1
เสียงโทรศัพท์มือถือดัง ส่งผลให้หญิงสาวในชุดสีเทาหวานละสายตาจากตำราหนังสือภาษาฝรั่งเศสเล่มโตในมือ ก่อนกดรับโทรศัพท์
“ว่าไงจ๊ะ สิตา...หายไปไหนมาเนี่ย” เสียงหวานทักคนปลายสายอย่างสนิทสนม
“เพิ่งกับจากปารีสน่ะริสา ...เนี่ยซื้อหนังสือเล่มใหม่มาฝากด้วยน้า ของกีโยม อาโปลีแนร์ ที่ริสาชอบมาด้วยน่ะ”
“จริงสิ...งั้นสิตาจะส่งมาให้เมื่อไหร่ เค้าจะได้เอามาอ่านแล้วไปสอนนักเรียน”
“ช่วงงานหมั้นของริสาเป็นไง นานไปไหม”
“นาน...นนนน มาก อีกตั้ง 1 เดือนแน่ะ” ต้นเสียงตัดพ้อ จนได้ยินเสียงหัวเราะกิ๊กดังของคนปลายสาย
“เค้าล้อเล่นน่ะรสา มาวันนี้แหละจ๊ะ หนึ่ง สอง สาม”
“ปิ้งป่อง” เสียงดังของกริ่งดังมาจากหน้าห้อง ชาริสาหันไปหัวเราะคิกคัก พลางเดินไปที่ประตู
“อีกแล้วนะ แกล้งกันอีกแล้ว แค่นี้แหละเดี๋ยวเค้าเปิดประตูให้” ชาริสาเอื้อมไปเปิดประตู แล้วก็พบหญิงสาวอีกคนที่หน้าตาละม้ายคล้ายเธออย่างกับพิมพ์เดียวกันในชุดสูทสีแดงของชาแนล แว่นตาสีดำทรงเก๋ยี่ห้อเดียวกันรับกลับใบหน้างามเด่น กระโดดเข้ามากอดคอ
“คิดถึงจัง ไม่เจอกันนานมาก...ก กี่เดือนแล้วนี่”
ชาริสาไม่ได้ตอบทันที หล่อนซึมซับความคิดถึงไว้ ก่อนตอบเบาๆ
“นานพอที่ความคิดถึง จะกลายเป็นอากาศเลยล่ะ”
“เจ้ากวี...สมกับเป็นคุณครูสอนภาษา” ชาสิตาค้อน ก่อนเดินนำเข้าประตู ไปนั่งที่โซฟาใหญ่ อย่างไม่ต้องรอเจ้าของห้องให้อนุญาต
“เจ้าตำราเหมือนเดิม หลังแต่งงานแล้วยังอยู่ที่นี่กันเหรอ...มันไม่เล็กไปเหรอริสา”
“แค่หมั้นกันจ๊ะ...งานแต่งน่ะปีหน้า นู้นแน่ะ” ชาริสาตะโกนตอบจากในห้องครัวหลังจากหล่อนเข้าไปเปิดตู้เย็นจัดการน้ำให้แขกสนิท
“คุณพ่อคงมาไม่ได้...แต่ท่านฝากความยินดีมา”
มือของชาริสากระตุกวูบ แม้ไม่แปลกใจกับคำพูดของชาสิตา แต่มันก็ทำให้เธออดเสียใจเบาๆไม่ได้
“ท่านสบายดีไหม” แก้วน้ำถูกยกวางตรงหน้าชาสิตา ส่วนตัวคนถามนั่งที่โซฟาตรงข้ามช้าๆ
“สบายดี...แต่เหมือนเดิม เจ้ากี้เจ้าการเหมือนเดิม” ชาสิตาสะบัดเสียงเบื่อ “คุณแม่ล่ะ สบายดีไหม”
“สบายดีจ๊ะ ตอนนี้ท่านกำลังมุ่งมั่นที่จะปฏิบัติธรรมขั้นสูงเลยล่ะ คงจะได้เห็นคุณแม่อีกทีใกล้งานหมั้นนู่นเลย ตอนนี้ท่านอยู่ที่วัดป่าทางเหนืออยู่น่ะ”
“ริสาก็เลยมีเวลาจู๋จี้กับคู่หมั้นเยอะเลยล่ะสิ ฮิฮิ”
“บ้า...ทำยังกับไม่รู้จักพี่ธนา รายนั้นสุภาพบุรษจะตายไป” ชาริสาอดไม่ได้ที่จะหน้าแดงแก้เก้อ
