บทนำ
เมื่อเสียงเพลงประจำชาติประเทศจาฬุรัตน์บุรีจบลง ภายในหอประชุมหมู่บ้านที่สร้างอย่างเรียบง่าย ก็ปรากฏหญิงสาวในชุดสูทกระโปรงสีเข้มเดินขึ้นมายืนด้านหลังนายทหารยศนายพลซึ่งเป็นประธานในพีธี บนเวทีมีป้ายด้านหลังแสดงความขอบคุณและต้อนรับที่ทางราชการมาเยี่ยมเยียนเขตแดนในพื้นที่ห่างไกล พีธีการผ่านไปอย่างไม่เร่งร้อน และทันทีที่นายทหารกล่าวทักทายชาวบ้านเรียบร้อย ไมค์ก็ถูกส่งต่อมาที่หญิงสาวอย่างรู้หน้าที่
สายตาทุกคู่จับจ้องมาที่หญิงสาวอย่างสนใจ เค้าโครงหน้าหล่อนสวยสง่าจับใจ ดวงตากลมโตสีน้ำผึ้งได้รับการตกแต่ง รับกับใบหน้ารูปไข่อย่างกลมกลืน ริมฝีปากสีแดงจัดด้วยลิปสติก ยิ่งสร้างความสมดุลบนใบหน้า ทรงผมที่แม้จะดูขัดไปบ้างเพราะมันไม่ได้ปล่อยสยายอย่างบุคลิคแท้ แต่ถูกรวบรัดตึงเป็นมวยเกล้าเรียบร้อยให้เหมาะสมกับหน้าที่
“ลำดับต่อไป พวกเราชาวหมู่บ้านกองยี มีความยินดีต้อนรับคุณ ชาสิตา อาชีพดารา นักแสดง ขึ้นมากล่าวเปิดงานเล็กน้อย ก่อนเข้าสู่พิธีมอบทุนการศึกษาครับ” เสียงปรบมือดังต้อนรับ ทันทีเมื่อพิธีกรในงานกล่าวจบ
“สวัสดีค่ะพี่น้องชาวหมู่บ้านกองยี ดิฉันชาสิตา มีความยินดีอย่างยิ่งค่ะ ที่ได้มีโอกาสได้รับคัดเลือกจากท่านนายพลอินทัช ให้มีโอกาสร่วมเดินทางไปเยี่ยมประชาชนในพื้นที่ภาคเหนือ ตามนโบบายของรัฐบาล ที่ต้องการสร้างรัก ความสามัคคี ให้เกิดขึ้นในดินแดนห่างไกลนี้ค่ะ สำหรับหมู่บ้านกองยี เป็นหมู่บ้านลำดับที่ 6 และเป็นหมู่บ้านลำดับสุดท้ายของโครงการนี้ค่ะ ดิฉันหวังว่าจะมีโอกาสได้พบทุกท่านอีกในโอกาสต่อไปค่ะ”
เสียงปรบมือดังเกลียวสนั่นหอประชุม สายตาทุกคู่ส่งความรักให้หล่อน แม้เป็นพื้นที่ห่างไกลขนาดนี้แต่ หญิงสาวก็รับรู้ได้ หล่อนเป็นศูนย์รวมจิตใจ ในพื้นที่สีเทานี้ จุดชายแดนรอยต่อของความขัดแย้งทางเชื้อชาติที่มีปัญหามายาวนาน
หญิงสาวสงสัยอยู่เหมือนกันว่า ตลอดระยะเวลายาวนานนับสัปดาห์ที่ผ่านมา ท่ามกลางใบหน้าเปื้อนยิ้มของเด็กๆ สายตาแห่งความหวังลึกๆ ของชาวบ้านที่แสนจะใสซื่อ จะเป็นไปได้อย่างไรว่า ที่นี่นับเป็นจุดอันตราย ที่เพิ่งจะหยุดสงครามมาไม่กี่เดือน การมอบทุนการศึกษาผ่านไปอย่างเรียบง่ายๆ ส่วนใหญ่เวลาจะหมดไปกับการพูดคุยกับเด็กๆ โอบกอดเหล่าผู้สูงอายุ และถ่ายรูปจากบรรดาสื่อมวลชน
