เรื่องราวหลังความตายของเหล่าผู้ครองดินแดนแห่งเวสเทอรอส และ อิสต์ซอส
นั่งล้อมวงเล่นไพ่ท่ามกลางบทสนทนาที่เชือดเฉือน ความหมายของคำว่าพ่อและลูก
ถูกตีความไปตามหน้าไพ่และอารมณ์ของผู้เล่นแต่ละคน
ไม่ว่าจะเป็น โรเบิร์ต บาราเธียนผู้บุ่มบ่าม
เอ็ดดาร์ค สตาร์ค ที่หมกมุ่นอยู่กับความเศร้าและความเหน็บหนาว
โอเบริน มาร์เทล ผู้มองเห็นไพ่ทั้งหมดเป็นเกมที่เขาโปรดปราน ราวกับชิงบัลลังก์
และไทวินด์ แลนนิสเตอร์ ที่รอไถ่หว่านเมื่อศัตรูร่วมวงไพ่พลั้งพลาด
ยังไม่รวมไปถึงผู้ดูแลร้านเหล้าที่แข็งแกร่งที่สุดแห่งยุคอย่าง คาล โดรโก
และตัวละครลึกลับที่จะโผล่มากระตุ้นความสงสัยให้ผู้อ่านในตอนถัดๆไป
ฝากไว้ด้วยครับ แฟนฟิค Game of Throne
In the name of father
ติดตามสองตอนที่ผ่านมาได้ที่ลิงค์ด้านล่างนะครับ
http://ppantip.com/topic/32364197
http://ppantip.com/topic/32374506
------------------
::TRUTH::
ไทวิน แลนนิสเตอร์กำลังหัวเสียจากการสูญเสียไพ่ทั้งสองใบ เขาจั่วไพ่เพิ่มเติมขึ้นมาอีกหกใบอย่างเสียไม่ได้ ในหกใบใหม่นั้น แน่นอนว่ามีไพ่ที่สามารถจับคู่ได้หลากหลาย รวมกับไพ่ในมือเขาแล้วนับรวมได้กว่าสิบสี่ใบ เมื่อจั่วไพ่เสร็จเขาหันไปมองดูบุตรชายคนโต ของลอร์ดเอ็ดดาร์ค สตาร์ค แล้วหันไปมองยังไพ่ทีเรียน ต่างก็เป็นบุตรของลอร์ดผู้มีอิทธิพลในเขตแดนของตน แต่ถ้าเป็นไปได้เขาก็อยากจะแลกลูกชายกับลอร์ดเอ็ดดาร์คดู
ร๊อบ สตาร์คเป็นนักรบที่น่านับถือแต่ก็ยังปกครองและเล่นเกมการเมืองไม่จัดเจนนัก อายุเขาเพิ่งจะสิบห้าสิบหกดังนั้น ไทวินจึงคิดว่า ถ้าให้เวลาร๊อบมากกว่านี้ คร่ำหวอดในเชิงการปกครองและอยู่ในการดูแลของเขาตั้งแต่ยังเล็กแล้วล่ะก็ การสู้รบของเขาอาจจะไม่ต่างจากโรเบิร์ตและการวางแผนอาจจะไม่ต่างจากเขาเลยทีเดียว น่าเสียดาย ที่ในเวลานี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาชื่นชมทั้งศันตรูบนโต๊ะไพ่และบุตรชายของเขา “โรงเหล้านี้ไม่อนุญาตให้นำสัตว์เลี้ยงเข้ามา ยกเว้นเจ้าจะให้คาลโดรโก้ทำมันเป็นอาหารอีกมื้อ” ไทวินส่งเสียงทักทายไปยังร๊อบ สตาร์ค เกมจิตวิทยาเริ่มขึ้นอีกครั้ง”
“ข้าไม่เคยเห็นมันแปะป้ายบอกเอาไว้ที่หน้าร้าน” ร๊อบ สตาร์คยืนตอบจ้องตามายังไทวินด้วยความกร้าวแกร่งของวัยหนุ่ม
“ถามคาลโดรโกดูเถิดหนุ่มน้อย แต่ข้าว่าใบหน้าของเจ้าดูอึมครึมหม่นหมองไปนะ ข้าเคยได้ยินว่าเจ้าสวมหัวสุนัขป่าแล้วดูดีกว่านี้ ท่านราชาแห่งแดนเหนือ”
“ไทวินอย่าให้มันมากไปนะ!!!!!” เอ็ดดาร์ค สตาร์คทุบโต๊ะดังปัง เมื่อนั้นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของไทวินก็ปรากฏอยู่ที่มุมปาก เขายั่วได้ทั้งพ่อและลูกสำเร็จ
“ท่านไปตามหลานของท่านที่เล่นเรือกระดาษล่องตามลำน้ำกับท่านน้าข้าไลซ่า แอรินเถอะท่านลอร์ดไทวิน” ร๊อบนั่งลงที่หน้าบาร์พูดทั้งๆที่หันหลังไปดูชนิดของเหล้าและไวน์เพื่อเตรียมสั่ง
“หลานของไทวินก็คือลูกของข้า เจ้าราชาแห่งแดนเหนือ เจ้าหาว่าลูกของข้าอ่อนปวกเปียกและนุ่มนิ่ม” โรเบิร์ตตะเบ็งเสียงด้วยความขุ่นเคือง
ร๊อบ สตาร์คหันไปมองที่บิดาของเขาด้วยเครื่องหมายคำถาม ทำไมโรเบิร์ตถึงยังไม่รู้ฐานะที่แท้จริงของจอฟฟรี่ย์ “ท่านพ่อ ท่าน…………………...”
