ผมเองก็เป็นคนที่ชื่นชอบการทานซูชิคนหนึ่ง แต่ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านซูชิหรืออาหารแต่อย่างใด เลยถือว่ากระทู้นี้เป็นกระทู้แชร์ประสพการณ์ แชร์ข้อมูล และ ความคิดเห็นส่วนตัวละกันนะครับ
เรื่องมีอยู่ว่า ได้ยินว่ามีร้านซูชิระดับพรีเมี่ยม ถ้าเขียนเป็นภาษาวัยรุ่นก็คือระดับเทพ ร้านดังจากเขตกินซ่า ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น มาเปิดในกรุงเทพ เป็นร้านแบบซูชิแบบแนวดั้งเดิมญี่ปุ่นขนานแท้ ทั้งในเรื่องของรสชาติและการบริการ ญี่ปุ่นแบบแท้ๆ ไม่ได้โม้ เป็นร้านซูชิเพียวๆ บริการแบบ omakase หรือ chef's choice คือไปถึงนั่ง ไม่มีเมนูให้อ่าน ให้เลือก คุณนั่งเฉยๆ เดี๋ยวเชฟเขาทำมาให้กินเอง น่าสนๆ ได้ยินอย่างนี้ เราก็อยากลอง ว่าแล้วก็หาเบอร์โทร แล้วโทรไปจองที่ เขาว่าร้านค่อนข้างเล็ก มีไม่กี่ที่นั่ง ต้องโทรไปจองก่อน เราก็โทรไปจะจองกินเย็นพรุ่งนี้ สองที่ ปรากฎว่าที่เต็ม!!! อดเลย ไม่เป็นไร บอกเขาว่างั้นจองวันถัดไปก็ได้ อยากกิน คุณพนักงานตอบกลับมาว่า ขอโทษค่ะ วันถัดไปก็เต็ม มีว่างคือวันอังคารหน้าเลยค่ะ . . . อีกห้าวัน ถึงจะมีว่าง โอ้ อะไรมันจะขนาดนั้น แต่เอาวะ อยากกิน รอได้ งั้นจองไปเลย วันอังคารหน้า
แว้บมาที่วันอังคารเลย เราก็ไปถึงสถานที่ตั้งร้านอยู่ชั้นใต้ดินที่อยู่ใน Erawan Plaza ที่อยู่ตรงกลางระหว่าง อัมริน พลาซ่า และ ศาลพระพรหม กลางแยกราชประสงค์ หาไม่ยาก หน้าร้านตกแต่งธรรมดา เรียบๆง่ายๆ เหมือนจะไม่มีอะไร และไม่มีอะไรโดดเด่น แต่ก็รู้สึกได้ถึงพลังงานอะไรบางอย่างอยู่ด้านใน ว่าแล้วก็เปิดเข้าไปเลย ด้านในก็พื้นที่ไม่ได้ใหญ่อะไรมาก เป็นห้องเล็กๆแยกกันสองห้อง ซ้ายและขวา ในหนึ่งห้องก็มีบาร์หรือเคาท์เตอร์สำหรับทำซูชิ โดยที่ลูกค้าก็นั่งหน้าเคาท์เตอร์ หนึ่งห้องรับลูกค้าได้สิบที่ ทุกที่มีคนนั่งครบ คนเต็มจริงๆด้วย
เข้ามาถึงก็สัมผัสได้ถึงความเป็นญี่ปุ่นจริงๆ เพราะเชฟทำซูชิสองคนด้านใน เป็นคนญี่ปุ่นทั้งสองคน พนักงานเสิฟ ก็ยังคงเป็นสาวญี่ปุ่น ทั้งเชฟทั้งพนักงานเสิฟ พูดภาษาไทยกันไม่ได้นะ พนักงานเสิฟพอพูดภาษาอังกฤษได้บ้าง ส่วนเชฟที่นี่พูดเแต่ภาษาญี่ปุ่นอย่างเดียว แล้วจะสื่อสารกันยังไงนี่ ส่วนลูกค้าในนั้น ครึ่งหนึ่งก็เป็นคนญี่ปุ่นแท้ๆ ตอนนี้ผมพอเข้าใจแล้ว