“ผมเคยทำข่าวคุณสักสองสามรอบเห็นจะได้ครับ คุณชาสิตา ผมนึกว่าคุณจะเป็นพวกเข้าถึงยากกว่านี้ซะอีก” เสียงนักข่าวสายบันเทิงดังจากด้านหลังของหญิงสาวขณะที่เธอกำลังมองเด็กๆเล่นเกมรำวงเพลินๆ เสียงนั้นส่งผลให้หล่อนยิ้มหวานให้เขาก่อนตอบด้วยเสียงหวานใสว่า
“บางที นี่อาจจะเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด ที่จะได้ศึกษานิสัยอีกด้านของฉันค่ะ แล้ว...ไม่ทราบว่า สองครั้งที่เจอกัน ดิฉันเสียมารยาทอะไรไปบ้างรึเปล่า ถ้ามีต้องขอโทษตรงนี้เลยนะคะ”
ชายหนุ่มทำตาโตอย่างแปลกใจ ก่อนยิ้มกว้างยินดี
“ไม่สักนิดครับ แต่ก็มีบ้าง แฮะ...แฮะ ตอนนั้นคุณเหวี่ยงซะจนผมเกือบโดนไล่ออกจากงาน” เขาลูบหัวตัวเองสารภาพ
“หวังว่าคุณจะหายโกรธดิฉันแล้ว”
“โอ๊ะ...แน่นอนครับ ญาติๆผมทุกคน เป็นแฟนคลับของคุณทั้งนั้นครับ”
“งั้นคงจะดีไม่น้อยนะคะ ถ้าพวกเขาจะได้ลายเซ็นของฉันทุกคน นี่พิเศษ...สำหรับคุณ เพื่อเป็นการขอโทษค่ะ”
ชายหนุ่มทำตาโตยิ่งกว่าเดิมหลายเท่า ทั้งแปลกใจ และดีใจ ใครๆก็รู้ทั้งวงการว่า ชาลิตาเป็นใคร หล่อนมีนิสัยแบบไหน แต่อย่างนั้นหล่อนก็ยังเป็นดาวจรัสฟ้าของวงการ ด้วยความสามารถทางการแสดง และท่วงท่าสง่างามอันเป็นเอกลักษณ์ของเธอ ดังนั้นเขาจึงยินดีที่หล่อนเอื้อเฟื้อข้อเสนอพิเศษแก่เขา
หลังจากที่เธอส่งลายเซ็นให้เขาปึกใหญ่แล้ว เขาก็โค้งแล้ว โค้งอีก พร้อมสัญญาว่า ต่อไปนี้จะไม่มีข่าวเสียหายของเธอออกจากสำนักพิมพ์เขาอีก
ชาสิตา มองตามหลังชายที่หายลับไป ก่อนถอนหายใจเบาๆ เขาเป็นรายที่เท่าไหร่แล้วนะ ในอาทิตย์นี้ที่มีความเข้าใจแบบนี้
พอตกเย็น ชาวบ้านและกลุ่มคณะทำงานจากทางรัฐบาลร่วมกันจัดงานเลี้ยงขอบคุณและปิดโครงการ มีการแสดงศิลปะวัฒนะธรรมท้องถิ่น และฉลองด้วยเครื่องดื่มสีขาวที่ทำจากข้าวหมัก หลายคนแวะเวียนมาชวนหญิงสาวเต้นรำวงรอบกองไฟ เสียงหัวเราะดังทั่วหุบเขา แม้จะเย็นเยียบแต่หล่อนรู้สึกว่ามันอบอุ่น และซึมซับมาถึงหัวใจของหล่อนได้ หล่อนเริ่มจะรักที่นี่เสียแล้ว และเมื่อกลับไปบ้านสถานที่นี้จะเป็นลำดับต้นๆที่นึกถึง แต่งานเลี้ยงย่อมต้องมีวันเลิกรา เมื่อดนตรีซาเบา ทุกคนก็ต่างทยอยกลับเข้าบ้านพักของแต่ละคนเรียบร้อย
