กระทู้นี้ เป็นการอธิบายความเกี่ยวกับ "เปรต" ที่อาจไม่เป็นที่สบอารมณ์นัก สำหรับกลุ่มคนที่มีความเชื่อ งมงาย
ในเรื่องภูติผีปีศาจ นางไม้ ไสยศาสตร์ หรือ พวกนิยมการทรงเจ้าเข้าผี ซึ่งไม่ใช่ "พุทธธรรม" แต่เป็น "ศาสนาผี"
เริ่มด้วย ล็อกอินวงกลม เขาแย้งว่า ผมกล่าวตามใจตัวเอง ที่ไประบุว่า ล็อกอิน วงกม ปฏิเสธ หลักฐาน หน้าตายเฉย ด้วยข้ออ้างว่า
(๑) ไม่ทราบคำแปลของศัพท์ ชีวมานเปตกสตฺโต และ (๒) ไม่ปรากฏคำว่า โอปปาติก ในหลักฐานดังกล่าว !
ตกลงแล้ว ล็อกอิน วงกลม ต้องการ โต้แย้งผม ว่าอย่างไร กันแน่ครับ ?
(๑) คุณ ยอมรับ หรือ ปฏิเสธ หลักฐานกรณี เกิดเป็นเปรตในปัจจุบัน
(๒) ถ้า ปฏิเสธ คุณปฏิเสธด้วยเหตุผล อะไร ?
เมื่อดูตามหลักฐานข้อความของคุณเอง ผมเห็นว่า คุณปฏิเสธ หลักฐานกรณี เกิดเป็นเปรตในปัจจุบัน ด้วยเหตุผลคือ
(๑) ไม่ทราบคำแปลของศัพท์ ชีวมานเปตกสตฺโต และ (๒) ไม่ปรากฏคำว่า โอปปาติก ในหลักฐานดังกล่าว นะครับ
******************************************************************************************
ทีนี้ ลองพิจารณา เหตุผล ในการปฏิเสธ หลักฐาน ที่เพิ่มเติมขึ้นมา ดังต่อไปนี้
เท่าที่ผมประมวลความได้ ล็อกอิน วงกลม อ้างเหตุผลว่า
๑ (ผม) ไม่สามารถอธิบายได้ว่า
ทำไมจึงจะมีการเกิดเป็นทั้งคนและเปรตในขณะเดียวกันได้
๒ ไม่ทราบสภาวะ และ ความหมายของ ชีวมานเปรต
๓ กายของคนที่มีชีวิตอยู่ ไม่ใช่กายละเอียด ไม่ใช่การเกิดแบบ โอปปาติก
เท่าที่ประมวลดู ถ้อยคำ การแสดงความคิดเห็นต่างๆ ของ ล็อกอิน วงกลม
ผมเห็นว่า เขามีความเข้าใจ ในประเด็นที่กำลังถกเถียงกันอยู่นี้ ค่อนข้าง สะเปะสะปะ พร่าเลือน !
ขอกล่าวย้ำอีกครั้งหนึ่งว่า ประเด็นที่เรากำลังถกเถียงกันอยู่นี่ ก็คือ
โอปปาติก เป็นการเกิดทางใจ มิใช่การเกิดทางกาย(หยาบ)
ท่านทั้งหลาย กรุณา พิจารณาหลักฐานชั้นต้น ก่อนนะครับ
ข้อความตรงนี้ ชัดเจนนะครับ พระพุทธเจ้าตรัสว่า มนุษย์บางจำพวก เป็น โอปปาติก !
แต่ปัญหา ก็คือ พระพุทธเจ้า มิได้ตรัสว่า มนุษย์บางจำพวก ที่ตรัสถึงนี้ หมายถึง ใคร ?
อรรถกถาเอง ก็ไม่ได้ให้คำอธิบายใดๆ ที่ชัดเจนมากไปกว่าเดิมเลย เช่นกัน
ดังนั้น ประเด็นที่สำคัญที่สุด ในขณะนี้ ก็คือ เราจักต้องทราบให้ได้ว่า มนุษย์บางจำพวก
ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า เป็น โอปปาติก นั้นคือมนุษย์พวกไหน กันแน่ ?