ว่านอกจากไม่ต้องทำวีซ่าแล้ว ไม่ต้องซื้อตั๋วเครื่องบิน เราก็ไปถึงญี่ปุ่นได้ เพราะด้วยบรรยากาศในร้านที่ตกแต่งเป็นลักษณะปิดทึบ คือมองไม่เห็นด้านนอก และด้านนอกก็มองไม่เห็นเรา ทำให้เราถูกตัดจากบรรยากาศภายนอกอย่างสิ้นเชิง มีแค่สิ่งที่อยู่ในร้านเท่านั้น ที่เรารู้สึกสัมผัสได้ เป็นโลกใบเล็กๆ ณ ขนาดนั้น ทำให้เราอาจหลงนึกไปได้จริงๆว่า เราอยู่ในร้านซูชิที่ญี่ปุ่นจริงๆ
พอเรานั่ง พนักงาน ก็ถามว่า ดื่มอะไร ตามกฎระเบียบสังคม ก่อนมา เราก็ศึกษาข้อมูลมาก่อนว่า ทีนี่บริการเป็นแบบ Omakase เท่านั้น แต่มีระดับราคาให้เลือกสามแบบ คือแบบ แพงน้อย แพงมาก และแพงสุดๆ อยากได้แบบไหนก็เลือกเอา ความแตกต่างก็คือถ้าเราเลือกแบบแพงน้อย จะไม่มี main dish ให้ ส่วนหน้าซูชิที่เชฟทำให้เรา ก็อาจจะไม่มีหน้าที่แพงๆสักเท่าไร ส่วนราคาที่แพงขึ้น ก็จะมี Main Dish เสิฟให้ด้วย จำนวนคำซูชิก็เพิ่มขึ้น และรวมถึงจะมีหน้าซูชิตัวแพงๆให้กินมากขึ้นด้วยตามลำดับ แต่ตอนที่ผมไปถึง ผมไม่เห็นพนักงานเสิฟ ถามผมเลยว่า ผมอยากได้ราคาแบบไหน เสิฟน้ำร้อนเสร็จ เชฟซูชิก็เริ่มบรรเลงเลย เราก็งง เอ๊ะ อะไรนี่ ตกลงเราได้กินแบบไหนนี่ หรือว่าจะเป็นความผิดพลาดด้านการสื่อสาร แต่เอาเหอะ ส่วนตัวผมเตรียมตัว ทั้งร่างกาย จิตใจ และ ขอวงเงินบัตรเครดิทเพิ่ม มาพร้อมแล้ว จะเอาอะไรก็เอามา พร้อมเปิดรับเต็มที่
มาว่ากันที่ตัวอาหาร อย่างที่บอกว่าผมไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านอาหาร ผมคงไม่สามารถอธิบายได้อย่างลึกซึ้ง หรืออธิบายถึงความแตกต่างของรสชาติซูชิแต่ละคำว่ามันลึกซึ้งยังไง สุดยอดแค่ไหน แต่ก็พอยืนยันได้ว่า ร้านอาหารระดับนี้ ทุกอย่างน่ะถูกคัดสรรมาอย่างดีแล้วทั้งนั้นก่อนที่จะเข้าปากเรา ไม่ต้องเป็นห่วง omakase ของร้านนี้ที่ผมทาน ก็เริ่มต้นด้วย Appetizer หน้าตาสวยงาม คำนิด คำน้อย เหมือนเป็นการต้อนรับเข้าร้าน แต่อร่อยมาก และกระตุ้นความอยากอาหารได้ดีเยี่ยม ต่อด้วยซาชิมิอีกสองจาน ปลาอะไรไม่รู้ รู้แต่สดและอร่อย
แล้วก็มาต่อที่ Main Dish สองจาน คือปลาย่าง (ปลาอะไรผมก็จำไม่ได้เหมือนกัน) แต่ย่างได้แบบกลิ่นหอมมาก เค็มนิดๆกำลังดี และแม้จะผ่านการย่างมา แต่เนื้อนุ่มสุดๆ และสดแทบไม่ต่างไปจากปลาดิบเลย อีกจานหนึ่งคือสเต็คหอยเป๋าฮื้อ ไม่ต้องพูดอะไรมากกับหอยเป๋าฮื้อนี่ รสชาติมันยิ่งใหญ่ จนทำผมเกือบร้องไห้จริงๆ