“นี่เห็นจะเลยหมายกำหนดการของเราเล็กน้อยนะครับ จริงๆเราควรถึงโรงแรมในเมืองได้แล้ว” ผุ้ดูแลงานเอ่ยกับเธอ เมื่อเธอดูนาฬิกาข้อมือตัวเองก็ปรากฏว่าเป็นเวลา 5 ทุ่มครึ่งแล้ว
“เราต้องเดินทางอีกประมาณ 2 ชั่วโมงและผ่านหุบเขา”
“อันตรายไหมคะ” หล่อนดูกังวล
“ไม่หรอกครับคุณชาสิตา คนขับรถของเราชำนาญทางมาก เราเตรียมตัวขึ้นรถกันดีกว่าครับ
หล่อนเดินตามเขาไปขึ้นรถตู้คันสีขาวที่หล่อนใช้ตั้งแต่วันแรก และอดแปลกใจไม่ได้ว่า ทำไมไม่มีใครเดินตามหล่อนมาเลยสักคน
“...คนอื่นล่ะคะ ผู้จัดการของฉัน คุณเห็นไหม”
“อ้อ...พวกเขาจะนอนค้างที่นี่ครับ หลายคนกลับไปแล้วเมื่อตอนหัวค่ำ แต่นี่ท่านนายพลเป็นห่วงคุณ อยากให้พักที่โรงแรมมากกว่า”
“อ๋อ...ค่ะ” แม้จะสงสัยอยู่บ้างแต่เธอก็ไม่คิดจะถามอะไรอีก
ไม่มีใครพูดอะไรอีก นับจากล้อรถหมุน หญิงสาวนั่งคนเดียวในรถตู้ตอนหลัง สายตาเพ่งมองไปในความมืดมิด ผ่านหุบเขาเป็นเงาดำทั้งสองข้างทาง น่าแปลกที่ภายในความมืดมิดนั้น ดาวบนฟ้ากลับพร่างพรายคล้ายกับว่ามันกำลังจะพาเธอผ่านไปสู่มิติอื่น
“เอี๊ยด” เสียงเบรกกะทันหัน หญิงสาวหลุดจากภวังค์ ฝืนตัวเองไม่ให้หน้าคะมำไปยังแรงเหวี่ยง
“เกิดอะไรขึ้นคะ” หล่อนร้องถามร้อนใจ
“คุณชาสิตาครับ มีกลุ่มคนมาดักหน้ารถเราครับ” เขาตอบกลับร้อนรนไม่แพ้กัน และยังไม่ทันที่หล่อนจะชะโงกตัวไปมอง ประตูรถก็ถูกเปิดออกทันที สายตาหล่อนหันขวับมาทางผู้แปลกหน้าที่เพิ่งกระชากประตูออก ปะทะกับดวงตาดำขลับสีรัตติกาลคู่คม ภายใต้ชุดสีดำสนิทรัดกุม
“คุณต้องการการอะไร” เสียงร้องถามสั่นแกมกล้า ให้ตายเหอะ หล่อนสาบานนะเห็นท่วงท่าย่างสุขุมของชายแปลกหน้า สะดุดนิดหนึ่งคล้ายลังเล และเพราะอาการนั้นทำให้หล่อนตัดสินใจพูดประโยคถัดไปด้วยคิดว่าคนเหล่านั้นคือโจรป่าทั่วไป