******************************************************************************************
แต่ก่อนที่จะไปถึงจุดนั้น ท่านทั้งหลาย จำเป็นต้องมาทำความเข้าใจกันก่อนว่า
การเกิดทางใจ นั้นหมายความว่าอย่างไร ?
ข้อความจาก เจตนาสูตร เป็นการยืนยันโดยพระพุทธเจ้าถึงความมีอยู่ของ ปฏิจจสมุปบาททางใจ ซึ่งท่านปยุตโต
ได้กล่าวยืนยันว่า กระบวนการหมุนเวียนอยู่ตลอดเวลาในทุกขณะของการดำรงชีวิตนี้ คือ พุทธประสงค์
ดังนั้น การเกิด การตาย ภพชาติ ชรามรณะ ตามที่ปรากฏอยู่ในพระสูตรนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นการเกิดทางใจ
ในทุกๆ ขณะ ของการดำรงชีวิต อย่างไม่ต้องสงสัย อีกทั้ง ยังมีคาถาของท่านพระเตลุกานิเถระ ผู้เป็นอรหันต์
ระบุใจความสำคัญถึง "กระแสตัณหาอันเกิดแต่ใจ" ซึ่งก็คือ ปฏิจจสมุปบาท แบบตัณหามูล ที่ท่านพระพุทธโฆสะ
กล่าวว่า "พระพุทธเจ้า เทศนาเพื่อจะสำแดงซึ่ง อุปปาติกสัตว์ทั้งหลาย มี อายตนะ เป็นอาทิ"
ท่านทั้งหลาย เข้าใจคำว่า "อุปปาติกสัตว์ทั้งหลาย มี อายตนะ เป็นอาทิ" ไหมครับ ?
ท่านเข้าใจหรือไม่ว่า "อายตนะ" กลายเป็น "อุปปาติกสัตว์" ได้อย่างไร ?
ถ้าหากท่านยังไม่เข้าใจ ก็จงไปศึกษาเรื่อง นรกสวรรค์ ทางอายตนะ เพิ่มเติม
แต่หากยังไม่เข้าใจอีก ผมก็จนปัญญา ที่อธิบายกับพวกคุณแล้วเช่นกัน นะครับ
ขออนุญาต สรุปความตรงนี้ เสียก่อนว่า การเกิดทางใจ เป็นสิ่งที่มีอยู่จริง และเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า
โดยมี หลักฐานอ้างอิง และ คำอธิบาย อยู่มากมายในทุกระดับชั้นทางพระคัมภีร์ ตั้งแต่พุทธพจน์ จากพระสูตร
คาถาของพระอรหันต์จาก พระไตรปิฎก ข้อความของอรรถกถาจารย์ และ คำอธิบายของท่านปยุตโต นะครับ
******************************************************************************************
ทีนี้ เรามาพิจารณา เหตุผลโต้แย้ง ของล็อกอิน วงกลม กันบ้าง
การที่ วงกลม แย้งว่า กายของมนุษย์ที่ยังมีชีวิตอยู่ ไม่ใช่กายละเอียด จึงไม่ใช่ โอปปาติกะ
ปัญหา ก็คือ มีใครกล่าวเอาไว้ หรือว่า กายหยาบของมนุษย์ คือ โอปปาติกะกำเนิด ?
ไม่มี นะครับ !
แต่สิ่งหนึ่งที่ ล็อกอิน วงกลม มิได้ สำเหนียกถึง ก็คือ มนุษย์ ประกอบด้วย กาย(หยาบ) กับ ใจ นะครับ
และปรเะเด็นที่เรากำลังถกเถียงกันอยู่นี้ ก็คือ การเกิดทางใจ มิใช่การเกิดทางกาย(หยาบ) ....... เข้าใจประเด็นไหมครับ ?
