยานาย ก. นั้นเล่นชู้กับ นาย ข. ภรรยานาย ข. เล่นชู้กับนาย ก. เอาเป็นว่า ต่างฝ่าย ต่างโดนไปคนละดอก แล้วหลังจากนั้นก็เลิกยุ่งเกี่ยวกันไปทั้งสองฝ่าย และ ทั้งนาย ก.และ นาย ข. ต่างก็ไม่รู้ว่า ตนเองต่างก็โดนสวมเขาไปแล้วเช่นกัน และสมมติให้ไม่อยู่ในวิสัยที่จะรู้ได้ด้วยกันทั้งคู่ เพราะสมมติว่าต่างก็ไม่สนใจจะมีอะไรกันอีกก็แล้วกัน ส่วนเรารู้เห็นได้ทุกสิ่ง นาย ก. นั้น มีปรัชญาชีวิตว่า ถ้ายังไม่เห็น ยังพิสูจน์ไม่ได้ ก็จะยังไม่เชื่อในสิ่งใดๆทั้งสิ้น (น่าพิศวงว่าเป็นสิ่งที่ทำได้จริงด้วยหรือ) เพราะมันไม่ใช่ความจริงสำหรับตน จึงไม่เชื่อไว้ก่อน ถ้าเชื่อในสิ่งที่ไม่รู้ จะต้องแปลว่างมงายเท่านั้น ซึ่งในกรณีที่ เมียตนเองเล่นชู้อยู่ และตนเองก็ไม่รู้ ดังนั้นตนเองก็ต้องเฉยๆ เพราะไม่รู้นี่ว่าเมียมีชู้ ตนเองจึงไม่เชื่อว่า เมียมีชู้ ท่านคิดว่า นาย ก. คิดถูกต้องไหม ในกรณีนี้ ถ้า งั้น เรามาดูอีกทางหนึ่ง ครอบครัว นาย ข. นาย ข.มีปรัชญา ชีวิตว่า ถ้าอะไรที่ ยังพิสูจน์ไม่ได้ และตนไม่รู้ไม่เห็น ก็จะพิจารณาดูว่า อะไรที่เป็นประโยชน์อะไรที่ทำแล้วมีความสุข ก็จะเลือกเชื่อตามนั้นไปก่อน แต่ไม่ได้ ยึดมั่นเอาเป็นเอาตายว่า มัน จริงแท้แน่นอนแล้ว ถ้ามีหลักฐานเมื่อไหร่ ก็จะว่าไปตามหลักฐาน ดังนั้น นาย ข. จึง ทำอย่างไรครับ นาย ข. จึงเลือกที่จะคิดว่า เมียของตนนั้น บริสุทธิ์ไว้ก่อน เพราะเมื่อคิดเช่นนั้น ครอบครัวนาย ข. ก็สามารถครองเรือนได้อย่างปกติสุขดี เช่นกันกับ นาย ก.เหมือนกัน คำถามคือ แล้วทั้งสองคน ทั้งๆที่ต่างก็เชื่อกันคนละอย่าง ซึ่งอันที่จริงในเรื่องนี้ ฝ่าย นาย ก. ก็ได้นึกกระหยิ่ม หัวเราะเยาะเย้ยนาย ข.คิดว่า นาย ข. โง่ งมงาย เลือกที่คิดว่าเมียตัวเองบริสุทธิ์ทั้งๆที่มีชู้อยู่ ในที่นี้ คือ ตน (แต่ไม่กล้าบอกนาย ข.กลัวโดนยิงกะบาล) ซึ่งแล้ว มันต่างกันอย่างไร ในที่สุดแล้ว มันก็เหมือนกันอยู่ดี สาเหตุคืออะไร สาเหตุก็คือ นาย ก. ต่างหากที่โง่ จนคิดว่า ตนได้ตัดสินใจที่จะไม่เลือกเชื่อ อย่างใดอย่างหนึ่ง ในกรณีที่ยังพิสูจน์ไม่ได้ ทั้งๆที่ ตนเองก็ได้ตัดสินใจเลือกที่จะเชื่อไปแล้วว่า เมียของตนบริสุทธิ์ เช่นกันกับนาย ข. เพราะไม่มีหลักฐานมาให้เห็น ว่า มีชู้ สิ่งที่แตกต่างกันระหว่างทั้งคู่ ก็เป็นแต่เพียงคำพูดของเจ้าตัวเท่านั้น ที่เข้าใจเอาเองว่าแตกต่างกัน แต่พฤติกรรมก็เหมือนๆกัน แบบเดียวกัน และนี่จึงนำมาสู่ข้อสรุปเดียวกัน โดยที่ นาย ก. ก็คิดว่านาย ข. งมงาย ส่วนนาย ข. เลือกที่จะเฉยๆ เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหา เพราะ จากกรณีนี้ เราจะเห็นได้ว่า งมงายหรือไม่งมงาย ไม่ได้ ขึ้นอยู่กับการเลือกที่จะเชื่อหรือไม่เชื่ออย่างใด ในสิ่งที่ตนเองยังไม่รู้ เพราะการเชื่อ หรือ ไม่เชื่อ มันก็คือ สิ่งเดียวกันนั่นเอง
แล้วดังนั้น อะไร คือ ความงมงาย ความงมงาย ในความคิดของผมก็คือ การเลือกที่จะเชื่อในสิ่งที่รู้ว่าไม่จริงต่างหาก นั้นคือความงมงาย อย่างเช่น เมื่อต่อมาภายหลัง เรา ให้ นาย ก. และ นาย ข. ต่างก็ได้รู้ความจริงแล้ว ส่วน นาย ก. ทำใจไม่ได้ ไม่ยอมฟังใครๆทั้งสิ้น คือ รับความจริงไม่ได้นั่นเอง ยังหลอกตนเองว่าเมียไม่ได้มีชู้ ส่วน นาย ข. เมื่อรู้ความจริงเช่นนั้น ก็ ยอมรับ แล้ว ตัดสินใจไปตามข้อเท็จจริงนั้น นี่คือความแตกต่างระหว่าง ความงมงาย กับไม่งมงาย ในสายตาของผม
ดังนั้น สรุป หากจะกล่าวหาว่าใครงมงาย จึงควรที่คนที่เป็นผู้กล่าวหา จะต้องหาหลักฐานมาพิสูจน์คำพูดของตน แล้วค่อยดูว่าอีกฝ่ายยอมรับได้หรือไม่ หากอีกฝ่าย ไม่ยอมรับ ทั้งๆที่หลักฐานชัดเจนแน่นอนแล้ว แบบั้นแหละ เราจึงตัดสินว่า เขา งมงายแน่แท้แล้ว แต่ อย่า อย่าไปกล่าวหาฝ่ายที่เขาเชื่อในบางสิ่ง ที่ยังไม่มีข้อพิสูจน์ว่าสิ่งนั้นจริงหรือเท็จ ว่า งมงาย เพราะมันยังไม่เพียงพอที่จะกล่าวเช่นนั้น และถ้าหากสิ่งที่เขาเชื่อเช่นนั้น เป็นความจริงขึ้นมาล่ะ ใครกันแน่ ที่จะงมงาย จริงไหมครับ
ผมคิดว่า เหตุผลที่แสดงมานี้ น่าจะเพียงพอที่จะใช้เป็นเกณฑ์ในการพิจารณาว่า สิ่งใดควรกล่าวหาว่างมงายหรือไม่งมงายได้อย่างมีกติกาที่แน่นอนชัดเจน ดีกว่าที่จะปล่อยให้คนที่มิจฉาทิฐิครอบงำบางคน เที่ยว ไล่ด่า ไล่ว่า อีกฝ่ายเอาอย่างดื้อๆ อย่างไร้เหตุผล ทั้งๆที่ตนก็ไม่ได้รู้อะไรจริงเลยเช่นกัน ซึ่งไม่ได้แสดงให้เห็นอะไรเลย นอกจากความหลงอัตตา ความเขลา ความกดผู้อื่นให้ต่ำอย่างไร้เหตุผล และกระทำในสิ่งที่ตรงข้ามกับคำสอนของศาสนาที่ตนนับถืออยู่ด้วยซ้ำ คิดว่างั้นนะครับ.