ส่วนชาสิตา หล่อนพยายามนึกถึงหน้าคู่หมั้นหนุ่มของพี่สาว ละม้ายได้ว่าเขาเป็นนายทหารยศพันโทผู้มีใบหน้าหล่อเหลาสมชายชาติทหาร ทั้งคู่ถูกแนะนำให้รู้จักกันผ่านทางญาติฝ่ายแม่ซึ่งเป็นชนชั้นราชวงศ์ของตระกูลหนึ่งที่อยู่กับประเทศนี้มาแต่โบราณ ดังนั้นชาริสาจึงจัดเป็นคุณหนูตระกลูผู้ดีที่เป็นที่จับจ้องของหนุ่มทั่วไป เพียงแต่เธอไม่ชอบปรากฏกายในงานสังคมหรือแม้แต่งานพบปะใดๆ แต่กลับมุ่งมั่นกับงานสอนหนังสือโดยเฉพาะเธอเชี่ยวชาญด้านภาษาต่างประเทศถึง 8 ภาษา จนทำให้ญาติๆอันเจ้ากี้เจ้าการทั้งหลายของเธอกลัวว่า หล่อนจะกลายเป็นสาวทึนทึก หรือไม่ก็หัวอ่อนถูกผู้ชายหลอก จนสุดท้ายต้องผิดหวังกับความรักซวนเซกลับมาตายรังเหมือนดังแม่ของเธอ
ดังนั้นเจ้าลุง เจ้าป้าทั้งหลายจึงเป็นสะพานเชื่อมให้ชาริสารู้จักกับธนานายทหารหนุ่มอนาคตไกล อันมีต้นตระกูลที่ดี และเพียบพร้อมไปทุกกระบวนความทั้งรูปลักษณ์ คุณสมบัติ และฐานะอันเหมาะสม ความสัมพันธ์ราบเรียบนั้นดำเนินมาอย่างไร้ปัญหาเข้าปีที่สาม ทั้งสองตระกูลก็เข้าใจว่าทั้งคู่ถึงเวลาที่จะเข้าพิธีใช้ชีวิตครองคู่กันได้แล้ว เนื่องจากหญิงสาวเข้าใกล้วัย 30 เต็มที สำหรับธนา เขาไม่ได้อิดออด เพราะมีความรักให้เธออย่างเต็มเปี่ยมอยู่แล้ว แต่ในทางกลับกัน กลับเป็นตัวชาริสาเองที่กลัวการผูกพันนี้ ด้วยเธอเห็นประสบการณ์อันเลวร้ายระหว่างพ่อและแม่ของเธอ เมื่อครั้งที่ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันที่ประเทศจาฬุรัตน์บุรี อันเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่ตัดความสัมพันธ์ทางการทูตมากว่า 20 แล้ว
ประเทศจาฬุรัตน์บุรีจัดเป็นประเทศใหม่ที่เพิ่งผ่านพ้นอิทธิพลของเมืองขึ้นของเหล่ามหาอำนาจมาเมื่อไม่นานนี้ ปัจจุบันถูกปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยเผด็จการทหารของท่านนายพลอินทัช แต่เนื่องจากพื้นเพเดิมเป็นที่ตั้งของกลุ่มคนหลายเชื้อชาติพันธ์ ทางการทหารจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการรวบรวมกลุ่มกองกำลังเหล่านี้เข้าเป็นประเทศ โดยเฉพาะ”ศิธร” รัฐใหญ่ที่สุดทางเหนือ ในดินแดนที่เต็มไปด้วยภูเขา และป่าลึกลับ ความอุดมสมบูรณ์ของผืนป่าและน้ำยังครบถ้วน
สำหรับชาสิตาหล่อนแยกกับแฝดพี่มาตั้งแต่อายุ 8 ขวบ ทันทีที่พ่อและแม่ของเธอตัดสินใจทิ้งความสัมพันธ์ฉันท์สามีภรรยาไว้เบื้องหลัง และกลับมาเป็นเช่นคนเคยรู้จัก เนื่องจาก”หม่อมหลวงสริลดา” แม่ของเธอนั้นรับไม่ได้กับผู้ชายที่ต้องทุ่มเททุกลมหายใจเพื่อประเทศชาติ เธอเป็นผู้หญิงธรรมดาที่ต้องการแค่ความรักจากชายที่เธอรักคนแรกและคนเดียว
เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน ทันทีที่ หม่อมหลวง สริลดาสบตากับดวงตาดำนิลอ่อนโยนชองชายหนุ่มในชุดเครื่องแบบทหารอังกฤษสีขาวท่ามกลางฟอร์เต้นรำ สำหรับนักศึกษาต่างประเทศในมหาวิทยาลัย เธอก็ต้องมนต์สะกดดวงตาคู่นั้นและติดตามเขากลับมาเป็นแม่ของลูกแฝดสองคนที่เกิดในปีถัดไป ท่ามกลางการคัดค้านของพระญาติทั้งหลายของเธอ ลูกทั้งสองของเธอไม่ได้รับวรรณะใดๆ และถูกตัดขาดกันตั้งแต่นั้นมาเนื่องจากแต่งงานกับชาวต่างชาติ แต่แล้วระยะเวลาที่ต้องอยู่ภายในประเทศที่ขาดอิสระทางด้านความคิดและการกระทำ ต่างจากประเทศที่เธอเคยใช้ชีวิตมาตลอด