ในขณะที่ร๊อบ สตาร์คกำลังจะหลุดปากถาม ไทวินก็สอดขึ้นมาอย่างมีจังหวะจะโคน “ว่าแต่พวกเจ้ายังไม่เจอ แคทลีน ทัลลี่ กันหรือนี่มันก็หลายเดือนแล้วนะ ทำไมนางยังไม่มาเสียที”
“แคทลีน สตาร์ค” เอ็ดดาร์คพูดด้วยเสียงเย็นเยียบ
“ขออภัย” ไทวินก้มหัวลงคำนับจอมปลอม
“จะขออภัยทำไม เมื่อรูส โบลตันบอกข้าแล้วว่าตระกูลไหนฝากความคิดถึงมาด้วย” ร๊อบ สตาร์คกัดกรามจนปูดโปนเขาเริ่มมีอามรณ์จริงๆแล้ว
“ข้าไม่น่าพูดไปเลย เลยทำให้ต้องมาเจอพวกเจ้าบนนี้ ข้าชักรู้สึกเหมือนคาล โดรโก้แล้วซี” ไทวินยิ้มและหัวเราะยั่วเบาๆ
โอเบริน มาร์เทลจิบไวน์จากจอกสีเงิน รอให้สงครามน้ำลายเงียบสงบจึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงนอบน้อมต่อเอ็ดดาร์คว่า “เชิญท่านทิ้งไพ่ลงมาเถอะ ลอร์ดเอ็ดดาร์ค”
“บางครั้งความจริงก็เป็นสิ่งที่เจ็บปวดโรเบิร์ต เรื่องความไม่เอาไหนของตัวเรา ความคาดหวังที่ถาโถมเข้ามาในห้วงความคิด ความอยากได้อยากมี อยากให้คนรอบข้างมองด้วยสายตาเดียวกันกับที่เรามองเห็น ความต้องการไม่มีที่สิ้นสุด สิ่งเหล่านั้นกัดกร่อนพวกเรายิ่งกว่ายาพิษในแก้วไวน์เสียอีก” เขาเหลือบตาไปมองที่ไทวินเมื่อพูดถึงไวน์และยาพิษ “แต่ก็มีความจริงบางประการที่เมื่อพูดออกไปแล้ว ไม่ได้ช่วยให้อะไรมันดีขึ้นก็อย่าพูดมันเลยดีกว่า” เขาหันหางตาไปมองที่ร๊อบ สตาร์คซึ่งเขานั่งห่างจากนักดนตรีนิรนามเพียงสิบก้าว
เสียงโน๊ตดนตรีขึ้นสูงโดยบังเอิญ เมื่อเอ็ดดาร์คพูดกับโรเบิร์ตในเรื่องความจริง แต่มันก็เป็นเพียงสองสามโน๊ตเท่านั้น หลายคนในวงไพ่สัมผัสไม่ได้ถึงความเปลี่ยนแปลงในโน๊ตนั้น แต่ไม่ใช่ โอเบริน มาร์เทล หนุ่มเจ้าสำราญผู้เจนจัดในความหลากหลายของศิลปะ เขาหันไปมองนักดนตรีที่กำลังดีดพิณเป็นบทเพลงในทำนองเศร้าสร้อย
“งั้นข้าขอผ้าคลุมคืนนะ ท่านทีเรียน” เอ็ดดาร์ค สตาร์คให้สัญญาณเตรียมตัวของไพ่ทีเรียนก่อนที่จะดึงผ้าคลุมออก แสงสีขาวสามลำพุ่งขึ้นฟ้าแล้วหายไป เหลือไว้เพียงแต่ไพ่ทีเรียนที่ยังล่อนจ้อนไม่ได้สวมเกราะ
“อาวุธของท่านสั้นและเล็กมาก ฮ่า ฮ่า ฮ่า” โอเบรินปรบมือหัวเราะชอบใจ
‘โบราณว่าไว้ สั้นหนึ่งนิ้วอันตรายเพิ่มขึ้นหนึ่งนิ้วนะท่าน’ ไพ่ทีเรียนหยิบชุดเสื้อแขนยาวมาสวมอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะสวมเกราะถักและเสื้อเกราะเป็นลำดับถัดไป
“เอาหมาป่าของเจ้าไปผูกไว้ข้างนอกก่อนเถิดหนุ่มน้อย” คาล โดรโกวางเหล้าหมักที่อุ่นพอให้ร้อนตรงเบื้องหน้าของ ร๊อบ สตาร์ค
“ข้าขอครั้งนี้เป็นกรณีพิเศษได้ไหมท่านคาล ด้านนอกฝนตก ข้ากลัวเจ้าสองตัวนี้จะไม่สบาย”
“ที่ข้ามาอยู่ที่นี่ได้รู้ไหมเพราะอะไรเจ้าหนุ่ม เพราะการใจอ่อนและรับคำขอครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างไรเล่า เพราะความปราณีจากคำขอของหญิงอันเป็นที่รักให้คาลแห่งท้องทุ่งเมตตาต่อแกะ สุดท้ายการรับคำขอครั้งแล้วครั้งเล่านั่นแหล่ะนำข้ามาพูดคุยกับเจ้าในโรงเหล้าแห่งนี้” คาลโดรโกขึ้นเสียง ส่งสายตาดุร้ายมายังร๊อบ สตาร์ค
“ถ้าอย่างนั้นท่านเก็บเหล้าหมักที่อุ่นไว้อย่างดีของท่านเถอะ ข้าขอตัวก่อน” ร๊อบ สตาร์คยอมรับการตัดสินใจของคาลโดรโก เตรียมที่จะลุกจากไป
“เจ้าเอาเกรย์วินด์และเลดี้ไปผูกไว้ข้างนอกหลบไอฝน แล้วเข้ามานั่งกับข้าตรงนี้ร๊อบ” เป็นเสียงของบิดาเขา น้ำเสียงกึ่งออกคำสั่งกึ่งบอกกล่าว
“ตามบัญชา” ร๊อบก้มหัวให้ลอร์ดบิดาในเชิงล้อเลียน
เมื่อมองเห็นไพ่ทีเรียนสวมเกราะเสร็จเรียบร้อยแล้ว เอ็ดดาร์ค จึงทิ้งไพ่ลงตรงเบื้องหน้าสามใบ เป็นชายรูปร่างกำยำทั้งสามคนสวมชุดเกราะและผ้าคลุมสีดำ ใบหน้าถทึง ในมือของคนทั้งสามถือดาบมั่นพร้อมโรมรันกับศัตรู ชายทั้งสามจากไพ่ซ้ายไปยังใบขวา ล้วนแล้วแต่เป็นเหล่าผู้พิทักษ์ราตรีทั้งสิ้น เริ่มต้นที่ จีออร์ มอร์มอนท์ ตามด้วยเบนจิน สตาร์คตรงกลาง และปิดท้ายด้วย เจนอส สลินท์
“จั่วติด เจนอสกับ จีออร์ทั้งสองใบน่ะ ข้าโชคดี” เขาพูดกับโอเบริน มาร์เทลอย่างเป็นกันเอง
“ท่านมีไพ่น้องชายท่านอยู่แล้วในมือซินะ ไม่เบาๆ ท่านลอร์ดเอ็ดดาร์ค” โอเบริน มาร์เทล ทิ้งไพ่ลงเบื้องหน้าเอ็ดดาร์ค สตาร์คอีกใบ เป็นไพ่ที่นำมาช่วยไพ่ทีเรียน “ลูกชายของท่านมาอยู่ที่ข้าหมดเลยนะลอร์ดไทวิน”
มุมไพ่เป็นสัญลักษณ์สิงห์โตสีทองทั้งบนซ้ายและล่างขวา เจมี่ แลนนิสเตอร์ ผู้สังหารราชาสวมเกราะทีทองอร่ามน่าครั่นคร้าม เมื่อแสงสีขาวปรากฏขึ้นบนไพ่ใหม่ทั้งสี่ใบ โอเบรินจึงเริ่มนึกขึ้นได้ว่าเขาพลาดอะไรไปบางอย่าง
“เขามือขาดตั้งแต่เมื่อไหร่น่ะไทวิน เจ้าไม่เห็นเล่าให้ข้าฟังเลย ฮ่า ฮ่า ฮ่า” โรเบิร์ต บาราเธียนหัวเราะเสียงดังด้วยความชอบอกชอบใจ
‘ความจริงบางครั้งไม่จำเป็นต้องพูดด้วยเสียงดังก็ได้นะท่านโรเบิร์ต’ ไพ่เจมี่พูดขึ้นมาอย่างหัวเสีย
‘แลนนิสเตอร์!!!!!!!’ ทีเรียนไม่ฟังเสียงพูดคุย เขาเงื้อหนังสือเล่มโตขึ้นเหนือหัว ตะโกนชื่อตระกูลที่เขาคิดว่าสร้างความฮึกเหิมต่อตัวเอง กำลังจะวิ่งไปยังศัตรูเบื้องหน้าไพ่หน่วยพิทักษ์ราตรีทั้งสามคน
เจมี่ ดึงเสื้อเกราะถักที่ส่วนหลังบริเวณคอของทีเรียนไว้ในฉับพลัน จนขาทั้งสองข้างของเจ้าภูติน้อยผงะไปด้านหน้าเกือบจะล้ม ‘นั่นไม่ใช่บทบาทของเจ้าเลยน้องข้า หรือเจ้าไม่คิดจะชนะแล้ว’
‘เจ้าดูว่าฝั่งเรามีอะไรบ้างเจมี่ คนแคระหนึ่งคนพร้อมกับราชองรักษ์ที่มือข้างถนัดขาดไปหนึ่งข้าง’
‘ทองที่เสียไปให้บรอนของเจ้าจะงอกเงยให้เจ้าเห็น เพียงแต่เราควรปรึกษากันก่อนนะน้องชาย อย่าเพิ่งวู่วาม’
‘เจ้ามาสายไปนะเจมี่ เมื่อครู่ข้าเสียพลังที่หมักบ่มมาชั่วชีวิต โรมรันกับศึกที่ข้าเกือบจะเพลี่ยงพล้ำ ข้าไม่เหลือกำลังวังชาอีกต่อไปแล้ว เจ้าดูขาข้าซีเจมี่ มันสั่นไม่หยุดเลยเจ้าเห็นไหม’
เอ็ดดาร์ครู้ดีว่าถ้าปล่อยเวลาทิ้งไว้ให้ทีเรียนวางแผน เหตุการณ์อาจจะกลับตาลปัดอีกได้เขาจึงตะโกนบอกไพ่หน่วยพิทักษ์ราตรีทั้งสามอย่างเร่งด่วน “อย่าปล่อยให้พวกมันมีเวลาวางแผน รีบจู่โจมเถิดไพ่ของข้า”
ไพ่เบนจิน สตาร์คและจีออร์ มอร์มอนท์ เข้าโจมตีอย่างรวดเร็วไปที่เจมี่ แลนนิสเตอร์ เขาใช้มือซ้ายข้างที่ไม่ถนัดถือดาบ ส่วนมือเหล็กอีกข้างก็ใช้รับดาบของอีกฝั่งแทนโล่ เสียงปะทะกันรุนแรง
‘ไม่เลวทีเดียว เซอร์เจมี่ ท่านใช้มือซ้ายได้คล่องแคล่วไม่ต่างจากมือข้างที่ถนัดเลย’ เสียงชมจาก จีออร์ มอร์มอนท์
‘แต่ยังไม่เร็วพอสำหรับหน่วยพิทักษ์ราตรีที่เจนจัดสองคน’ เบนจิน สตาร์คพูดเสร็จก็สะบัดดาบหลอกล่อว่าจะฟันลงที่ศีรษะ จนเจมี่เอามือขวาที่เป็นเหล็กขึ้นมาบัง ฉับพลัน เบนจิน สตาร์คม้วนตัวลงต่ำ สะบัดดาบฟันเข้าไปที่รอยต่อของข้อเข่าด้านหลังที่ไม่มีเกราะปิดบังเลือดกระเซ็นเปรอะผ้าปู สิงห์โตหนุ่มทรุดลงกับพื้น
จีออร์ มอร์มอนท์ไม่รอช้าเมื่อศีรษะของเจมี่ก้มลงมองให้เห็นช่องว่างที่ไม่มีเกราะปิดบัง
“ไม่!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!” เสียงตะโกนของไทวิน แลนนิสเตอร์สั่นประสาทของผู้คนบนโต๊ะไพ่ เขาลุกขึ้นยืนมือสั่น ปากสั่น ดวงตาเบิกโพลง น้ำตาคลอเบ้า “ไพ่บ้านี่มันเหมือนจริงเกินไปแล้ว ไม่ ไม่ ไม่”
ไพ่จีออร์ มอร์มอนท์ชะงักดาบขั่วครู่ก่อนจะเสียบดาบลงไปยังหลังคอทะลุยาวไปถึงด้านล่าง เจมี่ แลนนิสเตอร์ร้องในลำคอมาแค่หนึ่งคำ เป็นคำที่จีออร์แปลไม่ออกก่อนที่แสงสีขาวส่วางจ้าและไพ่เจมี่ก็หายไป
‘นั่นแปลว่าข้าจ่ายค่าฝึกให้บรอนยังไม่คุ้มนะพี่ชายข้า’ ไพ่ทีเรียนอาศัยความตัวเล็ก และคู่ต่อสู้ที่ยังไม่เชี่ยวชาญการต่อสู้เท่าเบนจินและมอร์มอนท์
เจนอส สลินท์ ปล่อยเนื้อปล่อยตัวมากเกินไปจนอุ้ยอ้าย เขาเหวี่ยงดาบไปมาเปะปะ คล้ายเล่นวิ่งไล่จับกับทีเรียน หายใจหอบเหนื่อยอ่อน ใกล้จะหมดแรง และเมื่อเขาหันไปเห็น ไพ่อีกสองใบจัดการไพ่เจมี่ได้แล้ว ก็ร้องเรียกกำลังหนุนมาช่วย พริบตาที่เขาหันไปร้องเรียก ทีเรียนก็ไม่ปล่อยโอกาสให้ว่างปล่าว
‘เจ้าคนเดียวก็ยังดี’ เขากระโดดย่นระยะทางเงื้อหนังสือเล่มโต ฟาดเข้าไปที่หัวจนเจนอสล้มลง ไพ่เบนจินและไพ่จีออร์ กำลังเข้ามาช่วยเหลือ เมื่อมองเห็นเช่นนั้นไพ่ทีเรียนจึงโยนหนังสือเล่มโตทิ้ง รัดตัวเจนอสสลิ้นไว้ด้วยสองมือที่เหนียวแน่น ปากที่ว่างอยู่ก็กัดฉีกชิ้นส่วนของเจนอสที่หลังคอ เลือดหลั่งไหลทะลัก ผุดราวตอน้ำ แต่ทีเรียนยังไม่ยอมหยุด แม้เบนจินจะพยายามดึงเขาออกมาจากร่างเจนอส สลินทร์ ก็ตามที
***Game of Throne :: In the name of father*** ชื่อตอน Truth
นั่งล้อมวงเล่นไพ่ท่ามกลางบทสนทนาที่เชือดเฉือน ความหมายของคำว่าพ่อและลูก
ถูกตีความไปตามหน้าไพ่และอารมณ์ของผู้เล่นแต่ละคน
ไม่ว่าจะเป็น โรเบิร์ต บาราเธียนผู้บุ่มบ่าม
เอ็ดดาร์ค สตาร์ค ที่หมกมุ่นอยู่กับความเศร้าและความเหน็บหนาว
โอเบริน มาร์เทล ผู้มองเห็นไพ่ทั้งหมดเป็นเกมที่เขาโปรดปราน ราวกับชิงบัลลังก์
และไทวินด์ แลนนิสเตอร์ ที่รอไถ่หว่านเมื่อศัตรูร่วมวงไพ่พลั้งพลาด
ยังไม่รวมไปถึงผู้ดูแลร้านเหล้าที่แข็งแกร่งที่สุดแห่งยุคอย่าง คาล โดรโก
และตัวละครลึกลับที่จะโผล่มากระตุ้นความสงสัยให้ผู้อ่านในตอนถัดๆไป
ฝากไว้ด้วยครับ แฟนฟิค Game of Throne
In the name of father
ติดตามสองตอนที่ผ่านมาได้ที่ลิงค์ด้านล่างนะครับ
http://ppantip.com/topic/32364197
http://ppantip.com/topic/32374506
------------------
::TRUTH::
ไทวิน แลนนิสเตอร์กำลังหัวเสียจากการสูญเสียไพ่ทั้งสองใบ เขาจั่วไพ่เพิ่มเติมขึ้นมาอีกหกใบอย่างเสียไม่ได้ ในหกใบใหม่นั้น แน่นอนว่ามีไพ่ที่สามารถจับคู่ได้หลากหลาย รวมกับไพ่ในมือเขาแล้วนับรวมได้กว่าสิบสี่ใบ เมื่อจั่วไพ่เสร็จเขาหันไปมองดูบุตรชายคนโต ของลอร์ดเอ็ดดาร์ค สตาร์ค แล้วหันไปมองยังไพ่ทีเรียน ต่างก็เป็นบุตรของลอร์ดผู้มีอิทธิพลในเขตแดนของตน แต่ถ้าเป็นไปได้เขาก็อยากจะแลกลูกชายกับลอร์ดเอ็ดดาร์คดู
ร๊อบ สตาร์คเป็นนักรบที่น่านับถือแต่ก็ยังปกครองและเล่นเกมการเมืองไม่จัดเจนนัก อายุเขาเพิ่งจะสิบห้าสิบหกดังนั้น ไทวินจึงคิดว่า ถ้าให้เวลาร๊อบมากกว่านี้ คร่ำหวอดในเชิงการปกครองและอยู่ในการดูแลของเขาตั้งแต่ยังเล็กแล้วล่ะก็ การสู้รบของเขาอาจจะไม่ต่างจากโรเบิร์ตและการวางแผนอาจจะไม่ต่างจากเขาเลยทีเดียว น่าเสียดาย ที่ในเวลานี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาชื่นชมทั้งศันตรูบนโต๊ะไพ่และบุตรชายของเขา “โรงเหล้านี้ไม่อนุญาตให้นำสัตว์เลี้ยงเข้ามา ยกเว้นเจ้าจะให้คาลโดรโก้ทำมันเป็นอาหารอีกมื้อ” ไทวินส่งเสียงทักทายไปยังร๊อบ สตาร์ค เกมจิตวิทยาเริ่มขึ้นอีกครั้ง”
“ข้าไม่เคยเห็นมันแปะป้ายบอกเอาไว้ที่หน้าร้าน” ร๊อบ สตาร์คยืนตอบจ้องตามายังไทวินด้วยความกร้าวแกร่งของวัยหนุ่ม
“ถามคาลโดรโกดูเถิดหนุ่มน้อย แต่ข้าว่าใบหน้าของเจ้าดูอึมครึมหม่นหมองไปนะ ข้าเคยได้ยินว่าเจ้าสวมหัวสุนัขป่าแล้วดูดีกว่านี้ ท่านราชาแห่งแดนเหนือ”
“ไทวินอย่าให้มันมากไปนะ!!!!!” เอ็ดดาร์ค สตาร์คทุบโต๊ะดังปัง เมื่อนั้นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของไทวินก็ปรากฏอยู่ที่มุมปาก เขายั่วได้ทั้งพ่อและลูกสำเร็จ
“ท่านไปตามหลานของท่านที่เล่นเรือกระดาษล่องตามลำน้ำกับท่านน้าข้าไลซ่า แอรินเถอะท่านลอร์ดไทวิน” ร๊อบนั่งลงที่หน้าบาร์พูดทั้งๆที่หันหลังไปดูชนิดของเหล้าและไวน์เพื่อเตรียมสั่ง
“หลานของไทวินก็คือลูกของข้า เจ้าราชาแห่งแดนเหนือ เจ้าหาว่าลูกของข้าอ่อนปวกเปียกและนุ่มนิ่ม” โรเบิร์ตตะเบ็งเสียงด้วยความขุ่นเคือง
ร๊อบ สตาร์คหันไปมองที่บิดาของเขาด้วยเครื่องหมายคำถาม ทำไมโรเบิร์ตถึงยังไม่รู้ฐานะที่แท้จริงของจอฟฟรี่ย์ “ท่านพ่อ ท่าน…………………...”
ในขณะที่ร๊อบ สตาร์คกำลังจะหลุดปากถาม ไทวินก็สอดขึ้นมาอย่างมีจังหวะจะโคน “ว่าแต่พวกเจ้ายังไม่เจอ แคทลีน ทัลลี่ กันหรือนี่มันก็หลายเดือนแล้วนะ ทำไมนางยังไม่มาเสียที”
“แคทลีน สตาร์ค” เอ็ดดาร์คพูดด้วยเสียงเย็นเยียบ
“ขออภัย” ไทวินก้มหัวลงคำนับจอมปลอม
“จะขออภัยทำไม เมื่อรูส โบลตันบอกข้าแล้วว่าตระกูลไหนฝากความคิดถึงมาด้วย” ร๊อบ สตาร์คกัดกรามจนปูดโปนเขาเริ่มมีอามรณ์จริงๆแล้ว
“ข้าไม่น่าพูดไปเลย เลยทำให้ต้องมาเจอพวกเจ้าบนนี้ ข้าชักรู้สึกเหมือนคาล โดรโก้แล้วซี” ไทวินยิ้มและหัวเราะยั่วเบาๆ
โอเบริน มาร์เทลจิบไวน์จากจอกสีเงิน รอให้สงครามน้ำลายเงียบสงบจึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงนอบน้อมต่อเอ็ดดาร์คว่า “เชิญท่านทิ้งไพ่ลงมาเถอะ ลอร์ดเอ็ดดาร์ค”
“บางครั้งความจริงก็เป็นสิ่งที่เจ็บปวดโรเบิร์ต เรื่องความไม่เอาไหนของตัวเรา ความคาดหวังที่ถาโถมเข้ามาในห้วงความคิด ความอยากได้อยากมี อยากให้คนรอบข้างมองด้วยสายตาเดียวกันกับที่เรามองเห็น ความต้องการไม่มีที่สิ้นสุด สิ่งเหล่านั้นกัดกร่อนพวกเรายิ่งกว่ายาพิษในแก้วไวน์เสียอีก” เขาเหลือบตาไปมองที่ไทวินเมื่อพูดถึงไวน์และยาพิษ “แต่ก็มีความจริงบางประการที่เมื่อพูดออกไปแล้ว ไม่ได้ช่วยให้อะไรมันดีขึ้นก็อย่าพูดมันเลยดีกว่า” เขาหันหางตาไปมองที่ร๊อบ สตาร์คซึ่งเขานั่งห่างจากนักดนตรีนิรนามเพียงสิบก้าว
เสียงโน๊ตดนตรีขึ้นสูงโดยบังเอิญ เมื่อเอ็ดดาร์คพูดกับโรเบิร์ตในเรื่องความจริง แต่มันก็เป็นเพียงสองสามโน๊ตเท่านั้น หลายคนในวงไพ่สัมผัสไม่ได้ถึงความเปลี่ยนแปลงในโน๊ตนั้น แต่ไม่ใช่ โอเบริน มาร์เทล หนุ่มเจ้าสำราญผู้เจนจัดในความหลากหลายของศิลปะ เขาหันไปมองนักดนตรีที่กำลังดีดพิณเป็นบทเพลงในทำนองเศร้าสร้อย
“งั้นข้าขอผ้าคลุมคืนนะ ท่านทีเรียน” เอ็ดดาร์ค สตาร์คให้สัญญาณเตรียมตัวของไพ่ทีเรียนก่อนที่จะดึงผ้าคลุมออก แสงสีขาวสามลำพุ่งขึ้นฟ้าแล้วหายไป เหลือไว้เพียงแต่ไพ่ทีเรียนที่ยังล่อนจ้อนไม่ได้สวมเกราะ
“อาวุธของท่านสั้นและเล็กมาก ฮ่า ฮ่า ฮ่า” โอเบรินปรบมือหัวเราะชอบใจ
‘โบราณว่าไว้ สั้นหนึ่งนิ้วอันตรายเพิ่มขึ้นหนึ่งนิ้วนะท่าน’ ไพ่ทีเรียนหยิบชุดเสื้อแขนยาวมาสวมอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะสวมเกราะถักและเสื้อเกราะเป็นลำดับถัดไป
“เอาหมาป่าของเจ้าไปผูกไว้ข้างนอกก่อนเถิดหนุ่มน้อย” คาล โดรโกวางเหล้าหมักที่อุ่นพอให้ร้อนตรงเบื้องหน้าของ ร๊อบ สตาร์ค
“ข้าขอครั้งนี้เป็นกรณีพิเศษได้ไหมท่านคาล ด้านนอกฝนตก ข้ากลัวเจ้าสองตัวนี้จะไม่สบาย”
“ที่ข้ามาอยู่ที่นี่ได้รู้ไหมเพราะอะไรเจ้าหนุ่ม เพราะการใจอ่อนและรับคำขอครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างไรเล่า เพราะความปราณีจากคำขอของหญิงอันเป็นที่รักให้คาลแห่งท้องทุ่งเมตตาต่อแกะ สุดท้ายการรับคำขอครั้งแล้วครั้งเล่านั่นแหล่ะนำข้ามาพูดคุยกับเจ้าในโรงเหล้าแห่งนี้” คาลโดรโกขึ้นเสียง ส่งสายตาดุร้ายมายังร๊อบ สตาร์ค
“ถ้าอย่างนั้นท่านเก็บเหล้าหมักที่อุ่นไว้อย่างดีของท่านเถอะ ข้าขอตัวก่อน” ร๊อบ สตาร์คยอมรับการตัดสินใจของคาลโดรโก เตรียมที่จะลุกจากไป
“เจ้าเอาเกรย์วินด์และเลดี้ไปผูกไว้ข้างนอกหลบไอฝน แล้วเข้ามานั่งกับข้าตรงนี้ร๊อบ” เป็นเสียงของบิดาเขา น้ำเสียงกึ่งออกคำสั่งกึ่งบอกกล่าว
“ตามบัญชา” ร๊อบก้มหัวให้ลอร์ดบิดาในเชิงล้อเลียน
เมื่อมองเห็นไพ่ทีเรียนสวมเกราะเสร็จเรียบร้อยแล้ว เอ็ดดาร์ค จึงทิ้งไพ่ลงตรงเบื้องหน้าสามใบ เป็นชายรูปร่างกำยำทั้งสามคนสวมชุดเกราะและผ้าคลุมสีดำ ใบหน้าถทึง ในมือของคนทั้งสามถือดาบมั่นพร้อมโรมรันกับศัตรู ชายทั้งสามจากไพ่ซ้ายไปยังใบขวา ล้วนแล้วแต่เป็นเหล่าผู้พิทักษ์ราตรีทั้งสิ้น เริ่มต้นที่ จีออร์ มอร์มอนท์ ตามด้วยเบนจิน สตาร์คตรงกลาง และปิดท้ายด้วย เจนอส สลินท์
“จั่วติด เจนอสกับ จีออร์ทั้งสองใบน่ะ ข้าโชคดี” เขาพูดกับโอเบริน มาร์เทลอย่างเป็นกันเอง
“ท่านมีไพ่น้องชายท่านอยู่แล้วในมือซินะ ไม่เบาๆ ท่านลอร์ดเอ็ดดาร์ค” โอเบริน มาร์เทล ทิ้งไพ่ลงเบื้องหน้าเอ็ดดาร์ค สตาร์คอีกใบ เป็นไพ่ที่นำมาช่วยไพ่ทีเรียน “ลูกชายของท่านมาอยู่ที่ข้าหมดเลยนะลอร์ดไทวิน”
มุมไพ่เป็นสัญลักษณ์สิงห์โตสีทองทั้งบนซ้ายและล่างขวา เจมี่ แลนนิสเตอร์ ผู้สังหารราชาสวมเกราะทีทองอร่ามน่าครั่นคร้าม เมื่อแสงสีขาวปรากฏขึ้นบนไพ่ใหม่ทั้งสี่ใบ โอเบรินจึงเริ่มนึกขึ้นได้ว่าเขาพลาดอะไรไปบางอย่าง
“เขามือขาดตั้งแต่เมื่อไหร่น่ะไทวิน เจ้าไม่เห็นเล่าให้ข้าฟังเลย ฮ่า ฮ่า ฮ่า” โรเบิร์ต บาราเธียนหัวเราะเสียงดังด้วยความชอบอกชอบใจ
‘ความจริงบางครั้งไม่จำเป็นต้องพูดด้วยเสียงดังก็ได้นะท่านโรเบิร์ต’ ไพ่เจมี่พูดขึ้นมาอย่างหัวเสีย
‘แลนนิสเตอร์!!!!!!!’ ทีเรียนไม่ฟังเสียงพูดคุย เขาเงื้อหนังสือเล่มโตขึ้นเหนือหัว ตะโกนชื่อตระกูลที่เขาคิดว่าสร้างความฮึกเหิมต่อตัวเอง กำลังจะวิ่งไปยังศัตรูเบื้องหน้าไพ่หน่วยพิทักษ์ราตรีทั้งสามคน
เจมี่ ดึงเสื้อเกราะถักที่ส่วนหลังบริเวณคอของทีเรียนไว้ในฉับพลัน จนขาทั้งสองข้างของเจ้าภูติน้อยผงะไปด้านหน้าเกือบจะล้ม ‘นั่นไม่ใช่บทบาทของเจ้าเลยน้องข้า หรือเจ้าไม่คิดจะชนะแล้ว’
‘เจ้าดูว่าฝั่งเรามีอะไรบ้างเจมี่ คนแคระหนึ่งคนพร้อมกับราชองรักษ์ที่มือข้างถนัดขาดไปหนึ่งข้าง’
‘ทองที่เสียไปให้บรอนของเจ้าจะงอกเงยให้เจ้าเห็น เพียงแต่เราควรปรึกษากันก่อนนะน้องชาย อย่าเพิ่งวู่วาม’
‘เจ้ามาสายไปนะเจมี่ เมื่อครู่ข้าเสียพลังที่หมักบ่มมาชั่วชีวิต โรมรันกับศึกที่ข้าเกือบจะเพลี่ยงพล้ำ ข้าไม่เหลือกำลังวังชาอีกต่อไปแล้ว เจ้าดูขาข้าซีเจมี่ มันสั่นไม่หยุดเลยเจ้าเห็นไหม’
เอ็ดดาร์ครู้ดีว่าถ้าปล่อยเวลาทิ้งไว้ให้ทีเรียนวางแผน เหตุการณ์อาจจะกลับตาลปัดอีกได้เขาจึงตะโกนบอกไพ่หน่วยพิทักษ์ราตรีทั้งสามอย่างเร่งด่วน “อย่าปล่อยให้พวกมันมีเวลาวางแผน รีบจู่โจมเถิดไพ่ของข้า”
ไพ่เบนจิน สตาร์คและจีออร์ มอร์มอนท์ เข้าโจมตีอย่างรวดเร็วไปที่เจมี่ แลนนิสเตอร์ เขาใช้มือซ้ายข้างที่ไม่ถนัดถือดาบ ส่วนมือเหล็กอีกข้างก็ใช้รับดาบของอีกฝั่งแทนโล่ เสียงปะทะกันรุนแรง
‘ไม่เลวทีเดียว เซอร์เจมี่ ท่านใช้มือซ้ายได้คล่องแคล่วไม่ต่างจากมือข้างที่ถนัดเลย’ เสียงชมจาก จีออร์ มอร์มอนท์
‘แต่ยังไม่เร็วพอสำหรับหน่วยพิทักษ์ราตรีที่เจนจัดสองคน’ เบนจิน สตาร์คพูดเสร็จก็สะบัดดาบหลอกล่อว่าจะฟันลงที่ศีรษะ จนเจมี่เอามือขวาที่เป็นเหล็กขึ้นมาบัง ฉับพลัน เบนจิน สตาร์คม้วนตัวลงต่ำ สะบัดดาบฟันเข้าไปที่รอยต่อของข้อเข่าด้านหลังที่ไม่มีเกราะปิดบังเลือดกระเซ็นเปรอะผ้าปู สิงห์โตหนุ่มทรุดลงกับพื้น
จีออร์ มอร์มอนท์ไม่รอช้าเมื่อศีรษะของเจมี่ก้มลงมองให้เห็นช่องว่างที่ไม่มีเกราะปิดบัง
“ไม่!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!” เสียงตะโกนของไทวิน แลนนิสเตอร์สั่นประสาทของผู้คนบนโต๊ะไพ่ เขาลุกขึ้นยืนมือสั่น ปากสั่น ดวงตาเบิกโพลง น้ำตาคลอเบ้า “ไพ่บ้านี่มันเหมือนจริงเกินไปแล้ว ไม่ ไม่ ไม่”
ไพ่จีออร์ มอร์มอนท์ชะงักดาบขั่วครู่ก่อนจะเสียบดาบลงไปยังหลังคอทะลุยาวไปถึงด้านล่าง เจมี่ แลนนิสเตอร์ร้องในลำคอมาแค่หนึ่งคำ เป็นคำที่จีออร์แปลไม่ออกก่อนที่แสงสีขาวส่วางจ้าและไพ่เจมี่ก็หายไป
‘นั่นแปลว่าข้าจ่ายค่าฝึกให้บรอนยังไม่คุ้มนะพี่ชายข้า’ ไพ่ทีเรียนอาศัยความตัวเล็ก และคู่ต่อสู้ที่ยังไม่เชี่ยวชาญการต่อสู้เท่าเบนจินและมอร์มอนท์
เจนอส สลินท์ ปล่อยเนื้อปล่อยตัวมากเกินไปจนอุ้ยอ้าย เขาเหวี่ยงดาบไปมาเปะปะ คล้ายเล่นวิ่งไล่จับกับทีเรียน หายใจหอบเหนื่อยอ่อน ใกล้จะหมดแรง และเมื่อเขาหันไปเห็น ไพ่อีกสองใบจัดการไพ่เจมี่ได้แล้ว ก็ร้องเรียกกำลังหนุนมาช่วย พริบตาที่เขาหันไปร้องเรียก ทีเรียนก็ไม่ปล่อยโอกาสให้ว่างปล่าว
‘เจ้าคนเดียวก็ยังดี’ เขากระโดดย่นระยะทางเงื้อหนังสือเล่มโต ฟาดเข้าไปที่หัวจนเจนอสล้มลง ไพ่เบนจินและไพ่จีออร์ กำลังเข้ามาช่วยเหลือ เมื่อมองเห็นเช่นนั้นไพ่ทีเรียนจึงโยนหนังสือเล่มโตทิ้ง รัดตัวเจนอสสลิ้นไว้ด้วยสองมือที่เหนียวแน่น ปากที่ว่างอยู่ก็กัดฉีกชิ้นส่วนของเจนอสที่หลังคอ เลือดหลั่งไหลทะลัก ผุดราวตอน้ำ แต่ทีเรียนยังไม่ยอมหยุด แม้เบนจินจะพยายามดึงเขาออกมาจากร่างเจนอส สลินทร์ ก็ตามที