สิ่งที่ ผู้คน อาจเกิดความสงสัย ก็คือ ในขณะที่ดำรงชีวิตเป็นมนุษย์ เขาสามารถเกิดทางใจ เป็นนั่นเป็นนี่ได้หรือไม่ ?
ที่จริงประเด็นนี้ ท่านทั้งหลายสามารถอ่านคำอธิบายโดยละเอียดได้จาก ตำราพุทธธรรม ของท่านปยุตโต นะครับ
แต่ถ้าถามผม ก็ขออนุญาตกล่าวตามตรงว่า คำอธิบายดังกล่าวค่อนข้างยืดยาวเกินไป ฟั่นเฝือ และ ไม่ค่อยตรงประเด็น
แต่บางที มันอาจจะเหมาะสำหรับ ใครบางคน ที่ยังเหนียวแน่นอยู่กับ ภพภูมิแบบอัญญเดียรถีย์ ก็เป็นได้ !
ขออนุญาต อธิบายแบบ ลัดสั้น ดังนี้ว่า "ภพ" คือ สภาวะทางชีวิตของสัตว์โลก
อาจมีความสอดคล้อง หรือ ไม่สอดคล้อง กับ "ภูมิ" คือ ระดับชั้นทางใจ ก็ได้ ตัวอย่างเช่น
(๑) อนาคามีบุคคล มี ภพ คือ สภาวะทางชีวิต ของความเป็นสัตว์โลก อยู่ใน มนุษยโลก หรือ กามาวจร
แต่สภาวะทางจิตใจ ได้พ้นไปจาก กามภพ ไปสู่ความเป็นพรหม นับตั้งแต่ บรรลุอนาคามีผล
หรือ
(๒) พระอรหันต์ แม้ยังดำรงชีวิต อยู่ในโลกมนุษย์ ก็จริง แต่สภาวะทางจิตของท่าน ได้พ้นไปจากโลกนี้แล้ว(โลกุตตร)
นี่คือ ตัวอย่างของบุคคล ซึ่ง ภพ คือสภาวะทางชีวิต กับ ภูมิ คือ ระดับชั้นทางจิต มิได้มีความสอดคล้องกัน
แต่ถ้าจะพิจารณาให้ละเอียดยิ่งขึ้น ก็ต้องพิจารณาโดยอ้างอิงข้อความจาก เจตนาสูตร ฯลฯ หรือจาก เตลุกานิเถรกถา
ซึ่งเป็นการพิจารณา ปฏิจจสมุปบาท แต่ละขณะ ในชีวิตประจำวัน ซึ่ง กระแสตัณหาเกิดแต่ใจ ย่อมเกิดดับอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว
และถ้าต้องการพิจารณา ให้ละเอียดยิ่งขึ้นไปอีก นั่นย่อมหมายถึง ปฏิจจสมุปบาทแบบขณะจิต จากพระอภิธรรมปิฎก
ทั้งหมด ที่กล่าวมานี้ ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่อง "ทางใจ" ทั้งสิ้น นะครับ
ประเด็นที่พึง พิจารณาในลำดับถัดไป ก็คือ ถ้าเป็น กรณีของ พรหม เช่นที่อยู่ในพรหมโลก
หรือ ที่ลงมากินง้วนดิน ตามที่เชื่อๆ กัน มันมีลักษณะอย่างไร กันแน่ ?
ถ้าให้พูดกันตามหลักฐาน ก็จำเป็นต้องกล่าวตามตรงว่า ทั้ง ๒ กรณี ที่กล่าวถึงนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นการเกิดทางใจ ทั้งสิ้น
และผมก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่า คงไม่มีใครมาเถียงว่า การเกิดเป็นพรหมนี้ คือการเกิดทางกาย(หยาบ) นะครับ
ถามว่า ภูมิจิตระดับพรหม ที่เป็นการเกิดทางใจนี้ สามารถเกิดขึ้นในมนุษย์ ได้หรือไม่ ?