เสียงหนึ่งเล็กๆในใจจึงเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ ข้อเรียกร้องต่างๆ ในฐานะภรรยา และแม่ของลูก จึงถูกยื่นข้อเสนอมายังสามี ที่ตอนนั้นเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อในการเลือกตั้งขับเคี่ยวกับกลุ่มฐานอำนาจเก่า ซึ่งกำลังโจมตีถึงคุณสมบัติการเป็นผู้นำของท่าน เนื่องจากมีภรรยาเป็นชาวต่างชาติ และเป็นชาวต่างชาติในประเทศที่กำลังมีข้อพิพาทเรื่องดินแดนทับซ้อน ที่ไม่สามารถตกลงกันได้อีกด้วย และเพราะเหตุการณ์ในครั้งนั้นเหมือนระเบิดในเมื่อฝ่ายชายเลือกที่จะเดินต่อไปในเกมของเขา และฝ่ายหญิงยอมแพ้ให้กับความรักที่มอบให้เขาคนเดียว การแยกทางในครั้งนี้ สริลดานำลูกสาวฝาแฝดคนโต “ชาริสา” กลับมาด้วย ทิ้งฝาแฝดคนเล็ก “ชาสิตา”ให้อยู่กับอดีตสามีท่านนายพลอินทัช ซึ่งหลังจากนั้นชนะการเลือกตั้งถล่มทลาย และปกครองประเทศจาฬุรัตน์บุรียาวนานกว่า 20 ปี
หลังจาก 20 ปีผ่านไป ประเทศจาฬุรัตน์บุรี ไม่ได้ล้าหลังเหมือนดั่งตอนที่ชาริสาจากมาอีกแล้ว อิสระทางความคิดมีมากขึ้นแม้จะถูกจำกัดขอบเขตบ้างแต่ก็ไม่รุนแรงเหมือนเมื่อก่อน เนื่องจากท่านนายพลอินทัชนายกรัฐมนตรีในขณะนี้ยังมีความต้องการเปิดประเทศ เพื่อต้อนรับกลุ่มนักลงทุนรายใหม่ๆ ดังนั้นชาสิตาซึ่งถูกเลี้ยงดูเอาใจใส่อย่างตามใจ จึงเลือกเดินทางในทางที่เธอรักได้โดยไร้อุปสรรค
อาชีพนางแบบเป็นอาชีพแรกคนเธอ ที่ผู้คนให้ความรู้จักในฐานะลูกสาวท่านผู้นำ ตามมาด้วยอาชีพดารานักแสดง ซึ่งหล่อนจัดเป็นแถวแนวหน้า ด้วยเพราะฝีไม้ลายมืออันมากล้น ประชันกับดาราฮอลีวูดได้สบาย ไม่ใช่เพราะเส้นสายใหญ่โตของบิดา และถ้าหากชาสิตาได้ยินเสียงเข้าหูแม้แต่น้อยว่าเธอได้รับงานเพราะบิดา เธออาละวาดจนแสดงงานไม่ได้ก็มีมาแล้ว ไม่แปลกที่ท่านผู้นำที่เคร่งขรึมและเข้มงวด จะอดลดธิฐิเฉพาะลูกสาวคนนี้ไม่ได้ ด้วยนับถือน้ำใจซื่อสัตย์ที่เขาภูมิใจ ถึงขนาดไม่ยอมแต่งงานใหม่ด้วยเพราะเหตุผลว่าหล่อนจะฆ่าตัวตายหากเห็นผู้หญิงหน้าไหนเข้ามาเหยี่ยบย่างในบ้านที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นครอบครัวที่อบอุ่น
“สิตา...สิตา” เสียงทักนานเรียกชาสิตาออกจากพวังค์ พลันเมื่อสบตากับดวงตาดำดูกังวลของพี่สาวก็อดหัวเราะไม่ได้
“เป็นอะไรไปนั่งเหม่ออยู่ได้... เนี่ยเค้าเรียกตั้งนานแล้ว กาแฟที่ชงให้ก็เย็นหมดแล้วด้วย”
“ก็นั่งนึกอะไรคนเดียวเรื่อยเปื่อยอ่ะ…ว้าวกลิ่มหอมเชียว กับข้าวฝีมือริสา...เค้าคิดถึ้งคิดถึง” ไม่รอช้าลุกเข้าไปนั่งที่โต๊ะกินข้าว นั่งรอชาริสาคดข้าวสวยร้อนๆมาให้
