หลังจากที่ได้ไปทานซูชิที่ Sankyodai หลายต่อหลายครั้งเพราะติดใจในรสชาติและความสดใหม่ของวัตถุดิบ ตอนนี้ทางเจ้าของร้าน Sankyodai ได้เปิดร้านใหม่ชื่อว่า Mizu ที่จะเน้นเสริฟซูชิแบบ Omakase คอร์ส ร้าน Mizu ตั้งอยู่บริเวณชั้น G ของอาคารชาญอิสระ บนถนนพระรามที่ 4 ภายในร้านตกแต่งแบบเรียบง่าย ใช้ไม้เป็นวัสดุหลักให้ความรู้สึกอบอุ่นดีครับ ในร้านมีบริเวณซูชิบาร์ที่จะเน้นเสริฟโอมาคาเสะซึ่งมีที่นั่งอยู่ 8 ที่ อีกส่วนจัดเป็นโต้ะไว้รองรับได้อีกประมาณ 14 ที่เท่านั้น ทำให้ผมไม่แปลกใจที่ได้อ่านรีวิวจากหลายๆที่แล้วจะบอกว่าการบริการของที่นี่ค่อนข้างดีมาก และจุดเด่นอีกอย่างก็คือความสดของปลาและของทะเลต่างๆ
สำหรับ Omakase Course นั้นจะมีเสริฟเฉพาะมื้อเย็นเท่านั้น โดยจะมีให้เลือก 3 แบบด้วยกัน คือ
1. Kaiyou Course (2,000 B++) ประกอบไปด้วย Starter/ Sushi 9 pcs./ Dessert
2. Kisetsu Course (3,500 B++) ประกอบไปด้วย Starter/ Sashimi/ Sushi 12 pcs./ Side dish/ Dessert
3. Mizu Tokusen Course (5,500 B++) ประกอบไปด้วย Starter/ Special Appitizer/ Sashimi/ Sushi 12 pcs./ Premium side dish/ Special dish/ Dessert
วันนี้มีโอกาสได้มาลองทาน Kisetsu Course (3,500 B++) ครับ โดยเริ่มจากเมนู Starter ซึ่งวันนี้เป็นหอยนางรมสดตัวอ้วนที่มีรสเค็มเป็นเอกลักษณ์ ทานกับพอนสุและเลมอนเปรี้ยวๆ อร่อยมากเรียกน้ำย่อยดีมากเลย
ต่อด้วยปลาโดโจทอด ปลาทอดตัวเล็กๆกรอบๆ รสค่อนข้างขม เวลาทานต้องบีบมะนาวลงไปด้วย รสแบบนี้ถ้าได้สาเกหรือเบียร์ซักแก้วนะ ฮึ่ม!!!
จากนั้นเชฟจะว่าจานใหม่ที่มีไชเท้าหั่นฝอย สาหร่ายพวงองุ่น และวาซาบิให้ สำหรับเสริฟ Sashimi ต่อ
ซาชิมิคำแรกเป็น Kinmedai สามารถเลือกว่าจะทานกับมะนาวหรือไม่ก็ได้ เนื้อปลาสดมากเลย
ต่อด้วย Chutoro เนื้อปลาสีสวยมาก นุ่มชุ่มฉ่ำอร่อยมาก
ชิ้นต่อมาเป็น Chutoro ดองรสออกเปรี้ยวๆหวานๆ ผิวด้านนอกลวกน้ำร้อนนิดหน่อย ทานคู่กับพอนสุอร่อยดีครับ
จากนั้นเชฟจะเอาหัวไชเท้ากับสาหร่ายพวงองุ่นไปห่อสาหร่ายกรอบๆแต้มด้วยซอสบ๊วย Umeboshi มาให้ทานล้างปากก่อนเปลี่ยนไปเป็นเมนูซูชิ