อันนี้ สามารถตอบได้โดยไม่ยากเลยว่า ย่อมมีได้ เช่น ที่เกิดในผู้ทรงฌาน เป็นต้น
ความแตกต่างระหว่างผู้ทรงฌาน กับ อนาคามีบุคคล ก็คือ ........
ผู้ทรงฌาน ระงับ กามราคะ ได้ชั่วขณะ จึงเกิด(ทางใจ)เป็นพรหมได้ชั่วขณะ(เฉพาะเมื่ออยู่ในฌาน)
แต่ อนาคามีบุคคล สำรอก กามราคะ ได้โดยเด็ดขาด ท่านจึงเป็นพรหมในปัจจุบัน ด้วยเหตุนี้
******************************************************************************************
กลับมาที่ ประเด็น ชีวมานเปรต อีกครั้งหนึ่ง นะครับ โดย ล็อกอิน ปล่อย ได้แสดงความเห็นเกี่ยวกับ เปรตในปัจจุบัน ดังนี้ว่า
กล่าวโดยสรุป ก็คือ คุณ ปล่อย เห็นว่า ชีวมานเปรต นี้ (๑) ยังเป็นคนอยู่ (๒) ความเป็นเปรตเกิดจาก วิบาก และ
(๓) ชีวมานเปรตไม่มีชื่ออยู่ในสารบบเปรต(!) จึงไม่น่าจะเป็นเปรตจริงๆ
ผมเห็นว่า การวิเคราะห์ ดังกล่าวของ คุณปล่อย นับได้ว่าเป็นการวิเคราะห์ ที่สอดคล้องกับ หลักฐานที่ปรากฏอยู่จริง
แต่ปัญหาของ คุณปล่อย ก็คือ เหตุใดการวิเคราะห์ดังกล่าว จึงไม่อาจนำไปสู่ "ข้อสรุป" ที่ถูกต้อง และสามารถใช้เป็นข้อยุติ ได้ ?
ดังนั้น จึงขอให้ คุณปล่อย พิจารณา ไปตามลำดับ ดังนี้ คือ
(๑) ถ้าเรายอมรับมาตั้งแต่แรกว่า กรณี ชีวมานเปรต นี้เป็น การเกิดทางใจ มันก็จะไม่เกิดปัญหาข้อขัดแย้งที่ว่า
นายพรานผู้นั้นยังมีร่างกายเป็นมนุษย์อยู่
(๒) ในเมื่อเข้าใจอย่างถูกต้องแล้วว่า ความเป็นเปรตนั้น คือ วิบาก หมายถึง ผลอันเกิดจากการกระทำ(กรรม) ของเขาเอง
แล้วเหตุใด คุณปล่อย จึงไม่พิจารณาต่อไปอีกสักนิดว่า ชา-ติ คือ การเกิด(ทางใจ) นั้นก็คือ วิบาก อันเกิดจากกรรม นั่นเอง
คุณก็เพียงแค่ พิจารณา ปฏิจจสมุปบาท แบบบ้านๆ คือ ปฏิจจสมุปบาทแบบ วัฏฏะ ๓ หรือ สนธิ ๓ โดยพิจารณาไปทีละขณะๆ
ก็จะสามารถหาข้อสรุปที่ถูกต้องในส่วนนี้ได้แล้ว นะครับ
(๓) การที่ ชีวมานเปรต ไม่อยู่ในหมวดหมู่ การจัดประเภทของเปรต เพียงเพราะว่ามันเป็นการเกิดทางใจ
จักทำให้ มัน ไม่ใช่เปรตจริงๆ ได้ด้วยหรือครับ ?
ประเด็น ก็คือ คุณใช้อะไรเป็นเกณฑ์ในการวัด หรือ แยกแยะ
ความแตกต่าง ระหว่าง ความจริง กับ ความไม่จริง หรือครับ ?