“ฉันชาสิตา เป็นตัวแทนของท่านนายพลอินทัชที่มาปฎิบัติหน้าที่แทนท่าน ” หล่อนคาดว่าจะได้เห็นคนพวกนั้นถอยกรูด เนื่องจากเกรงกลัวชื่อเสียงของท่านผู้นำสูงสุด แต่เปล่าเลย หล่อนกลับเห็นดวงตาดำขลับนั้นยิ้มเยาะ ภายใต้ผ้าคลุมหน้าสีดำ ก่อนที่เสียงทุ้มน่าเกรงขามนั้นจะลอดผ่านผ้ามาเบาๆ
“งั้นก็…ยินดีต้อนรับสู่เมืองศิธร...มิสชาสิตา”
ดวงตาหล่อนเบิกค้างด้วยความตกใจ คนแปลกหน้าตัวใหญ่ก้าวเข้ามาในรถตู้ทันที มือข้างหนึ่งปิดปากหล่อนไว้เพื่อไม่ให้ร้องเสียงดัง และด้วยความความรวดเร็วมืออีกข้างก็คว้าผ้าผืนเล็กที่มีกลิ่นฉุนโปะไปที่จมูกของเธอ หล่อนพยายามดิ้นรนด้วยสัญชาตญาณตื่นสู้ แม้รู้ว่าพละกำลังนั้นเริ่มอ่อนแรง และในที่สุดก็สลบไปเพราะฤทธิ์ยา
ชายหนุ่มคว้าร่างไร้สติให้นอนราบไปบนเบาะ ก่อนตะโกนข้ามมายังคนคนขับที่รอรับคำสั่งอยู่
“ทำตามแผนของเรา ส่วนรถคันนี้ทำให้เป็นอุบัติเหตุตกเหวไปซะ”
“ครับ ท่านผู้นำ”
###########
หากอ่านแล้วชอบสามารถอ่านตอนต่อไปได้ที่ link ด้านล่างนะคะ
http://my.dek-d.com/nuinew/writer/view.php?id=1218462
ขอบคุณค่ะ ที่ติดตาม
คีรีศิธร นครแห่งรัก (บทนำ)
เมื่อเสียงเพลงประจำชาติประเทศจาฬุรัตน์บุรีจบลง ภายในหอประชุมหมู่บ้านที่สร้างอย่างเรียบง่าย ก็ปรากฏหญิงสาวในชุดสูทกระโปรงสีเข้มเดินขึ้นมายืนด้านหลังนายทหารยศนายพลซึ่งเป็นประธานในพีธี บนเวทีมีป้ายด้านหลังแสดงความขอบคุณและต้อนรับที่ทางราชการมาเยี่ยมเยียนเขตแดนในพื้นที่ห่างไกล พีธีการผ่านไปอย่างไม่เร่งร้อน และทันทีที่นายทหารกล่าวทักทายชาวบ้านเรียบร้อย ไมค์ก็ถูกส่งต่อมาที่หญิงสาวอย่างรู้หน้าที่
สายตาทุกคู่จับจ้องมาที่หญิงสาวอย่างสนใจ เค้าโครงหน้าหล่อนสวยสง่าจับใจ ดวงตากลมโตสีน้ำผึ้งได้รับการตกแต่ง รับกับใบหน้ารูปไข่อย่างกลมกลืน ริมฝีปากสีแดงจัดด้วยลิปสติก ยิ่งสร้างความสมดุลบนใบหน้า ทรงผมที่แม้จะดูขัดไปบ้างเพราะมันไม่ได้ปล่อยสยายอย่างบุคลิคแท้ แต่ถูกรวบรัดตึงเป็นมวยเกล้าเรียบร้อยให้เหมาะสมกับหน้าที่
“ลำดับต่อไป พวกเราชาวหมู่บ้านกองยี มีความยินดีต้อนรับคุณ ชาสิตา อาชีพดารา นักแสดง ขึ้นมากล่าวเปิดงานเล็กน้อย ก่อนเข้าสู่พิธีมอบทุนการศึกษาครับ” เสียงปรบมือดังต้อนรับ ทันทีเมื่อพิธีกรในงานกล่าวจบ