จบ Main Dish และ เชฟก็เริ่มปั้นซูชิมาให้ ทีละคำๆ ซึ่งตรงนี้มันก็สนุกดีว่า เราได้ลุ้นว่าคำต่อไปจะเป็นอะไร จะมีซูชิหน้าอะไรมาให้กินบ้าง จะมีหน้านี้มั้ย จะมีหน้านั้นมั้ย ซึ่งซูชิที่เชฟปั้นมาให้เราก็มีความหลากหลายสูง แน่นอน ว่าการที่เชฟเป็นคนเลือกเองว่าจะปั้นอะไรมาให้เรากินบ้าง บางอย่างก็คือสิ่งที่เราไม่เคยลองกินมาก่อนเลย ซูชิบางอันอาจจะเป็นหน้าที่เราเฉยๆหรือไม่ชอบ ซึ่งเมื่อเชฟทำมาให้แล้ว เราก็ต้องกิน หรือถ้าเราไม่กิน คนข้างๆอาจขอกินแทน 555 ซึ่งตรงนี้ก็ถือว่าเป็นการเปิดรับประสพการณ์ใหม่ๆนะครับ และคือความสนุกและสุนทรีย์ของการกินซูชิแบบ omakase คือการเปิดใจรับสิ่งใหม่ๆ อย่ายึดติดว่าเราไม่ชอบแบบนั้น เราไม่ชอบแบบนี้ ถ้าเราได้ลองใหม่ เราอาจจะเปลี่ยนใจก็ได้ นี่แหละครับ วิถีการใช้ชีวิตอย่างมีความสุข อย่ายึดติด (ว่าไปโน่น)
และส่วนตัวผมคิดว่าการที่เราไม่ต้องเลือกเลยว่า เราจะสั่งอะไรบ้าง คือการผ่อนคลายอย่างหนึ่งนะ เคยมั้ยเวลาไปร้านอาหารแล้วเราต้องเหนื่อยใจหรือวุ่นวายใจ เพราะไม่รู้ว่าจะสั่งอะไรดี บางอารมณ์เราก็อยากจะนั่งเฉยๆและบอกบริกรว่า "มีอะไรอร่อยๆก็เอามาเหอะ" นี่แหละครับ คือสิ่งที่ผมต้องการ และคือจุดเด่นของการกินซูชิแบบ Omakase นั่งๆเฉยๆ ไม่ต้องคิดอะไรทั้งนั้น ผ่อนคลาย เดี๋ยวเชฟจัดให้เอง
และ เชฟก็จัดมาให้ โดยที่ไม่ได้ทำให้ผมผิดหวังจริงๆครับ ซูชิที่จัดมาให้ก็หน้าตาประมาณในรูปนี้ แน่นอนว่ามีทั้งคำที่เป็นคำโปรดของผมเลย รวมไปถึงบางคำที่ผมปกติก็ไม่ค่อยชอบเท่าไร และถ้าให้ผมสั่งเอง ผมคงไม่สั่งแน่ แต่พอได้กินของที่นี่ ผมก็รู้สึกว่า จริงๆแล้ว หน้านี้มันก็อร่อยดีนะ รวมไปถึงมีซูชิบางคำที่ผมก็ไม่เคยได้กินมาก่อนเลยด้วย ซึ่งปกติแล้วผมมักจะไม่ค่อยชอบลองอะไรใหม่ๆเท่าไร แต่พอได้กินซูชิหน้าใหม่ๆบางคำ ผมก็รู้สึกแบบว่า เฮ้ย มีรสชาติแบบนี้ด้วยหรอ อร่อยๆ คราวหน้าอยากกินอีก ผมจำไม่ได้แน่นอนว่า ผมได้กินทั้งหมดกี่คำ แต่ประมาณ 12-14 คำครับ ทุกคำอร่อยหมด บางคำอร่อยจนน้ำตาแทบไหลจริงๆ
ลำดับการเสิฟซูชิ ก็เป็นเรื่องสำคัญนะครับ เชฟเขาคิดมาแล้วว่าจะปั้นซูชิหน้าไหน แล้วต่อด้วยหน้าไหน รสชาติของซูชิแต่ละคำมันจะเชื่อมต่อกันเป็นเรื่องราว เหมือนการบรรเลงดนตรีเลยทีเดียว