ซูชิที่นี่จะใช้ข้าวพันธุ์ Koshihikari ซึ่งจะแข็งกว่าปกตินิดหน่อย แต่ปกติผมชอบทานข้าวแข็งๆอยุ่แล้วเลยชอบเลย ส่วนน้ำส้มสายชูจะมี 2 แบบ แบบสีขาวจะรสอ่อนกว่าทานกับปลาเนื้อขาวที่ไม่มันมากจะเข้ากันดีครับ ส่วนอีกแบบจะเป็นน้ำส้มสายชูสีแดงที่มีกลิ่นที่แรงกว่าและรสชาติจะออกเปรี้ยวและหวานมากกว่าครับ ซึ่งจะใช้กับปลาที่มีความมันมากขึ้น การปั้นจะปั้นขนาดพอดีคำทำให้ทานง่าย แต่ละคำจะแต้มวาซาบิและโชยุมาให้แล้ว และเชฟจะถามว่าต้องการเพิ่มวาซาบิอีกมั้ยซึ่งถ้าเราต้องการเพิ่มหรือลด เชฟก็จะใส่ให้มากขึ้นหรือน้อยลงในคำถัดๆไปเลย คือหยิบเข้าปากได้เลยไม่ต้องจิ้มอะไรแล้ว ส่วนวาซาบิก็ใช้วาซาบิสดๆ ขูดให้เห็นกันจะๆ หอมๆและไม่เผ็ดมากเหมือนตามร้านทั่วไป
คำแรกเป็นปลา Isaki เชฟบอกว่าเป็นปลากระพงน้ำลึกที่หาทานได้ยาก รสชาติเบาๆเป็นการเริ่มต้นที่ดีครับ
คำที่สองเป็นปลา Kinmedai หมักกับสาเก ทำให้ได้กลิ่นสาเกอ่อนๆเวลาทานก็อร่อยไปอีกแบบนะ
ต่อด้วย Sumi Ika หรือปลาหมึกกระดองนั่นเองซึ่งเนื้อจะกรอบๆไม่เหนียวเหมือน Ika ทั่วไปที่ส่วนมากจะใช้เป็นปลาหมึกกล้วย
คราวนี้เป็น Kawahagi หรือปลาหน้าวัว ปลาเนื้อขาวอีกชนิดหนึ่งที่หาทานได้ยาก โดยในคำนี้เชฟจะเอาตับของปลา Kawahagi วางไว้ด้านบนด้วย ทำให้ได้ความหอมมันของตับปลามาเพิ่มความเข้มข้นให้กับคำนี้
มาถึงของโปรดของผมแล้วไข่หอยเม่นนั่นเอง โดยวันนี้เชฟจะใช้ Shiro Uni ซึ่งรสชาติจะเบากว่าและไม่มันเท่าไข่หอยเม่นพันธุ์ Murasaki ที่เคยทาน ถือเป็นอีกคำนึงที่หาทานได้ยากครับ
Ama Ebi กุ้งหวานตัวใหญ่ เนื้อแน่นๆหวานๆ
ผ่านมาครึ่งทางของ Sushi เชฟเปลี่ยนให้ทานปลา Sanma ย่างเกลือก่อน ปลาย่างหอมๆ บีบมะนาวลงไปนิด หอมอร่อยดี
ก่อนเริ่มซูชิคำถัดไปต้องทานไชเท้าดองล้างปากก่อน ไชเท้ากรอบๆรสเปรี้ยวๆหวานๆกระตุ้นความอยากอาหารกลับมาอีกครั้ง
Akami Suke ปลาทูนาเนื้อแดงที่ผ่านการ age มาแล้ว 10 วันก่อนนำมาแช่ในซอสโชยุทำให้ได้เนื้อปลาที่นุ่มละมุนลิ้นดีทีเดียว
คำต่อมาเป็น Chutoro โดยเชฟเลือกเปลี่ยนเป็นข้าวที่ใช้น้ำส้มสายชูสีแดงทำให้ได้รสเปรี้ยวที่มากขึ้นเพื่อตัดความมันของเนื้อปลา
มาถึงคราว Otoro ที่เชฟเลือกกลับมาใช้ข้าวซูชิสีขาวเพื่อให้ได้รับความมันของปลาโอโทโร่อย่างเต็มที่ ฉ่ำมากคำนี้
Negi Toro Ikura ปลาโทโร่สับและไข่ปลาแซลมอน ห่อเสาหร่ายเป็นแท่งหยิบทานง่ายดี อร่อยด้วย
คำต่อมาเชฟบอกว่าเป็นปลา Nodoguro ซี่งเป็นปลากระพงน้ำลึกชนิดหนึ่ง คำนี้เชฟโรยเกลือ ลนไฟ และบีบเลมอนใส่ให้ด้วยครับ
มาถึงคำสุดท้ายแล้ว ปลาไหลทะเล Anago นำไปห่อด้วยใบไผ่แล้วย่างทำให้ได้เนื้อปลานุ่มๆที่มีกลิ่นหมอของใบไผ่ติดมาด้วย เชฟแบ่งเป็น2คำให้ทานกับ เกลือ สึดาจิ (มะนาวญี่ปุ่น) และวาซาบี กับอีกแบบนึงเป็นซอสปลาไหลโดยฝนผิวเปลือกส้มยูสุลงไปเพื่อเพิ่มความหอมด้วย อร่อยๆจนลืมถ่ายรูปเลยทีเดียว เลยต้องขอยืมรูปจาก Facebook ของร้านมาใช้ก่อน (
https://www.facebook.com/mizu.sushi.bkk/timeline) ไว้มีโอกาสไปทานอีกจะถ่ายรูปมาให้ได้
จบจากซูชิก็มีไข่หวาน นุ่ม เนียน ไม่หวานมาก จัดว่าอร่อยมากทีเดียวครับ
ซุปใสร้อนๆตามมาให้ซด รสชาติกลมกล่อมดี
ส่วนของหวานเป็นไอศครีมมีให้เลือก 4 รส คือ รสนม คิตแคทชาเขียว ส้มยูสุ และ umechu ผมเลือกเป็นรสนม น่าจะเป็นรสที่ธรรมดาทีสุดเพราะเห็นรีวิวอื่นๆ แนะนำว่าคิตแคทชาเขียว ส้มยูสุ และ umechu อร่อย อยากลองชิมรสอื่นบ้างจัง
จบแล้วครับกับรีวิว Omakase ครั้งแรก โดยรวมประทับใจใช้ได้เลยครับ มีปลาแปลกๆหายากให้ทานเยอะดี ความสดของวัตถุดิบก็ถือว่าสดมากๆ บริการก็ยอดเยี่ยมครับ สำหรับใครที่อยากลอง Omakase Course สไตล์เอโดะก็ลองแวะมาทานได้นะครับ
ติดตามเพิ่มเติมกันได้ที่
https://www.facebook.com/sheepsbutler
Address: Charn Issara Tower I, Bangkok, Thailand, 10500
Open: Mon - Sat 11:30 am - 14:30 pm
17:00 pm - 22:00 pm
Tel: 02-6326660
[SR] [Sheep's Butler] Omakase Course สุดหรู สไตล์เอโดะแท้ๆที่ Mizu 水 by Sankyodai
สำหรับ Omakase Course นั้นจะมีเสริฟเฉพาะมื้อเย็นเท่านั้น โดยจะมีให้เลือก 3 แบบด้วยกัน คือ
1. Kaiyou Course (2,000 B++) ประกอบไปด้วย Starter/ Sushi 9 pcs./ Dessert
2. Kisetsu Course (3,500 B++) ประกอบไปด้วย Starter/ Sashimi/ Sushi 12 pcs./ Side dish/ Dessert
3. Mizu Tokusen Course (5,500 B++) ประกอบไปด้วย Starter/ Special Appitizer/ Sashimi/ Sushi 12 pcs./ Premium side dish/ Special dish/ Dessert
วันนี้มีโอกาสได้มาลองทาน Kisetsu Course (3,500 B++) ครับ โดยเริ่มจากเมนู Starter ซึ่งวันนี้เป็นหอยนางรมสดตัวอ้วนที่มีรสเค็มเป็นเอกลักษณ์ ทานกับพอนสุและเลมอนเปรี้ยวๆ อร่อยมากเรียกน้ำย่อยดีมากเลย
ต่อด้วยปลาโดโจทอด ปลาทอดตัวเล็กๆกรอบๆ รสค่อนข้างขม เวลาทานต้องบีบมะนาวลงไปด้วย รสแบบนี้ถ้าได้สาเกหรือเบียร์ซักแก้วนะ ฮึ่ม!!!
จากนั้นเชฟจะว่าจานใหม่ที่มีไชเท้าหั่นฝอย สาหร่ายพวงองุ่น และวาซาบิให้ สำหรับเสริฟ Sashimi ต่อ
ซาชิมิคำแรกเป็น Kinmedai สามารถเลือกว่าจะทานกับมะนาวหรือไม่ก็ได้ เนื้อปลาสดมากเลย
ต่อด้วย Chutoro เนื้อปลาสีสวยมาก นุ่มชุ่มฉ่ำอร่อยมาก
ชิ้นต่อมาเป็น Chutoro ดองรสออกเปรี้ยวๆหวานๆ ผิวด้านนอกลวกน้ำร้อนนิดหน่อย ทานคู่กับพอนสุอร่อยดีครับ
จากนั้นเชฟจะเอาหัวไชเท้ากับสาหร่ายพวงองุ่นไปห่อสาหร่ายกรอบๆแต้มด้วยซอสบ๊วย Umeboshi มาให้ทานล้างปากก่อนเปลี่ยนไปเป็นเมนูซูชิ
ซูชิที่นี่จะใช้ข้าวพันธุ์ Koshihikari ซึ่งจะแข็งกว่าปกตินิดหน่อย แต่ปกติผมชอบทานข้าวแข็งๆอยุ่แล้วเลยชอบเลย ส่วนน้ำส้มสายชูจะมี 2 แบบ แบบสีขาวจะรสอ่อนกว่าทานกับปลาเนื้อขาวที่ไม่มันมากจะเข้ากันดีครับ ส่วนอีกแบบจะเป็นน้ำส้มสายชูสีแดงที่มีกลิ่นที่แรงกว่าและรสชาติจะออกเปรี้ยวและหวานมากกว่าครับ ซึ่งจะใช้กับปลาที่มีความมันมากขึ้น การปั้นจะปั้นขนาดพอดีคำทำให้ทานง่าย แต่ละคำจะแต้มวาซาบิและโชยุมาให้แล้ว และเชฟจะถามว่าต้องการเพิ่มวาซาบิอีกมั้ยซึ่งถ้าเราต้องการเพิ่มหรือลด เชฟก็จะใส่ให้มากขึ้นหรือน้อยลงในคำถัดๆไปเลย คือหยิบเข้าปากได้เลยไม่ต้องจิ้มอะไรแล้ว ส่วนวาซาบิก็ใช้วาซาบิสดๆ ขูดให้เห็นกันจะๆ หอมๆและไม่เผ็ดมากเหมือนตามร้านทั่วไป
คำแรกเป็นปลา Isaki เชฟบอกว่าเป็นปลากระพงน้ำลึกที่หาทานได้ยาก รสชาติเบาๆเป็นการเริ่มต้นที่ดีครับ
คำที่สองเป็นปลา Kinmedai หมักกับสาเก ทำให้ได้กลิ่นสาเกอ่อนๆเวลาทานก็อร่อยไปอีกแบบนะ
ต่อด้วย Sumi Ika หรือปลาหมึกกระดองนั่นเองซึ่งเนื้อจะกรอบๆไม่เหนียวเหมือน Ika ทั่วไปที่ส่วนมากจะใช้เป็นปลาหมึกกล้วย
คราวนี้เป็น Kawahagi หรือปลาหน้าวัว ปลาเนื้อขาวอีกชนิดหนึ่งที่หาทานได้ยาก โดยในคำนี้เชฟจะเอาตับของปลา Kawahagi วางไว้ด้านบนด้วย ทำให้ได้ความหอมมันของตับปลามาเพิ่มความเข้มข้นให้กับคำนี้
มาถึงของโปรดของผมแล้วไข่หอยเม่นนั่นเอง โดยวันนี้เชฟจะใช้ Shiro Uni ซึ่งรสชาติจะเบากว่าและไม่มันเท่าไข่หอยเม่นพันธุ์ Murasaki ที่เคยทาน ถือเป็นอีกคำนึงที่หาทานได้ยากครับ
Ama Ebi กุ้งหวานตัวใหญ่ เนื้อแน่นๆหวานๆ
ผ่านมาครึ่งทางของ Sushi เชฟเปลี่ยนให้ทานปลา Sanma ย่างเกลือก่อน ปลาย่างหอมๆ บีบมะนาวลงไปนิด หอมอร่อยดี
ก่อนเริ่มซูชิคำถัดไปต้องทานไชเท้าดองล้างปากก่อน ไชเท้ากรอบๆรสเปรี้ยวๆหวานๆกระตุ้นความอยากอาหารกลับมาอีกครั้ง
Akami Suke ปลาทูนาเนื้อแดงที่ผ่านการ age มาแล้ว 10 วันก่อนนำมาแช่ในซอสโชยุทำให้ได้เนื้อปลาที่นุ่มละมุนลิ้นดีทีเดียว
คำต่อมาเป็น Chutoro โดยเชฟเลือกเปลี่ยนเป็นข้าวที่ใช้น้ำส้มสายชูสีแดงทำให้ได้รสเปรี้ยวที่มากขึ้นเพื่อตัดความมันของเนื้อปลา
มาถึงคราว Otoro ที่เชฟเลือกกลับมาใช้ข้าวซูชิสีขาวเพื่อให้ได้รับความมันของปลาโอโทโร่อย่างเต็มที่ ฉ่ำมากคำนี้
Negi Toro Ikura ปลาโทโร่สับและไข่ปลาแซลมอน ห่อเสาหร่ายเป็นแท่งหยิบทานง่ายดี อร่อยด้วย
คำต่อมาเชฟบอกว่าเป็นปลา Nodoguro ซี่งเป็นปลากระพงน้ำลึกชนิดหนึ่ง คำนี้เชฟโรยเกลือ ลนไฟ และบีบเลมอนใส่ให้ด้วยครับ
มาถึงคำสุดท้ายแล้ว ปลาไหลทะเล Anago นำไปห่อด้วยใบไผ่แล้วย่างทำให้ได้เนื้อปลานุ่มๆที่มีกลิ่นหมอของใบไผ่ติดมาด้วย เชฟแบ่งเป็น2คำให้ทานกับ เกลือ สึดาจิ (มะนาวญี่ปุ่น) และวาซาบี กับอีกแบบนึงเป็นซอสปลาไหลโดยฝนผิวเปลือกส้มยูสุลงไปเพื่อเพิ่มความหอมด้วย อร่อยๆจนลืมถ่ายรูปเลยทีเดียว เลยต้องขอยืมรูปจาก Facebook ของร้านมาใช้ก่อน (https://www.facebook.com/mizu.sushi.bkk/timeline) ไว้มีโอกาสไปทานอีกจะถ่ายรูปมาให้ได้
จบจากซูชิก็มีไข่หวาน นุ่ม เนียน ไม่หวานมาก จัดว่าอร่อยมากทีเดียวครับ
ซุปใสร้อนๆตามมาให้ซด รสชาติกลมกล่อมดี
ส่วนของหวานเป็นไอศครีมมีให้เลือก 4 รส คือ รสนม คิตแคทชาเขียว ส้มยูสุ และ umechu ผมเลือกเป็นรสนม น่าจะเป็นรสที่ธรรมดาทีสุดเพราะเห็นรีวิวอื่นๆ แนะนำว่าคิตแคทชาเขียว ส้มยูสุ และ umechu อร่อย อยากลองชิมรสอื่นบ้างจัง
จบแล้วครับกับรีวิว Omakase ครั้งแรก โดยรวมประทับใจใช้ได้เลยครับ มีปลาแปลกๆหายากให้ทานเยอะดี ความสดของวัตถุดิบก็ถือว่าสดมากๆ บริการก็ยอดเยี่ยมครับ สำหรับใครที่อยากลอง Omakase Course สไตล์เอโดะก็ลองแวะมาทานได้นะครับ
ติดตามเพิ่มเติมกันได้ที่ https://www.facebook.com/sheepsbutler
Address: Charn Issara Tower I, Bangkok, Thailand, 10500
Open: Mon - Sat 11:30 am - 14:30 pm
17:00 pm - 22:00 pm
Tel: 02-6326660