“สวัสดีค่ะพี่น้องชาวหมู่บ้านกองยี ดิฉันชาสิตา มีความยินดีอย่างยิ่งค่ะ ที่ได้มีโอกาสได้รับคัดเลือกจากท่านนายพลอินทัช ให้มีโอกาสร่วมเดินทางไปเยี่ยมประชาชนในพื้นที่ภาคเหนือ ตามนโบบายของรัฐบาล ที่ต้องการสร้างรัก ความสามัคคี ให้เกิดขึ้นในดินแดนห่างไกลนี้ค่ะ สำหรับหมู่บ้านกองยี เป็นหมู่บ้านลำดับที่ 6 และเป็นหมู่บ้านลำดับสุดท้ายของโครงการนี้ค่ะ ดิฉันหวังว่าจะมีโอกาสได้พบทุกท่านอีกในโอกาสต่อไปค่ะ”
เสียงปรบมือดังเกลียวสนั่นหอประชุม สายตาทุกคู่ส่งความรักให้หล่อน แม้เป็นพื้นที่ห่างไกลขนาดนี้แต่ หญิงสาวก็รับรู้ได้ หล่อนเป็นศูนย์รวมจิตใจ ในพื้นที่สีเทานี้ จุดชายแดนรอยต่อของความขัดแย้งทางเชื้อชาติที่มีปัญหามายาวนาน
หญิงสาวสงสัยอยู่เหมือนกันว่า ตลอดระยะเวลายาวนานนับสัปดาห์ที่ผ่านมา ท่ามกลางใบหน้าเปื้อนยิ้มของเด็กๆ สายตาแห่งความหวังลึกๆ ของชาวบ้านที่แสนจะใสซื่อ จะเป็นไปได้อย่างไรว่า ที่นี่นับเป็นจุดอันตราย ที่เพิ่งจะหยุดสงครามมาไม่กี่เดือน การมอบทุนการศึกษาผ่านไปอย่างเรียบง่ายๆ ส่วนใหญ่เวลาจะหมดไปกับการพูดคุยกับเด็กๆ โอบกอดเหล่าผู้สูงอายุ และถ่ายรูปจากบรรดาสื่อมวลชน
“ผมเคยทำข่าวคุณสักสองสามรอบเห็นจะได้ครับ คุณชาสิตา ผมนึกว่าคุณจะเป็นพวกเข้าถึงยากกว่านี้ซะอีก” เสียงนักข่าวสายบันเทิงดังจากด้านหลังของหญิงสาวขณะที่เธอกำลังมองเด็กๆเล่นเกมรำวงเพลินๆ เสียงนั้นส่งผลให้หล่อนยิ้มหวานให้เขาก่อนตอบด้วยเสียงหวานใสว่า
“บางที นี่อาจจะเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด ที่จะได้ศึกษานิสัยอีกด้านของฉันค่ะ แล้ว...ไม่ทราบว่า สองครั้งที่เจอกัน ดิฉันเสียมารยาทอะไรไปบ้างรึเปล่า ถ้ามีต้องขอโทษตรงนี้เลยนะคะ”
ชายหนุ่มทำตาโตอย่างแปลกใจ ก่อนยิ้มกว้างยินดี
“ไม่สักนิดครับ แต่ก็มีบ้าง แฮะ...แฮะ ตอนนั้นคุณเหวี่ยงซะจนผมเกือบโดนไล่ออกจากงาน” เขาลูบหัวตัวเองสารภาพ
“หวังว่าคุณจะหายโกรธดิฉันแล้ว”
“โอ๊ะ...แน่นอนครับ ญาติๆผมทุกคน เป็นแฟนคลับของคุณทั้งนั้นครับ”
“งั้นคงจะดีไม่น้อยนะคะ ถ้าพวกเขาจะได้ลายเซ็นของฉันทุกคน นี่พิเศษ...สำหรับคุณ เพื่อเป็นการขอโทษค่ะ”
ชายหนุ่มทำตาโตยิ่งกว่าเดิมหลายเท่า ทั้งแปลกใจ และดีใจ ใครๆก็รู้ทั้งวงการว่า ชาลิตาเป็นใคร หล่อนมีนิสัยแบบไหน แต่อย่างนั้นหล่อนก็ยังเป็นดาวจรัสฟ้าของวงการ ด้วยความสามารถทางการแสดง และท่วงท่าสง่างามอันเป็นเอกลักษณ์ของเธอ ดังนั้นเขาจึงยินดีที่หล่อนเอื้อเฟื้อข้อเสนอพิเศษแก่เขา
หลังจากที่เธอส่งลายเซ็นให้เขาปึกใหญ่แล้ว เขาก็โค้งแล้ว โค้งอีก พร้อมสัญญาว่า ต่อไปนี้จะไม่มีข่าวเสียหายของเธอออกจากสำนักพิมพ์เขาอีก
ชาสิตา มองตามหลังชายที่หายลับไป ก่อนถอนหายใจเบาๆ เขาเป็นรายที่เท่าไหร่แล้วนะ ในอาทิตย์นี้ที่มีความเข้าใจแบบนี้
พอตกเย็น ชาวบ้านและกลุ่มคณะทำงานจากทางรัฐบาลร่วมกันจัดงานเลี้ยงขอบคุณและปิดโครงการ มีการแสดงศิลปะวัฒนะธรรมท้องถิ่น และฉลองด้วยเครื่องดื่มสีขาวที่ทำจากข้าวหมัก หลายคนแวะเวียนมาชวนหญิงสาวเต้นรำวงรอบกองไฟ เสียงหัวเราะดังทั่วหุบเขา แม้จะเย็นเยียบแต่หล่อนรู้สึกว่ามันอบอุ่น และซึมซับมาถึงหัวใจของหล่อนได้ หล่อนเริ่มจะรักที่นี่เสียแล้ว และเมื่อกลับไปบ้านสถานที่นี้จะเป็นลำดับต้นๆที่นึกถึง แต่งานเลี้ยงย่อมต้องมีวันเลิกรา เมื่อดนตรีซาเบา ทุกคนก็ต่างทยอยกลับเข้าบ้านพักของแต่ละคนเรียบร้อย
“นี่เห็นจะเลยหมายกำหนดการของเราเล็กน้อยนะครับ จริงๆเราควรถึงโรงแรมในเมืองได้แล้ว” ผุ้ดูแลงานเอ่ยกับเธอ เมื่อเธอดูนาฬิกาข้อมือตัวเองก็ปรากฏว่าเป็นเวลา 5 ทุ่มครึ่งแล้ว
“เราต้องเดินทางอีกประมาณ 2 ชั่วโมงและผ่านหุบเขา”
“อันตรายไหมคะ” หล่อนดูกังวล
“ไม่หรอกครับคุณชาสิตา คนขับรถของเราชำนาญทางมาก เราเตรียมตัวขึ้นรถกันดีกว่าครับ
หล่อนเดินตามเขาไปขึ้นรถตู้คันสีขาวที่หล่อนใช้ตั้งแต่วันแรก และอดแปลกใจไม่ได้ว่า ทำไมไม่มีใครเดินตามหล่อนมาเลยสักคน
“...คนอื่นล่ะคะ ผู้จัดการของฉัน คุณเห็นไหม”
“อ้อ...พวกเขาจะนอนค้างที่นี่ครับ หลายคนกลับไปแล้วเมื่อตอนหัวค่ำ แต่นี่ท่านนายพลเป็นห่วงคุณ อยากให้พักที่โรงแรมมากกว่า”
“อ๋อ...ค่ะ” แม้จะสงสัยอยู่บ้างแต่เธอก็ไม่คิดจะถามอะไรอีก