ซูชิที่นี่จะเป็นแบบ traditional style หรือแบบดั้งเดิม แนวอนุรักษ์นิยม ทั้งหมด ซึ่งจะไม่มีการเสิฟซูชิหน้าสมัยใหม่ เช่น พวกหน้าฟัวกรา (หน้าโปรดใครหลายๆคน) หรือซูชิย่างไฟ ราดซอสนู่นนี่นั่น รวมไปถึงขนาดของคำซูชิและความหนาของเนื้อปลาที่เน้นพอดีคำ ไม่ได้ใหญ่โตอะไรมาก
ตบท้ายด้วยของหวาน มีให้เลือกสองอย่าง อันที่ผมเลือกกินคืออันในรูป จำไม่ได้แล้วว่ามันคืออะไร แต่ก็อร่อยดี แต่ว่าอีกอันหนึ่งคือ ไอติมงา อันนี้ อร่อยสุดๆ แนะนำๆ
กินหมด อิ่ม อร่อย Happy กลับบ้าน หลับ ฝันดี เอ้ย เดี๋ยวก่อน ก่อนกลับบ้าน ต้องจ่ายตังค์ก่อน อย่างที่บอกก่อนเริ่มกิน ว่าแม้ผมจะเตรียมตัวเตรียมใจไว้แล้ว กับราคาของร้านซูชิระดับนี้ แต่เมื่อเจอบิลของจริงมา ก็ยังคงขนลุกซู่อยู่ดี (ไม่ต้องเจอผีก็ขนแขนแสตนด์อัพได้) อะไรมันจะแพงขนาดนี้หนอ แน่นอนว่านี่คงไม่ใช่ร้านอาหารที่เราแวะเข้าไปกินเล่นๆระหว่างรอเพื่อน แต่มันต้องอาศัยความพร้อมทั้งด้านร่างกาย จิตใจ และ กระเป๋าตังค์ อยู่สูงพอสมควร คือ ร่างกายว่าต้องการกินซูชิชั้นเลิศมากแค่ไหน จิตใจว่าพร้อมที่จะลองหรือเปิดรับสิ่งใหม่ๆหรือยัง รวมไปถึงกระเป๋าเงินว่าพร้อมจ่ายหรือไม่
หากมีครบทั้งสามอย่างนี้ ผมขอแนะนำร้านนี้ครับ Sushi Ichi
แนะนำร้านซูชิเปิดใหม่ Sushi Ichi สำหรับผู้ที่พร้อมทั้งร่างกาย จิตใจ และ กระเป๋าตังค์
เรื่องมีอยู่ว่า ได้ยินว่ามีร้านซูชิระดับพรีเมี่ยม ถ้าเขียนเป็นภาษาวัยรุ่นก็คือระดับเทพ ร้านดังจากเขตกินซ่า ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น มาเปิดในกรุงเทพ เป็นร้านแบบซูชิแบบแนวดั้งเดิมญี่ปุ่นขนานแท้ ทั้งในเรื่องของรสชาติและการบริการ ญี่ปุ่นแบบแท้ๆ ไม่ได้โม้ เป็นร้านซูชิเพียวๆ บริการแบบ omakase หรือ chef's choice คือไปถึงนั่ง ไม่มีเมนูให้อ่าน ให้เลือก คุณนั่งเฉยๆ เดี๋ยวเชฟเขาทำมาให้กินเอง น่าสนๆ ได้ยินอย่างนี้ เราก็อยากลอง ว่าแล้วก็หาเบอร์โทร แล้วโทรไปจองที่ เขาว่าร้านค่อนข้างเล็ก มีไม่กี่ที่นั่ง ต้องโทรไปจองก่อน เราก็โทรไปจะจองกินเย็นพรุ่งนี้ สองที่ ปรากฎว่าที่เต็ม!!! อดเลย ไม่เป็นไร บอกเขาว่างั้นจองวันถัดไปก็ได้ อยากกิน คุณพนักงานตอบกลับมาว่า ขอโทษค่ะ วันถัดไปก็เต็ม มีว่างคือวันอังคารหน้าเลยค่ะ . . . อีกห้าวัน ถึงจะมีว่าง โอ้ อะไรมันจะขนาดนั้น แต่เอาวะ อยากกิน รอได้ งั้นจองไปเลย วันอังคารหน้า