“อย่าเยอะนะ...เค้าไดเอทอยู่”
“จ้า”
ชาสิตาทานอาหารได้มากกว่าปกติ ทั้งที่จริงๆแล้วจะกินแค่แมวดมเท่านั้น ด้วยเพราะหากเป็นรสชาติที่แฝดพี่เธอปรุงนั้นรสชาติจะอร่อยถูกปากไปเสียหมด ความที่พี่สาวของหล่อนคอยดูแลหล่อนมาตั้งแต่เด็ก แม้จะแยกทางกันตั้งแต่อายุแปดขวบ แต่เธอก้อต้องขอบคุณบิดาอีกครั้งที่ไม่เคยปิดกั้น ซ้ำยังสนับสนุนทั้งค่าโทรศัพท์และตั๋วเครื่องบินบ่อยๆ ถึงแม้จะเป็นเรื่องยากในการแอบเข้าประเทศเพื่อมาหาชาริสา เนื่องจากความสัมพันธ์ที่มึนตึง แต่ก็ยังมีช่องทางเล็กๆที่ผู้เป็นบิดาช่วยให้ทั้งคู่ได้พบกันบ้าง นานๆครั้ง ผิดกลับฝ่ายเจ้าลุงเจ้าป้าทั้ง กลุ่มนั้นกีดกันเต็มที่ อย่าได้แต่เห็นหน้าเลย แม้แต่เห็นเธอบนหน้านิตยสารก็อดค่อนขอดไม่ได้
“ริสาของเราสวยหวานกว่าตั้งเยอะ” เท่านั้นแหล่ะทันทีที่ชาสิตาได้ยินจากแฝดผู้พี่หล่อนก็แทบสำลักออกมาด้วยความขบขัน ก็หน้าของหล่อนกับพี่สาวเหมือนกันอย่างกับเงาในกระจก แล้วมันจะต่างกันตรงไหน
ทันทีที่คอร์สอาหารคาวจบลง ชาริสาก็ยกแอปเปิ้ลแกะสลักรูปกระต่าย เข้ามาเสริฟ์ทันที ชาสิตาอดที่งไม่ได้กับงานฝีมือชนิดที่เธอต้องยอมแพ้
“เจ้าป้าท่านสอนมา ถ้าสิตาชอบ เค้าจะสอนให้นะ”
ชาสิตาสั่นหน้า ขนลุกซู่ นึกถึงหน้าญาติผู้เข้มงวด
“ไม่เอาอ่ะ น่าเบื่อ...งานแบบนี้ริสาแหละเหมาะ” ชาริสาช้อนตามองแฝดน้องขบขัน ก่อนจะหันกลับไปใส่ใจกับผลไม้ชิ้นต่อไป
“แล้วนี่...บอกได้รึยัง ที่มาวันนี้มีเรื่องอะไร” พูดจบก็หรี่ตามองอย่างรู้ทัน
“ว๊า...ถึงว่าน่ะสิ...ปิดอะไรริสาไม่เคยได้เลย” แฝดน้องหัวเราะกลบเกลื่อนก่อนจ้องตากลมใสที่ส่งสายตารอคอยก่อนพูดว่า
“เค้าจะชวนริสาไป...จาฬุรัตน์บุรี...น่ะสิ”
“แป๊ก” เสียงผลไม้หล่อนจากมือคู่สนทนา ไม่มีคำพูดใดๆต่อจากนี้
“ริสา...เคยบอกว่าอยากไปไม่ใช่เหรอ...คราวนี้อาจเป็นโอกาสเดียวก่อนที่แต่งงานนะ หรือหากมีคู่หมั้นแล้วมันคงไม่สะดวกอะไรเท่าไหร่ ถ้าต่อไปก็...เหมือนจะเป็นผู้หญิงของเขาไปแล้ว” ชาสิตาพูดต่ออ้อมแอ้ม
“แต่...ประเทศเรากับจาฬุรัตน์บุรีเพิ่งจะประกาศปิดพรมแดนไปอีกครั้ง เมื่อไม่กี่อาทิตย์นะ”
“แหม...สิตาเข้ามาได้ ริสาก็ต้องออกไปได้”
“มันไม่ถูกต้อง...ทุกคนจะเป็นห่วงได้”
คราวนี้แฝดน้องชะโงกมาใกล้เกือบชิดใบหน้า กระซิบเบาๆ อย่างกลัวใครจะได้ยินว่า
“ก็ใครให้ริสาไปเล่า... เค้าให้ริสาไปแทนตัวเค้าต่างหาก”
>>>> คีรีศิธร (บทนำ)
http://ppantip.com/topic/32568064
>>>> ท่านใดสนใจติดตามต่อได้ที่
http://my.dek-d.com/nuinew/writer/view.php?id=1218462
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามนะคะ
นิยาย คีรีศิธร (บทที่1)
เสียงโทรศัพท์มือถือดัง ส่งผลให้หญิงสาวในชุดสีเทาหวานละสายตาจากตำราหนังสือภาษาฝรั่งเศสเล่มโตในมือ ก่อนกดรับโทรศัพท์
“ว่าไงจ๊ะ สิตา...หายไปไหนมาเนี่ย” เสียงหวานทักคนปลายสายอย่างสนิทสนม
“เพิ่งกับจากปารีสน่ะริสา ...เนี่ยซื้อหนังสือเล่มใหม่มาฝากด้วยน้า ของกีโยม อาโปลีแนร์ ที่ริสาชอบมาด้วยน่ะ”
“จริงสิ...งั้นสิตาจะส่งมาให้เมื่อไหร่ เค้าจะได้เอามาอ่านแล้วไปสอนนักเรียน”
“ช่วงงานหมั้นของริสาเป็นไง นานไปไหม”
“นาน...นนนน มาก อีกตั้ง 1 เดือนแน่ะ” ต้นเสียงตัดพ้อ จนได้ยินเสียงหัวเราะกิ๊กดังของคนปลายสาย
“เค้าล้อเล่นน่ะรสา มาวันนี้แหละจ๊ะ หนึ่ง สอง สาม”
“ปิ้งป่อง” เสียงดังของกริ่งดังมาจากหน้าห้อง ชาริสาหันไปหัวเราะคิกคัก พลางเดินไปที่ประตู
“อีกแล้วนะ แกล้งกันอีกแล้ว แค่นี้แหละเดี๋ยวเค้าเปิดประตูให้” ชาริสาเอื้อมไปเปิดประตู แล้วก็พบหญิงสาวอีกคนที่หน้าตาละม้ายคล้ายเธออย่างกับพิมพ์เดียวกันในชุดสูทสีแดงของชาแนล แว่นตาสีดำทรงเก๋ยี่ห้อเดียวกันรับกลับใบหน้างามเด่น กระโดดเข้ามากอดคอ
“คิดถึงจัง ไม่เจอกันนานมาก...ก กี่เดือนแล้วนี่”
ชาริสาไม่ได้ตอบทันที หล่อนซึมซับความคิดถึงไว้ ก่อนตอบเบาๆ
“นานพอที่ความคิดถึง จะกลายเป็นอากาศเลยล่ะ”
“เจ้ากวี...สมกับเป็นคุณครูสอนภาษา” ชาสิตาค้อน ก่อนเดินนำเข้าประตู ไปนั่งที่โซฟาใหญ่ อย่างไม่ต้องรอเจ้าของห้องให้อนุญาต
“เจ้าตำราเหมือนเดิม หลังแต่งงานแล้วยังอยู่ที่นี่กันเหรอ...มันไม่เล็กไปเหรอริสา”
“แค่หมั้นกันจ๊ะ...งานแต่งน่ะปีหน้า นู้นแน่ะ” ชาริสาตะโกนตอบจากในห้องครัวหลังจากหล่อนเข้าไปเปิดตู้เย็นจัดการน้ำให้แขกสนิท
“คุณพ่อคงมาไม่ได้...แต่ท่านฝากความยินดีมา”
มือของชาริสากระตุกวูบ แม้ไม่แปลกใจกับคำพูดของชาสิตา แต่มันก็ทำให้เธออดเสียใจเบาๆไม่ได้
“ท่านสบายดีไหม” แก้วน้ำถูกยกวางตรงหน้าชาสิตา ส่วนตัวคนถามนั่งที่โซฟาตรงข้ามช้าๆ
“สบายดี...แต่เหมือนเดิม เจ้ากี้เจ้าการเหมือนเดิม” ชาสิตาสะบัดเสียงเบื่อ “คุณแม่ล่ะ สบายดีไหม”
“สบายดีจ๊ะ ตอนนี้ท่านกำลังมุ่งมั่นที่จะปฏิบัติธรรมขั้นสูงเลยล่ะ คงจะได้เห็นคุณแม่อีกทีใกล้งานหมั้นนู่นเลย ตอนนี้ท่านอยู่ที่วัดป่าทางเหนืออยู่น่ะ”
“ริสาก็เลยมีเวลาจู๋จี้กับคู่หมั้นเยอะเลยล่ะสิ ฮิฮิ”
“บ้า...ทำยังกับไม่รู้จักพี่ธนา รายนั้นสุภาพบุรษจะตายไป” ชาริสาอดไม่ได้ที่จะหน้าแดงแก้เก้อ