ไม่มีใครพูดอะไรอีก นับจากล้อรถหมุน หญิงสาวนั่งคนเดียวในรถตู้ตอนหลัง สายตาเพ่งมองไปในความมืดมิด ผ่านหุบเขาเป็นเงาดำทั้งสองข้างทาง น่าแปลกที่ภายในความมืดมิดนั้น ดาวบนฟ้ากลับพร่างพรายคล้ายกับว่ามันกำลังจะพาเธอผ่านไปสู่มิติอื่น
“เอี๊ยด” เสียงเบรกกะทันหัน หญิงสาวหลุดจากภวังค์ ฝืนตัวเองไม่ให้หน้าคะมำไปยังแรงเหวี่ยง
“เกิดอะไรขึ้นคะ” หล่อนร้องถามร้อนใจ
“คุณชาสิตาครับ มีกลุ่มคนมาดักหน้ารถเราครับ” เขาตอบกลับร้อนรนไม่แพ้กัน และยังไม่ทันที่หล่อนจะชะโงกตัวไปมอง ประตูรถก็ถูกเปิดออกทันที สายตาหล่อนหันขวับมาทางผู้แปลกหน้าที่เพิ่งกระชากประตูออก ปะทะกับดวงตาดำขลับสีรัตติกาลคู่คม ภายใต้ชุดสีดำสนิทรัดกุม
“คุณต้องการการอะไร” เสียงร้องถามสั่นแกมกล้า ให้ตายเหอะ หล่อนสาบานนะเห็นท่วงท่าย่างสุขุมของชายแปลกหน้า สะดุดนิดหนึ่งคล้ายลังเล และเพราะอาการนั้นทำให้หล่อนตัดสินใจพูดประโยคถัดไปด้วยคิดว่าคนเหล่านั้นคือโจรป่าทั่วไป
“ฉันชาสิตา เป็นตัวแทนของท่านนายพลอินทัชที่มาปฎิบัติหน้าที่แทนท่าน ” หล่อนคาดว่าจะได้เห็นคนพวกนั้นถอยกรูด เนื่องจากเกรงกลัวชื่อเสียงของท่านผู้นำสูงสุด แต่เปล่าเลย หล่อนกลับเห็นดวงตาดำขลับนั้นยิ้มเยาะ ภายใต้ผ้าคลุมหน้าสีดำ ก่อนที่เสียงทุ้มน่าเกรงขามนั้นจะลอดผ่านผ้ามาเบาๆ
“งั้นก็…ยินดีต้อนรับสู่เมืองศิธร...มิสชาสิตา”
ดวงตาหล่อนเบิกค้างด้วยความตกใจ คนแปลกหน้าตัวใหญ่ก้าวเข้ามาในรถตู้ทันที มือข้างหนึ่งปิดปากหล่อนไว้เพื่อไม่ให้ร้องเสียงดัง และด้วยความความรวดเร็วมืออีกข้างก็คว้าผ้าผืนเล็กที่มีกลิ่นฉุนโปะไปที่จมูกของเธอ หล่อนพยายามดิ้นรนด้วยสัญชาตญาณตื่นสู้ แม้รู้ว่าพละกำลังนั้นเริ่มอ่อนแรง และในที่สุดก็สลบไปเพราะฤทธิ์ยา
ชายหนุ่มคว้าร่างไร้สติให้นอนราบไปบนเบาะ ก่อนตะโกนข้ามมายังคนคนขับที่รอรับคำสั่งอยู่
“ทำตามแผนของเรา ส่วนรถคันนี้ทำให้เป็นอุบัติเหตุตกเหวไปซะ”
“ครับ ท่านผู้นำ”
หากอ่านแล้วชอบสามารถอ่านตอนต่อไปได้ที่ link ด้านล่างนะคะ
http://my.dek-d.com/nuinew/writer/view.php?id=1218462
ขอบคุณค่ะ ที่ติดตาม