แว้บมาที่วันอังคารเลย เราก็ไปถึงสถานที่ตั้งร้านอยู่ชั้นใต้ดินที่อยู่ใน Erawan Plaza ที่อยู่ตรงกลางระหว่าง อัมริน พลาซ่า และ ศาลพระพรหม กลางแยกราชประสงค์ หาไม่ยาก หน้าร้านตกแต่งธรรมดา เรียบๆง่ายๆ เหมือนจะไม่มีอะไร และไม่มีอะไรโดดเด่น แต่ก็รู้สึกได้ถึงพลังงานอะไรบางอย่างอยู่ด้านใน ว่าแล้วก็เปิดเข้าไปเลย ด้านในก็พื้นที่ไม่ได้ใหญ่อะไรมาก เป็นห้องเล็กๆแยกกันสองห้อง ซ้ายและขวา ในหนึ่งห้องก็มีบาร์หรือเคาท์เตอร์สำหรับทำซูชิ โดยที่ลูกค้าก็นั่งหน้าเคาท์เตอร์ หนึ่งห้องรับลูกค้าได้สิบที่ ทุกที่มีคนนั่งครบ คนเต็มจริงๆด้วย
เข้ามาถึงก็สัมผัสได้ถึงความเป็นญี่ปุ่นจริงๆ เพราะเชฟทำซูชิสองคนด้านใน เป็นคนญี่ปุ่นทั้งสองคน พนักงานเสิฟ ก็ยังคงเป็นสาวญี่ปุ่น ทั้งเชฟทั้งพนักงานเสิฟ พูดภาษาไทยกันไม่ได้นะ พนักงานเสิฟพอพูดภาษาอังกฤษได้บ้าง ส่วนเชฟที่นี่พูดเแต่ภาษาญี่ปุ่นอย่างเดียว แล้วจะสื่อสารกันยังไงนี่ ส่วนลูกค้าในนั้น ครึ่งหนึ่งก็เป็นคนญี่ปุ่นแท้ๆ ตอนนี้ผมพอเข้าใจแล้ว ว่านอกจากไม่ต้องทำวีซ่าแล้ว ไม่ต้องซื้อตั๋วเครื่องบิน เราก็ไปถึงญี่ปุ่นได้ เพราะด้วยบรรยากาศในร้านที่ตกแต่งเป็นลักษณะปิดทึบ คือมองไม่เห็นด้านนอก และด้านนอกก็มองไม่เห็นเรา ทำให้เราถูกตัดจากบรรยากาศภายนอกอย่างสิ้นเชิง มีแค่สิ่งที่อยู่ในร้านเท่านั้น ที่เรารู้สึกสัมผัสได้ เป็นโลกใบเล็กๆ ณ ขนาดนั้น ทำให้เราอาจหลงนึกไปได้จริงๆว่า เราอยู่ในร้านซูชิที่ญี่ปุ่นจริงๆ
พอเรานั่ง พนักงาน ก็ถามว่า ดื่มอะไร ตามกฎระเบียบสังคม ก่อนมา เราก็ศึกษาข้อมูลมาก่อนว่า ทีนี่บริการเป็นแบบ Omakase เท่านั้น แต่มีระดับราคาให้เลือกสามแบบ คือแบบ แพงน้อย แพงมาก และแพงสุดๆ อยากได้แบบไหนก็เลือกเอา ความแตกต่างก็คือถ้าเราเลือกแบบแพงน้อย จะไม่มี main dish ให้ ส่วนหน้าซูชิที่เชฟทำให้เรา ก็อาจจะไม่มีหน้าที่แพงๆสักเท่าไร ส่วนราคาที่แพงขึ้น ก็จะมี Main Dish เสิฟให้ด้วย จำนวนคำซูชิก็เพิ่มขึ้น และรวมถึงจะมีหน้าซูชิตัวแพงๆให้กินมากขึ้นด้วยตามลำดับ แต่ตอนที่ผมไปถึง ผมไม่เห็นพนักงานเสิฟ ถามผมเลยว่า ผมอยากได้ราคาแบบไหน เสิฟน้ำร้อนเสร็จ เชฟซูชิก็เริ่มบรรเลงเลย เราก็งง เอ๊ะ อะไรนี่ ตกลงเราได้กินแบบไหนนี่ หรือว่าจะเป็นความผิดพลาดด้านการสื่อสาร แต่เอาเหอะ ส่วนตัวผมเตรียมตัว ทั้งร่างกาย จิตใจ และ ขอวงเงินบัตรเครดิทเพิ่ม มาพร้อมแล้ว จะเอาอะไรก็เอามา พร้อมเปิดรับเต็มที่
มาว่ากันที่ตัวอาหาร อย่างที่บอกว่าผมไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านอาหาร ผมคงไม่สามารถอธิบายได้อย่างลึกซึ้ง หรืออธิบายถึงความแตกต่างของรสชาติซูชิแต่ละคำว่ามันลึกซึ้งยังไง สุดยอดแค่ไหน แต่ก็พอยืนยันได้ว่า ร้านอาหารระดับนี้ ทุกอย่างน่ะถูกคัดสรรมาอย่างดีแล้วทั้งนั้นก่อนที่จะเข้าปากเรา ไม่ต้องเป็นห่วง omakase ของร้านนี้ที่ผมทาน ก็เริ่มต้นด้วย Appetizer หน้าตาสวยงาม คำนิด คำน้อย เหมือนเป็นการต้อนรับเข้าร้าน แต่อร่อยมาก และกระตุ้นความอยากอาหารได้ดีเยี่ยม ต่อด้วยซาชิมิอีกสองจาน ปลาอะไรไม่รู้ รู้แต่สดและอร่อย
แล้วก็มาต่อที่ Main Dish สองจาน คือปลาย่าง (ปลาอะไรผมก็จำไม่ได้เหมือนกัน) แต่ย่างได้แบบกลิ่นหอมมาก เค็มนิดๆกำลังดี และแม้จะผ่านการย่างมา แต่เนื้อนุ่มสุดๆ และสดแทบไม่ต่างไปจากปลาดิบเลย อีกจานหนึ่งคือสเต็คหอยเป๋าฮื้อ ไม่ต้องพูดอะไรมากกับหอยเป๋าฮื้อนี่ รสชาติมันยิ่งใหญ่ จนทำผมเกือบร้องไห้จริงๆ
จบ Main Dish และ เชฟก็เริ่มปั้นซูชิมาให้ ทีละคำๆ ซึ่งตรงนี้มันก็สนุกดีว่า เราได้ลุ้นว่าคำต่อไปจะเป็นอะไร จะมีซูชิหน้าอะไรมาให้กินบ้าง จะมีหน้านี้มั้ย จะมีหน้านั้นมั้ย ซึ่งซูชิที่เชฟปั้นมาให้เราก็มีความหลากหลายสูง แน่นอน ว่าการที่เชฟเป็นคนเลือกเองว่าจะปั้นอะไรมาให้เรากินบ้าง บางอย่างก็คือสิ่งที่เราไม่เคยลองกินมาก่อนเลย ซูชิบางอันอาจจะเป็นหน้าที่เราเฉยๆหรือไม่ชอบ ซึ่งเมื่อเชฟทำมาให้แล้ว เราก็ต้องกิน หรือถ้าเราไม่กิน คนข้างๆอาจขอกินแทน 555 ซึ่งตรงนี้ก็ถือว่าเป็นการเปิดรับประสพการณ์ใหม่ๆนะครับ และคือความสนุกและสุนทรีย์ของการกินซูชิแบบ omakase คือการเปิดใจรับสิ่งใหม่ๆ อย่ายึดติดว่าเราไม่ชอบแบบนั้น เราไม่ชอบแบบนี้ ถ้าเราได้ลองใหม่ เราอาจจะเปลี่ยนใจก็ได้ นี่แหละครับ วิถีการใช้ชีวิตอย่างมีความสุข อย่ายึดติด (ว่าไปโน่น)
และส่วนตัวผมคิดว่าการที่เราไม่ต้องเลือกเลยว่า เราจะสั่งอะไรบ้าง คือการผ่อนคลายอย่างหนึ่งนะ เคยมั้ยเวลาไปร้านอาหารแล้วเราต้องเหนื่อยใจหรือวุ่นวายใจ เพราะไม่รู้ว่าจะสั่งอะไรดี บางอารมณ์เราก็อยากจะนั่งเฉยๆและบอกบริกรว่า "มีอะไรอร่อยๆก็เอามาเหอะ" นี่แหละครับ คือสิ่งที่ผมต้องการ และคือจุดเด่นของการกินซูชิแบบ Omakase นั่งๆเฉยๆ ไม่ต้องคิดอะไรทั้งนั้น ผ่อนคลาย เดี๋ยวเชฟจัดให้เอง
และ เชฟก็จัดมาให้ โดยที่ไม่ได้ทำให้ผมผิดหวังจริงๆครับ ซูชิที่จัดมาให้ก็หน้าตาประมาณในรูปนี้ แน่นอนว่ามีทั้งคำที่เป็นคำโปรดของผมเลย รวมไปถึงบางคำที่ผมปกติก็ไม่ค่อยชอบเท่าไร และถ้าให้ผมสั่งเอง ผมคงไม่สั่งแน่ แต่พอได้กินของที่นี่ ผมก็รู้สึกว่า จริงๆแล้ว หน้านี้มันก็อร่อยดีนะ รวมไปถึงมีซูชิบางคำที่ผมก็ไม่เคยได้กินมาก่อนเลยด้วย ซึ่งปกติแล้วผมมักจะไม่ค่อยชอบลองอะไรใหม่ๆเท่าไร แต่พอได้กินซูชิหน้าใหม่ๆบางคำ ผมก็รู้สึกแบบว่า เฮ้ย มีรสชาติแบบนี้ด้วยหรอ อร่อยๆ คราวหน้าอยากกินอีก ผมจำไม่ได้แน่นอนว่า ผมได้กินทั้งหมดกี่คำ แต่ประมาณ 12-14 คำครับ ทุกคำอร่อยหมด บางคำอร่อยจนน้ำตาแทบไหลจริงๆ
ลำดับการเสิฟซูชิ ก็เป็นเรื่องสำคัญนะครับ เชฟเขาคิดมาแล้วว่าจะปั้นซูชิหน้าไหน แล้วต่อด้วยหน้าไหน รสชาติของซูชิแต่ละคำมันจะเชื่อมต่อกันเป็นเรื่องราว เหมือนการบรรเลงดนตรีเลยทีเดียว
ซูชิที่นี่จะเป็นแบบ traditional style หรือแบบดั้งเดิม แนวอนุรักษ์นิยม ทั้งหมด ซึ่งจะไม่มีการเสิฟซูชิหน้าสมัยใหม่ เช่น พวกหน้าฟัวกรา (หน้าโปรดใครหลายๆคน) หรือซูชิย่างไฟ ราดซอสนู่นนี่นั่น รวมไปถึงขนาดของคำซูชิและความหนาของเนื้อปลาที่เน้นพอดีคำ ไม่ได้ใหญ่โตอะไรมาก
ตบท้ายด้วยของหวาน มีให้เลือกสองอย่าง อันที่ผมเลือกกินคืออันในรูป จำไม่ได้แล้วว่ามันคืออะไร แต่ก็อร่อยดี แต่ว่าอีกอันหนึ่งคือ ไอติมงา อันนี้ อร่อยสุดๆ แนะนำๆ
กินหมด อิ่ม อร่อย Happy กลับบ้าน หลับ ฝันดี เอ้ย เดี๋ยวก่อน ก่อนกลับบ้าน ต้องจ่ายตังค์ก่อน อย่างที่บอกก่อนเริ่มกิน ว่าแม้ผมจะเตรียมตัวเตรียมใจไว้แล้ว กับราคาของร้านซูชิระดับนี้ แต่เมื่อเจอบิลของจริงมา ก็ยังคงขนลุกซู่อยู่ดี (ไม่ต้องเจอผีก็ขนแขนแสตนด์อัพได้) อะไรมันจะแพงขนาดนี้หนอ แน่นอนว่านี่คงไม่ใช่ร้านอาหารที่เราแวะเข้าไปกินเล่นๆระหว่างรอเพื่อน แต่มันต้องอาศัยความพร้อมทั้งด้านร่างกาย จิตใจ และ กระเป๋าตังค์ อยู่สูงพอสมควร คือ ร่างกายว่าต้องการกินซูชิชั้นเลิศมากแค่ไหน จิตใจว่าพร้อมที่จะลองหรือเปิดรับสิ่งใหม่ๆหรือยัง รวมไปถึงกระเป๋าเงินว่าพร้อมจ่ายหรือไม่
หากมีครบทั้งสามอย่างนี้ ผมขอแนะนำร้านนี้ครับ Sushi Ichi