~<*>~หลวงพ่อพระราชพรหมยาน~<*>~
~*~ อารมณ์ของใจ ~*~
ต่อนี้ไปเป็นโอกาสแห่งการเจริญพระกรรมฐาน วันก่อนๆ ได้พูดถึงเรื่องฌานจบลงไปแล้ว แต่ก็อย่างย่อๆ ทั้งนี้เพื่อเป็นการเตือนให้เข้าใจชัด หากว่าผู้ใดไม่เข้าใจก็ไปอ่านในคู่มือปฏิบัติพระกรรมฐาน เพราะในที่นั้นเขียนไว้ครบถ้วนบริบูรณ์ แต่ที่นำมาพูดก็เพื่อเป็นการเตือนใจ ทั้งนี้ก็เพราะว่าเห็นว่าการเจริญกรรมฐานของพวกเราบกพร่องอยู่ ไอ้คำว่าบกพร่องนี่ก็หมายความว่า บกพร่องในการตั้งอารมณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปฏิบัติตามเวลานี่ไม่ค่อยจะขาด นี่ก็ถือว่าดีไปอย่างหนึ่ง คือว่าการปฏิบัติตามเวลานี่จะถือว่าดีทีเดียวยังใช้ไม่ได้ เพราะความดีของอารมณ์ต้องทรงตลอดวัน ไม่ใช่จะมาทรงแต่เฉพาะเวลาที่เรามานั่งกันอย่างเวลานี้ ในประการหนึ่ง สำหรับอารมณ์ อารมณ์นี่สำคัณมาก เราไปเจริญพระกรรมฐานกันเพื่อรักษาอารมณ์
ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า
*มโนปุพพังคมา ธัมมา มโนเสฏฐา มโนมยา* "ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า มีใจประเสริฐสุด สำเร็จด้วยใจ"
ทีนี้ใจอย่างเดียวเป็นเครื่องสำคัญที่จะทำให้เราลงนรก ขึ้นสวรรค์ เป็นพรหม ไปนิพพาน เกิดเป็นมนุษย์ เป็นสัตว์เดรัจฉาน ถ้าอารมณ์ใจของเราดีเสียอย่างเดียว ทุคติใดๆ ทั้งหมดย่อมไม่มีแก่เรา *ถ้าอารมณ์ใจเลวอย่างเดียว เราจะแสดงท่าทางกิริยาภายนอกดีอย่างไรก็ตาม เมื่อชีวิตอยู่ก็มีแต่ความรุ้มร้อน หาความสุขใจไม่ได้* ตายแล้วก็มีอบายภูมิเป็นที่ไป
ฉะนั้น การเจริญพระกรรมฐานเป็นการเจริญเพื่อฝึกใจระงับใจ หรือว่าทำใจขับจากกิเลส ให้กิเลสพ้นไปจากอารมณ์ของใจ ทีนี้การที่กิเลสจะพ้นจากอารมณ์ของใจเราก็จะรู้ได้ เพราะกำลังจิตหรือกำลังกายกำลังวาจาของแต่ละบุคคล เมื่อแต่ละบุคคลจะมีกิเลสอะไร หนาแน่นเพียงไร แสดงออกทางกายกับทางวาจา บางรายจะทำนั่งหลับพริ้มเป็นคนเคร่งครัดมัธยัสภ์ ทำตัวเหมือนพระอรหันต์ แต่จิตใจของคนนั้นเลวทรามมันก็มีการแสดงออก เพราะการหลับตามันหลับไม่สนิท มันก็ยังมีการปกปิดอารมณ์ของความชั่ว คือตรงกันข้ามกับพระอรหันต์
พระอรหันต์จริงๆ น่ะไม่มีการปกปิด ท่านก็ปิดเหมือนกัน ปิดดีไม่ใช่ปิดชั่ว หมายความว่าความดีของท่านถ้าหากว่าท่านเห็นว่าเกินกว่าบุคคลอื่นบุคคลใดที่พึงจะรับไว้ได้ ท่านจะปกปิดความดีอันนั้นเข้าไว้