ขออนุญาต กล่าวตามตรงว่า ข้อสรุปแบบนี้ ผมฟังไม่รู้เรื่องจริงๆ
สัตว์นี้ ชะรอยจักเป็น ชีวมานเปรต
ในเรื่องภูติผีปีศาจ นางไม้ ไสยศาสตร์ หรือ พวกนิยมการทรงเจ้าเข้าผี ซึ่งไม่ใช่ "พุทธธรรม" แต่เป็น "ศาสนาผี"
เริ่มด้วย ล็อกอินวงกลม เขาแย้งว่า ผมกล่าวตามใจตัวเอง ที่ไประบุว่า ล็อกอิน วงกม ปฏิเสธ หลักฐาน หน้าตายเฉย ด้วยข้ออ้างว่า
(๑) ไม่ทราบคำแปลของศัพท์ ชีวมานเปตกสตฺโต และ (๒) ไม่ปรากฏคำว่า โอปปาติก ในหลักฐานดังกล่าว !
ตกลงแล้ว ล็อกอิน วงกลม ต้องการ โต้แย้งผม ว่าอย่างไร กันแน่ครับ ?
(๑) คุณ ยอมรับ หรือ ปฏิเสธ หลักฐานกรณี เกิดเป็นเปรตในปัจจุบัน
(๒) ถ้า ปฏิเสธ คุณปฏิเสธด้วยเหตุผล อะไร ?
เมื่อดูตามหลักฐานข้อความของคุณเอง ผมเห็นว่า คุณปฏิเสธ หลักฐานกรณี เกิดเป็นเปรตในปัจจุบัน ด้วยเหตุผลคือ
(๑) ไม่ทราบคำแปลของศัพท์ ชีวมานเปตกสตฺโต และ (๒) ไม่ปรากฏคำว่า โอปปาติก ในหลักฐานดังกล่าว นะครับ
******************************************************************************************
ทีนี้ ลองพิจารณา เหตุผล ในการปฏิเสธ หลักฐาน ที่เพิ่มเติมขึ้นมา ดังต่อไปนี้
เท่าที่ผมประมวลความได้ ล็อกอิน วงกลม อ้างเหตุผลว่า
๑ (ผม) ไม่สามารถอธิบายได้ว่า
ทำไมจึงจะมีการเกิดเป็นทั้งคนและเปรตในขณะเดียวกันได้
๒ ไม่ทราบสภาวะ และ ความหมายของ ชีวมานเปรต
๓ กายของคนที่มีชีวิตอยู่ ไม่ใช่กายละเอียด ไม่ใช่การเกิดแบบ โอปปาติก
เท่าที่ประมวลดู ถ้อยคำ การแสดงความคิดเห็นต่างๆ ของ ล็อกอิน วงกลม
ผมเห็นว่า เขามีความเข้าใจ ในประเด็นที่กำลังถกเถียงกันอยู่นี้ ค่อนข้าง สะเปะสะปะ พร่าเลือน !
ขอกล่าวย้ำอีกครั้งหนึ่งว่า ประเด็นที่เรากำลังถกเถียงกันอยู่นี่ ก็คือ
โอปปาติก เป็นการเกิดทางใจ มิใช่การเกิดทางกาย(หยาบ)
ท่านทั้งหลาย กรุณา พิจารณาหลักฐานชั้นต้น ก่อนนะครับ
ข้อความตรงนี้ ชัดเจนนะครับ พระพุทธเจ้าตรัสว่า มนุษย์บางจำพวก เป็น โอปปาติก !
แต่ปัญหา ก็คือ พระพุทธเจ้า มิได้ตรัสว่า มนุษย์บางจำพวก ที่ตรัสถึงนี้ หมายถึง ใคร ?
อรรถกถาเอง ก็ไม่ได้ให้คำอธิบายใดๆ ที่ชัดเจนมากไปกว่าเดิมเลย เช่นกัน
ดังนั้น ประเด็นที่สำคัญที่สุด ในขณะนี้ ก็คือ เราจักต้องทราบให้ได้ว่า มนุษย์บางจำพวก
ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า เป็น โอปปาติก นั้นคือมนุษย์พวกไหน กันแน่ ?