ส่วนชาสิตา หล่อนพยายามนึกถึงหน้าคู่หมั้นหนุ่มของพี่สาว ละม้ายได้ว่าเขาเป็นนายทหารยศพันโทผู้มีใบหน้าหล่อเหลาสมชายชาติทหาร ทั้งคู่ถูกแนะนำให้รู้จักกันผ่านทางญาติฝ่ายแม่ซึ่งเป็นชนชั้นราชวงศ์ของตระกูลหนึ่งที่อยู่กับประเทศนี้มาแต่โบราณ ดังนั้นชาริสาจึงจัดเป็นคุณหนูตระกลูผู้ดีที่เป็นที่จับจ้องของหนุ่มทั่วไป เพียงแต่เธอไม่ชอบปรากฏกายในงานสังคมหรือแม้แต่งานพบปะใดๆ แต่กลับมุ่งมั่นกับงานสอนหนังสือโดยเฉพาะเธอเชี่ยวชาญด้านภาษาต่างประเทศถึง 8 ภาษา จนทำให้ญาติๆอันเจ้ากี้เจ้าการทั้งหลายของเธอกลัวว่า หล่อนจะกลายเป็นสาวทึนทึก หรือไม่ก็หัวอ่อนถูกผู้ชายหลอก จนสุดท้ายต้องผิดหวังกับความรักซวนเซกลับมาตายรังเหมือนดังแม่ของเธอ
ดังนั้นเจ้าลุง เจ้าป้าทั้งหลายจึงเป็นสะพานเชื่อมให้ชาริสารู้จักกับธนานายทหารหนุ่มอนาคตไกล อันมีต้นตระกูลที่ดี และเพียบพร้อมไปทุกกระบวนความทั้งรูปลักษณ์ คุณสมบัติ และฐานะอันเหมาะสม ความสัมพันธ์ราบเรียบนั้นดำเนินมาอย่างไร้ปัญหาเข้าปีที่สาม ทั้งสองตระกูลก็เข้าใจว่าทั้งคู่ถึงเวลาที่จะเข้าพิธีใช้ชีวิตครองคู่กันได้แล้ว เนื่องจากหญิงสาวเข้าใกล้วัย 30 เต็มที สำหรับธนา เขาไม่ได้อิดออด เพราะมีความรักให้เธออย่างเต็มเปี่ยมอยู่แล้ว แต่ในทางกลับกัน กลับเป็นตัวชาริสาเองที่กลัวการผูกพันนี้ ด้วยเธอเห็นประสบการณ์อันเลวร้ายระหว่างพ่อและแม่ของเธอ เมื่อครั้งที่ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันที่ประเทศจาฬุรัตน์บุรี อันเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่ตัดความสัมพันธ์ทางการทูตมากว่า 20 แล้ว
ประเทศจาฬุรัตน์บุรีจัดเป็นประเทศใหม่ที่เพิ่งผ่านพ้นอิทธิพลของเมืองขึ้นของเหล่ามหาอำนาจมาเมื่อไม่นานนี้ ปัจจุบันถูกปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยเผด็จการทหารของท่านนายพลอินทัช แต่เนื่องจากพื้นเพเดิมเป็นที่ตั้งของกลุ่มคนหลายเชื้อชาติพันธ์ ทางการทหารจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการรวบรวมกลุ่มกองกำลังเหล่านี้เข้าเป็นประเทศ โดยเฉพาะ”ศิธร” รัฐใหญ่ที่สุดทางเหนือ ในดินแดนที่เต็มไปด้วยภูเขา และป่าลึกลับ ความอุดมสมบูรณ์ของผืนป่าและน้ำยังครบถ้วน
สำหรับชาสิตาหล่อนแยกกับแฝดพี่มาตั้งแต่อายุ 8 ขวบ ทันทีที่พ่อและแม่ของเธอตัดสินใจทิ้งความสัมพันธ์ฉันท์สามีภรรยาไว้เบื้องหลัง และกลับมาเป็นเช่นคนเคยรู้จัก เนื่องจาก”หม่อมหลวงสริลดา” แม่ของเธอนั้นรับไม่ได้กับผู้ชายที่ต้องทุ่มเททุกลมหายใจเพื่อประเทศชาติ เธอเป็นผู้หญิงธรรมดาที่ต้องการแค่ความรักจากชายที่เธอรักคนแรกและคนเดียว
เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน ทันทีที่ หม่อมหลวง สริลดาสบตากับดวงตาดำนิลอ่อนโยนชองชายหนุ่มในชุดเครื่องแบบทหารอังกฤษสีขาวท่ามกลางฟอร์เต้นรำ สำหรับนักศึกษาต่างประเทศในมหาวิทยาลัย เธอก็ต้องมนต์สะกดดวงตาคู่นั้นและติดตามเขากลับมาเป็นแม่ของลูกแฝดสองคนที่เกิดในปีถัดไป ท่ามกลางการคัดค้านของพระญาติทั้งหลายของเธอ ลูกทั้งสองของเธอไม่ได้รับวรรณะใดๆ และถูกตัดขาดกันตั้งแต่นั้นมาเนื่องจากแต่งงานกับชาวต่างชาติ แต่แล้วระยะเวลาที่ต้องอยู่ภายในประเทศที่ขาดอิสระทางด้านความคิดและการกระทำ ต่างจากประเทศที่เธอเคยใช้ชีวิตมาตลอด