นี่เหมือนกับบุคคลคนหนึ่งที่ตำบลวังตะโก เรียกว่าครูปลั่ง ถามว่าครูปลั่งอยู่กับพระอรหันต์มาตั้งนานแล้ว คือ *หลวงพ่อเขียน สำนักบางขุนเณร* ถามว่ารู้บ้างไหมว่าหลวงพ่อเขียนเป็นพระอรหันต์ ความจริงหลวงพ่อเขียนน่ะเป็นพระที่แสดงออกทางกายเป็นปกติ ใครไปก็คุยสนุกสนาน เข้ากับบุคคลได้ทุกประเภท ไม่ถือเนื้อถือตัว ดูแล้วก็เหมือนว่าเป็นพระที่ไม่น่าเลื่อมใส แต่ทว่าเนื้อแท้จริงๆ ของหลวงพ่อเขียนเป็นพระอรหัตตผล
ทีนี้ครูปลั่งก็เลยบอกว่า ผมไม่มีเวลาจะพิจารณาท่าน แต่ครั้งหนึ่งเคยถามว่าหลวงพ่อขอรับ เวลานี้พระอรหันต์ มีบ้างไหมในประเทศหรือว่าในโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเอาในประเทศ ไทยเท่านั้นแหล่ะครับ มีพระอรหันต์ไหม หลวงพ่อเขียนท่านยิ้ม ท่านก็บอกว่า มึngจะชนพระตายอยู่แล้ว พูดเพียงเท่านั้น *
นี่ถ้าเป็นพระอรหันต์จริงๆ ท่านไม่แสดงอาการปกปิด ไม่ทำท่าว่าเป็นคนเคร่งครัด เพราะว่าท่านมีอารมณ์จิตสบาย* แต่สิ่งใดที่จะเป็นเวรเป็นภัยท่านไม่ทำ นี่อารมณ์ของพระอรหันต์เป็นอย่างนี้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้http://sihtwatthazung.jimdo.com/%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9E-%E0%B8%AD%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%99-%E0%B8%A7-%E0%B8%94%E0%B8%97-%E0%B8%B2%E0%B8%8B-%E0%B8%87/
พระอรหันต์ ไม่เก๊ก >~หลวงพ่อพระราชพรหมยาน~<
~*~ อารมณ์ของใจ ~*~
ต่อนี้ไปเป็นโอกาสแห่งการเจริญพระกรรมฐาน วันก่อนๆ ได้พูดถึงเรื่องฌานจบลงไปแล้ว แต่ก็อย่างย่อๆ ทั้งนี้เพื่อเป็นการเตือนให้เข้าใจชัด หากว่าผู้ใดไม่เข้าใจก็ไปอ่านในคู่มือปฏิบัติพระกรรมฐาน เพราะในที่นั้นเขียนไว้ครบถ้วนบริบูรณ์ แต่ที่นำมาพูดก็เพื่อเป็นการเตือนใจ ทั้งนี้ก็เพราะว่าเห็นว่าการเจริญกรรมฐานของพวกเราบกพร่องอยู่ ไอ้คำว่าบกพร่องนี่ก็หมายความว่า บกพร่องในการตั้งอารมณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปฏิบัติตามเวลานี่ไม่ค่อยจะขาด นี่ก็ถือว่าดีไปอย่างหนึ่ง คือว่าการปฏิบัติตามเวลานี่จะถือว่าดีทีเดียวยังใช้ไม่ได้ เพราะความดีของอารมณ์ต้องทรงตลอดวัน ไม่ใช่จะมาทรงแต่เฉพาะเวลาที่เรามานั่งกันอย่างเวลานี้ ในประการหนึ่ง สำหรับอารมณ์ อารมณ์นี่สำคัณมาก เราไปเจริญพระกรรมฐานกันเพื่อรักษาอารมณ์
ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า
*มโนปุพพังคมา ธัมมา มโนเสฏฐา มโนมยา* "ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า มีใจประเสริฐสุด สำเร็จด้วยใจ"
ทีนี้ใจอย่างเดียวเป็นเครื่องสำคัญที่จะทำให้เราลงนรก ขึ้นสวรรค์ เป็นพรหม ไปนิพพาน เกิดเป็นมนุษย์ เป็นสัตว์เดรัจฉาน ถ้าอารมณ์ใจของเราดีเสียอย่างเดียว ทุคติใดๆ ทั้งหมดย่อมไม่มีแก่เรา *ถ้าอารมณ์ใจเลวอย่างเดียว เราจะแสดงท่าทางกิริยาภายนอกดีอย่างไรก็ตาม เมื่อชีวิตอยู่ก็มีแต่ความรุ้มร้อน หาความสุขใจไม่ได้* ตายแล้วก็มีอบายภูมิเป็นที่ไป
ฉะนั้น การเจริญพระกรรมฐานเป็นการเจริญเพื่อฝึกใจระงับใจ หรือว่าทำใจขับจากกิเลส ให้กิเลสพ้นไปจากอารมณ์ของใจ ทีนี้การที่กิเลสจะพ้นจากอารมณ์ของใจเราก็จะรู้ได้ เพราะกำลังจิตหรือกำลังกายกำลังวาจาของแต่ละบุคคล เมื่อแต่ละบุคคลจะมีกิเลสอะไร หนาแน่นเพียงไร แสดงออกทางกายกับทางวาจา บางรายจะทำนั่งหลับพริ้มเป็นคนเคร่งครัดมัธยัสภ์ ทำตัวเหมือนพระอรหันต์ แต่จิตใจของคนนั้นเลวทรามมันก็มีการแสดงออก เพราะการหลับตามันหลับไม่สนิท มันก็ยังมีการปกปิดอารมณ์ของความชั่ว คือตรงกันข้ามกับพระอรหันต์ พระอรหันต์จริงๆ น่ะไม่มีการปกปิด ท่านก็ปิดเหมือนกัน ปิดดีไม่ใช่ปิดชั่ว หมายความว่าความดีของท่านถ้าหากว่าท่านเห็นว่าเกินกว่าบุคคลอื่นบุคคลใดที่พึงจะรับไว้ได้ ท่านจะปกปิดความดีอันนั้นเข้าไว้
นี่เหมือนกับบุคคลคนหนึ่งที่ตำบลวังตะโก เรียกว่าครูปลั่ง ถามว่าครูปลั่งอยู่กับพระอรหันต์มาตั้งนานแล้ว คือ *หลวงพ่อเขียน สำนักบางขุนเณร* ถามว่ารู้บ้างไหมว่าหลวงพ่อเขียนเป็นพระอรหันต์ ความจริงหลวงพ่อเขียนน่ะเป็นพระที่แสดงออกทางกายเป็นปกติ ใครไปก็คุยสนุกสนาน เข้ากับบุคคลได้ทุกประเภท ไม่ถือเนื้อถือตัว ดูแล้วก็เหมือนว่าเป็นพระที่ไม่น่าเลื่อมใส แต่ทว่าเนื้อแท้จริงๆ ของหลวงพ่อเขียนเป็นพระอรหัตตผล
ทีนี้ครูปลั่งก็เลยบอกว่า ผมไม่มีเวลาจะพิจารณาท่าน แต่ครั้งหนึ่งเคยถามว่าหลวงพ่อขอรับ เวลานี้พระอรหันต์ มีบ้างไหมในประเทศหรือว่าในโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเอาในประเทศ ไทยเท่านั้นแหล่ะครับ มีพระอรหันต์ไหม หลวงพ่อเขียนท่านยิ้ม ท่านก็บอกว่า มึngจะชนพระตายอยู่แล้ว พูดเพียงเท่านั้น *นี่ถ้าเป็นพระอรหันต์จริงๆ ท่านไม่แสดงอาการปกปิด ไม่ทำท่าว่าเป็นคนเคร่งครัด เพราะว่าท่านมีอารมณ์จิตสบาย* แต่สิ่งใดที่จะเป็นเวรเป็นภัยท่านไม่ทำ นี่อารมณ์ของพระอรหันต์เป็นอย่างนี้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้