******************************************************************************************
แต่ก่อนที่จะไปถึงจุดนั้น ท่านทั้งหลาย จำเป็นต้องมาทำความเข้าใจกันก่อนว่า
การเกิดทางใจ นั้นหมายความว่าอย่างไร ?
ข้อความจาก เจตนาสูตร เป็นการยืนยันโดยพระพุทธเจ้าถึงความมีอยู่ของ ปฏิจจสมุปบาททางใจ ซึ่งท่านปยุตโต
ได้กล่าวยืนยันว่า กระบวนการหมุนเวียนอยู่ตลอดเวลาในทุกขณะของการดำรงชีวิตนี้ คือ พุทธประสงค์
ดังนั้น การเกิด การตาย ภพชาติ ชรามรณะ ตามที่ปรากฏอยู่ในพระสูตรนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นการเกิดทางใจ
ในทุกๆ ขณะ ของการดำรงชีวิต อย่างไม่ต้องสงสัย อีกทั้ง ยังมีคาถาของท่านพระเตลุกานิเถระ ผู้เป็นอรหันต์
ระบุใจความสำคัญถึง "กระแสตัณหาอันเกิดแต่ใจ" ซึ่งก็คือ ปฏิจจสมุปบาท แบบตัณหามูล ที่ท่านพระพุทธโฆสะ
กล่าวว่า "พระพุทธเจ้า เทศนาเพื่อจะสำแดงซึ่ง อุปปาติกสัตว์ทั้งหลาย มี อายตนะ เป็นอาทิ"
ท่านทั้งหลาย เข้าใจคำว่า "อุปปาติกสัตว์ทั้งหลาย มี อายตนะ เป็นอาทิ" ไหมครับ ?
ท่านเข้าใจหรือไม่ว่า "อายตนะ" กลายเป็น "อุปปาติกสัตว์" ได้อย่างไร ?
ถ้าหากท่านยังไม่เข้าใจ ก็จงไปศึกษาเรื่อง นรกสวรรค์ ทางอายตนะ เพิ่มเติม
แต่หากยังไม่เข้าใจอีก ผมก็จนปัญญา ที่อธิบายกับพวกคุณแล้วเช่นกัน นะครับ
ขออนุญาต สรุปความตรงนี้ เสียก่อนว่า การเกิดทางใจ เป็นสิ่งที่มีอยู่จริง และเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า
โดยมี หลักฐานอ้างอิง และ คำอธิบาย อยู่มากมายในทุกระดับชั้นทางพระคัมภีร์ ตั้งแต่พุทธพจน์ จากพระสูตร
คาถาของพระอรหันต์จาก พระไตรปิฎก ข้อความของอรรถกถาจารย์ และ คำอธิบายของท่านปยุตโต นะครับ
******************************************************************************************
ทีนี้ เรามาพิจารณา เหตุผลโต้แย้ง ของล็อกอิน วงกลม กันบ้าง
การที่ วงกลม แย้งว่า กายของมนุษย์ที่ยังมีชีวิตอยู่ ไม่ใช่กายละเอียด จึงไม่ใช่ โอปปาติกะ
ปัญหา ก็คือ มีใครกล่าวเอาไว้ หรือว่า กายหยาบของมนุษย์ คือ โอปปาติกะกำเนิด ?
ไม่มี นะครับ !
แต่สิ่งหนึ่งที่ ล็อกอิน วงกลม มิได้ สำเหนียกถึง ก็คือ มนุษย์ ประกอบด้วย กาย(หยาบ) กับ ใจ นะครับ
และปรเะเด็นที่เรากำลังถกเถียงกันอยู่นี้ ก็คือ การเกิดทางใจ มิใช่การเกิดทางกาย(หยาบ) ....... เข้าใจประเด็นไหมครับ ?