เสียงหนึ่งเล็กๆในใจจึงเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ ข้อเรียกร้องต่างๆ ในฐานะภรรยา และแม่ของลูก จึงถูกยื่นข้อเสนอมายังสามี ที่ตอนนั้นเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อในการเลือกตั้งขับเคี่ยวกับกลุ่มฐานอำนาจเก่า ซึ่งกำลังโจมตีถึงคุณสมบัติการเป็นผู้นำของท่าน เนื่องจากมีภรรยาเป็นชาวต่างชาติ และเป็นชาวต่างชาติในประเทศที่กำลังมีข้อพิพาทเรื่องดินแดนทับซ้อน ที่ไม่สามารถตกลงกันได้อีกด้วย และเพราะเหตุการณ์ในครั้งนั้นเหมือนระเบิดในเมื่อฝ่ายชายเลือกที่จะเดินต่อไปในเกมของเขา และฝ่ายหญิงยอมแพ้ให้กับความรักที่มอบให้เขาคนเดียว การแยกทางในครั้งนี้ สริลดานำลูกสาวฝาแฝดคนโต “ชาริสา” กลับมาด้วย ทิ้งฝาแฝดคนเล็ก “ชาสิตา”ให้อยู่กับอดีตสามีท่านนายพลอินทัช ซึ่งหลังจากนั้นชนะการเลือกตั้งถล่มทลาย และปกครองประเทศจาฬุรัตน์บุรียาวนานกว่า 20 ปี
หลังจาก 20 ปีผ่านไป ประเทศจาฬุรัตน์บุรี ไม่ได้ล้าหลังเหมือนดั่งตอนที่ชาริสาจากมาอีกแล้ว อิสระทางความคิดมีมากขึ้นแม้จะถูกจำกัดขอบเขตบ้างแต่ก็ไม่รุนแรงเหมือนเมื่อก่อน เนื่องจากท่านนายพลอินทัชนายกรัฐมนตรีในขณะนี้ยังมีความต้องการเปิดประเทศ เพื่อต้อนรับกลุ่มนักลงทุนรายใหม่ๆ ดังนั้นชาสิตาซึ่งถูกเลี้ยงดูเอาใจใส่อย่างตามใจ จึงเลือกเดินทางในทางที่เธอรักได้โดยไร้อุปสรรค
อาชีพนางแบบเป็นอาชีพแรกคนเธอ ที่ผู้คนให้ความรู้จักในฐานะลูกสาวท่านผู้นำ ตามมาด้วยอาชีพดารานักแสดง ซึ่งหล่อนจัดเป็นแถวแนวหน้า ด้วยเพราะฝีไม้ลายมืออันมากล้น ประชันกับดาราฮอลีวูดได้สบาย ไม่ใช่เพราะเส้นสายใหญ่โตของบิดา และถ้าหากชาสิตาได้ยินเสียงเข้าหูแม้แต่น้อยว่าเธอได้รับงานเพราะบิดา เธออาละวาดจนแสดงงานไม่ได้ก็มีมาแล้ว ไม่แปลกที่ท่านผู้นำที่เคร่งขรึมและเข้มงวด จะอดลดธิฐิเฉพาะลูกสาวคนนี้ไม่ได้ ด้วยนับถือน้ำใจซื่อสัตย์ที่เขาภูมิใจ ถึงขนาดไม่ยอมแต่งงานใหม่ด้วยเพราะเหตุผลว่าหล่อนจะฆ่าตัวตายหากเห็นผู้หญิงหน้าไหนเข้ามาเหยี่ยบย่างในบ้านที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นครอบครัวที่อบอุ่น
“สิตา...สิตา” เสียงทักนานเรียกชาสิตาออกจากพวังค์ พลันเมื่อสบตากับดวงตาดำดูกังวลของพี่สาวก็อดหัวเราะไม่ได้
“เป็นอะไรไปนั่งเหม่ออยู่ได้... เนี่ยเค้าเรียกตั้งนานแล้ว กาแฟที่ชงให้ก็เย็นหมดแล้วด้วย”