สิ่งที่ ผู้คน อาจเกิดความสงสัย ก็คือ ในขณะที่ดำรงชีวิตเป็นมนุษย์ เขาสามารถเกิดทางใจ เป็นนั่นเป็นนี่ได้หรือไม่ ?
ที่จริงประเด็นนี้ ท่านทั้งหลายสามารถอ่านคำอธิบายโดยละเอียดได้จาก ตำราพุทธธรรม ของท่านปยุตโต นะครับ
แต่ถ้าถามผม ก็ขออนุญาตกล่าวตามตรงว่า คำอธิบายดังกล่าวค่อนข้างยืดยาวเกินไป ฟั่นเฝือ และ ไม่ค่อยตรงประเด็น
แต่บางที มันอาจจะเหมาะสำหรับ ใครบางคน ที่ยังเหนียวแน่นอยู่กับ ภพภูมิแบบอัญญเดียรถีย์ ก็เป็นได้ !
ขออนุญาต อธิบายแบบ ลัดสั้น ดังนี้ว่า "ภพ" คือ สภาวะทางชีวิตของสัตว์โลก
อาจมีความสอดคล้อง หรือ ไม่สอดคล้อง กับ "ภูมิ" คือ ระดับชั้นทางใจ ก็ได้ ตัวอย่างเช่น
(๑) อนาคามีบุคคล มี ภพ คือ สภาวะทางชีวิต ของความเป็นสัตว์โลก อยู่ใน มนุษยโลก หรือ กามาวจร
แต่สภาวะทางจิตใจ ได้พ้นไปจาก กามภพ ไปสู่ความเป็นพรหม นับตั้งแต่ บรรลุอนาคามีผล
หรือ
(๒) พระอรหันต์ แม้ยังดำรงชีวิต อยู่ในโลกมนุษย์ ก็จริง แต่สภาวะทางจิตของท่าน ได้พ้นไปจากโลกนี้แล้ว(โลกุตตร)
นี่คือ ตัวอย่างของบุคคล ซึ่ง ภพ คือสภาวะทางชีวิต กับ ภูมิ คือ ระดับชั้นทางจิต มิได้มีความสอดคล้องกัน
แต่ถ้าจะพิจารณาให้ละเอียดยิ่งขึ้น ก็ต้องพิจารณาโดยอ้างอิงข้อความจาก เจตนาสูตร ฯลฯ หรือจาก เตลุกานิเถรกถา
ซึ่งเป็นการพิจารณา ปฏิจจสมุปบาท แต่ละขณะ ในชีวิตประจำวัน ซึ่ง กระแสตัณหาเกิดแต่ใจ ย่อมเกิดดับอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว
และถ้าต้องการพิจารณา ให้ละเอียดยิ่งขึ้นไปอีก นั่นย่อมหมายถึง ปฏิจจสมุปบาทแบบขณะจิต จากพระอภิธรรมปิฎก
ทั้งหมด ที่กล่าวมานี้ ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่อง "ทางใจ" ทั้งสิ้น นะครับ
ประเด็นที่พึง พิจารณาในลำดับถัดไป ก็คือ ถ้าเป็น กรณีของ พรหม เช่นที่อยู่ในพรหมโลก
หรือ ที่ลงมากินง้วนดิน ตามที่เชื่อๆ กัน มันมีลักษณะอย่างไร กันแน่ ?
ถ้าให้พูดกันตามหลักฐาน ก็จำเป็นต้องกล่าวตามตรงว่า ทั้ง ๒ กรณี ที่กล่าวถึงนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นการเกิดทางใจ ทั้งสิ้น
และผมก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่า คงไม่มีใครมาเถียงว่า การเกิดเป็นพรหมนี้ คือการเกิดทางกาย(หยาบ) นะครับ
ถามว่า ภูมิจิตระดับพรหม ที่เป็นการเกิดทางใจนี้ สามารถเกิดขึ้นในมนุษย์ ได้หรือไม่ ?
อันนี้ สามารถตอบได้โดยไม่ยากเลยว่า ย่อมมีได้ เช่น ที่เกิดในผู้ทรงฌาน เป็นต้น
ความแตกต่างระหว่างผู้ทรงฌาน กับ อนาคามีบุคคล ก็คือ ........
ผู้ทรงฌาน ระงับ กามราคะ ได้ชั่วขณะ จึงเกิด(ทางใจ)เป็นพรหมได้ชั่วขณะ(เฉพาะเมื่ออยู่ในฌาน)
แต่ อนาคามีบุคคล สำรอก กามราคะ ได้โดยเด็ดขาด ท่านจึงเป็นพรหมในปัจจุบัน ด้วยเหตุนี้
******************************************************************************************
กลับมาที่ ประเด็น ชีวมานเปรต อีกครั้งหนึ่ง นะครับ โดย ล็อกอิน ปล่อย ได้แสดงความเห็นเกี่ยวกับ เปรตในปัจจุบัน ดังนี้ว่า
กล่าวโดยสรุป ก็คือ คุณ ปล่อย เห็นว่า ชีวมานเปรต นี้ (๑) ยังเป็นคนอยู่ (๒) ความเป็นเปรตเกิดจาก วิบาก และ
(๓) ชีวมานเปรตไม่มีชื่ออยู่ในสารบบเปรต(!) จึงไม่น่าจะเป็นเปรตจริงๆ
ผมเห็นว่า การวิเคราะห์ ดังกล่าวของ คุณปล่อย นับได้ว่าเป็นการวิเคราะห์ ที่สอดคล้องกับ หลักฐานที่ปรากฏอยู่จริง
แต่ปัญหาของ คุณปล่อย ก็คือ เหตุใดการวิเคราะห์ดังกล่าว จึงไม่อาจนำไปสู่ "ข้อสรุป" ที่ถูกต้อง และสามารถใช้เป็นข้อยุติ ได้ ?
ดังนั้น จึงขอให้ คุณปล่อย พิจารณา ไปตามลำดับ ดังนี้ คือ
(๑) ถ้าเรายอมรับมาตั้งแต่แรกว่า กรณี ชีวมานเปรต นี้เป็น การเกิดทางใจ มันก็จะไม่เกิดปัญหาข้อขัดแย้งที่ว่า
นายพรานผู้นั้นยังมีร่างกายเป็นมนุษย์อยู่
(๒) ในเมื่อเข้าใจอย่างถูกต้องแล้วว่า ความเป็นเปรตนั้น คือ วิบาก หมายถึง ผลอันเกิดจากการกระทำ(กรรม) ของเขาเอง
แล้วเหตุใด คุณปล่อย จึงไม่พิจารณาต่อไปอีกสักนิดว่า ชา-ติ คือ การเกิด(ทางใจ) นั้นก็คือ วิบาก อันเกิดจากกรรม นั่นเอง
คุณก็เพียงแค่ พิจารณา ปฏิจจสมุปบาท แบบบ้านๆ คือ ปฏิจจสมุปบาทแบบ วัฏฏะ ๓ หรือ สนธิ ๓ โดยพิจารณาไปทีละขณะๆ
ก็จะสามารถหาข้อสรุปที่ถูกต้องในส่วนนี้ได้แล้ว นะครับ
(๓) การที่ ชีวมานเปรต ไม่อยู่ในหมวดหมู่ การจัดประเภทของเปรต เพียงเพราะว่ามันเป็นการเกิดทางใจ
จักทำให้ มัน ไม่ใช่เปรตจริงๆ ได้ด้วยหรือครับ ?
ประเด็น ก็คือ คุณใช้อะไรเป็นเกณฑ์ในการวัด หรือ แยกแยะ
ความแตกต่าง ระหว่าง ความจริง กับ ความไม่จริง หรือครับ ?
ขออนุญาต กล่าวตามตรงว่า ข้อสรุปแบบนี้ ผมฟังไม่รู้เรื่องจริงๆ