“ก็นั่งนึกอะไรคนเดียวเรื่อยเปื่อยอ่ะ…ว้าวกลิ่มหอมเชียว กับข้าวฝีมือริสา...เค้าคิดถึ้งคิดถึง” ไม่รอช้าลุกเข้าไปนั่งที่โต๊ะกินข้าว นั่งรอชาริสาคดข้าวสวยร้อนๆมาให้
“อย่าเยอะนะ...เค้าไดเอทอยู่”
“จ้า”
ชาสิตาทานอาหารได้มากกว่าปกติ ทั้งที่จริงๆแล้วจะกินแค่แมวดมเท่านั้น ด้วยเพราะหากเป็นรสชาติที่แฝดพี่เธอปรุงนั้นรสชาติจะอร่อยถูกปากไปเสียหมด ความที่พี่สาวของหล่อนคอยดูแลหล่อนมาตั้งแต่เด็ก แม้จะแยกทางกันตั้งแต่อายุแปดขวบ แต่เธอก้อต้องขอบคุณบิดาอีกครั้งที่ไม่เคยปิดกั้น ซ้ำยังสนับสนุนทั้งค่าโทรศัพท์และตั๋วเครื่องบินบ่อยๆ ถึงแม้จะเป็นเรื่องยากในการแอบเข้าประเทศเพื่อมาหาชาริสา เนื่องจากความสัมพันธ์ที่มึนตึง แต่ก็ยังมีช่องทางเล็กๆที่ผู้เป็นบิดาช่วยให้ทั้งคู่ได้พบกันบ้าง นานๆครั้ง ผิดกลับฝ่ายเจ้าลุงเจ้าป้าทั้ง กลุ่มนั้นกีดกันเต็มที่ อย่าได้แต่เห็นหน้าเลย แม้แต่เห็นเธอบนหน้านิตยสารก็อดค่อนขอดไม่ได้
“ริสาของเราสวยหวานกว่าตั้งเยอะ” เท่านั้นแหล่ะทันทีที่ชาสิตาได้ยินจากแฝดผู้พี่หล่อนก็แทบสำลักออกมาด้วยความขบขัน ก็หน้าของหล่อนกับพี่สาวเหมือนกันอย่างกับเงาในกระจก แล้วมันจะต่างกันตรงไหน
ทันทีที่คอร์สอาหารคาวจบลง ชาริสาก็ยกแอปเปิ้ลแกะสลักรูปกระต่าย เข้ามาเสริฟ์ทันที ชาสิตาอดที่งไม่ได้กับงานฝีมือชนิดที่เธอต้องยอมแพ้
“เจ้าป้าท่านสอนมา ถ้าสิตาชอบ เค้าจะสอนให้นะ”
ชาสิตาสั่นหน้า ขนลุกซู่ นึกถึงหน้าญาติผู้เข้มงวด
“ไม่เอาอ่ะ น่าเบื่อ...งานแบบนี้ริสาแหละเหมาะ” ชาริสาช้อนตามองแฝดน้องขบขัน ก่อนจะหันกลับไปใส่ใจกับผลไม้ชิ้นต่อไป
“แล้วนี่...บอกได้รึยัง ที่มาวันนี้มีเรื่องอะไร” พูดจบก็หรี่ตามองอย่างรู้ทัน
“ว๊า...ถึงว่าน่ะสิ...ปิดอะไรริสาไม่เคยได้เลย” แฝดน้องหัวเราะกลบเกลื่อนก่อนจ้องตากลมใสที่ส่งสายตารอคอยก่อนพูดว่า
“เค้าจะชวนริสาไป...จาฬุรัตน์บุรี...น่ะสิ”
“แป๊ก” เสียงผลไม้หล่อนจากมือคู่สนทนา ไม่มีคำพูดใดๆต่อจากนี้
“ริสา...เคยบอกว่าอยากไปไม่ใช่เหรอ...คราวนี้อาจเป็นโอกาสเดียวก่อนที่แต่งงานนะ หรือหากมีคู่หมั้นแล้วมันคงไม่สะดวกอะไรเท่าไหร่ ถ้าต่อไปก็...เหมือนจะเป็นผู้หญิงของเขาไปแล้ว” ชาสิตาพูดต่ออ้อมแอ้ม
“แต่...ประเทศเรากับจาฬุรัตน์บุรีเพิ่งจะประกาศปิดพรมแดนไปอีกครั้ง เมื่อไม่กี่อาทิตย์นะ”
“แหม...สิตาเข้ามาได้ ริสาก็ต้องออกไปได้”
“มันไม่ถูกต้อง...ทุกคนจะเป็นห่วงได้”
คราวนี้แฝดน้องชะโงกมาใกล้เกือบชิดใบหน้า กระซิบเบาๆ อย่างกลัวใครจะได้ยินว่า
“ก็ใครให้ริสาไปเล่า... เค้าให้ริสาไปแทนตัวเค้าต่างหาก”
>>>> คีรีศิธร (บทนำ) http://ppantip.com/topic/32568064
>>>> ท่านใดสนใจติดตามต่อได้ที่ http://my.dek-d.com/nuinew/writer/view.php?id=1218462
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามนะคะ