นิพพาน ที่หมายถึง ความสงบเย็นของจิตเมื่อไม่มีความทุกข์นี้ แม้จะดูว่าเป็นเรื่องง่ายๆ แต่ว่ากลับทำได้ยาก เพราะต้องละวางความยึดติดในทุกสิ่งทุกอย่าง
โดยเริ่มตั้งแต่ละวางความเห็น (ความเชื่อ-ความเข้าใจผิด) ว่ามีตนเองอยู่จริงในร่างกายและจิตใจนี้ก่อน (ทำลายสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลพรตปรามาส และมีดวงตาเห็นธรรม หรือมีปัญญา)
แล้วจึงมาละวางการเอาเปรียบเบียดเบียนชีวิต กามารมณ์ และทรัพย์สินของผู้อื่น (มีศีลทางกาย)
แล้วมาละวางความยึดติดในการพูดโกหก การพูดคำหยาบ การพูดเสียดสี การพูดเพ้อเจ้อ (มีศีลทางวาจา)
แล้วมาละวางความพอใจแม้เพียงเล็กน้อยในกามารมณ์ ละวางความไม่พอใจในสิ่งที่ไม่น่าพอใจแม้เพียงเล็กน้อย ละวางความคิดที่ฟุ้งซ่านอย่างน่ารำคาญใจ ละวางความง่วงซึม มึนชา และละวางความลังเลสงสัยทั้งหลายเสีย (มีสมาธิ)
อีกทั้งยังต้องมาละวางความถือว่าตัวเองดีกว่าคนอื่น หรือถือว่าตัวเองต่ำกว่าคนอื่น หรือถือว่าตัวเองเสมอผู้อื่น (ละมานะ)
สุดท้ายก็ต้องมาละวางความยึดตืดในชีวิตว่าเป็นตัวตน-ของตนเสีย (ละอัตตาวุปาทาน) จึงจะพบนิพพาน หรือความสงบเย็นของจิตในปัจจุบันได้จริง
แต่ถ้ายังละวางสิ่งทั้งหลายดังที่ได้กล่าวมานี้ไม่ได้ทั้งหมด (แม้เพียงชั่วคราว) จิตก็จะไม่พบนิพพาน ซึ่งก็คงยากที่จะมีใครทำได้จริง อย่างที่พระพุทธเจ้าบอกว่า "บุคคลที่ข้ามไปถึงฝั่งนั้นมีน้อย แต่คนที่ไปตามฝั่งนั้นมีมาก"
ถ้าใครบอกว่าการละวางเพียงเท่านี้มันง่ายก็ลองทำดู โดยเริ่มตั้งแต่ละวางความเห็นผิดว่ามีตัวเราอยู่จริงในชีวิตนี้ให้ได้เสียก่อน
อย่าเพิ่งไปฝันว่าจะไปละวางเอาทีเดียวในอนาคตหรือในชาติหน้าหรืออีกหมื่นชาติแสนชาติอย่างที่เชื่อกันอยู่
เพราะถ้าเพียงเท่านี้ก็ยังทำไม่ได้ แล้วสมมติว่าถ้าชาติหน้ามันมีจริง แล้วจะไปละมันได้อย่างไร?
ถ้าจะเอานิพพาน ต้องละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่าง
โดยเริ่มตั้งแต่ละวางความเห็น (ความเชื่อ-ความเข้าใจผิด) ว่ามีตนเองอยู่จริงในร่างกายและจิตใจนี้ก่อน (ทำลายสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลพรตปรามาส และมีดวงตาเห็นธรรม หรือมีปัญญา)
แล้วจึงมาละวางการเอาเปรียบเบียดเบียนชีวิต กามารมณ์ และทรัพย์สินของผู้อื่น (มีศีลทางกาย)
แล้วมาละวางความยึดติดในการพูดโกหก การพูดคำหยาบ การพูดเสียดสี การพูดเพ้อเจ้อ (มีศีลทางวาจา)
แล้วมาละวางความพอใจแม้เพียงเล็กน้อยในกามารมณ์ ละวางความไม่พอใจในสิ่งที่ไม่น่าพอใจแม้เพียงเล็กน้อย ละวางความคิดที่ฟุ้งซ่านอย่างน่ารำคาญใจ ละวางความง่วงซึม มึนชา และละวางความลังเลสงสัยทั้งหลายเสีย (มีสมาธิ)
อีกทั้งยังต้องมาละวางความถือว่าตัวเองดีกว่าคนอื่น หรือถือว่าตัวเองต่ำกว่าคนอื่น หรือถือว่าตัวเองเสมอผู้อื่น (ละมานะ)
สุดท้ายก็ต้องมาละวางความยึดตืดในชีวิตว่าเป็นตัวตน-ของตนเสีย (ละอัตตาวุปาทาน) จึงจะพบนิพพาน หรือความสงบเย็นของจิตในปัจจุบันได้จริง
แต่ถ้ายังละวางสิ่งทั้งหลายดังที่ได้กล่าวมานี้ไม่ได้ทั้งหมด (แม้เพียงชั่วคราว) จิตก็จะไม่พบนิพพาน ซึ่งก็คงยากที่จะมีใครทำได้จริง อย่างที่พระพุทธเจ้าบอกว่า "บุคคลที่ข้ามไปถึงฝั่งนั้นมีน้อย แต่คนที่ไปตามฝั่งนั้นมีมาก"
ถ้าใครบอกว่าการละวางเพียงเท่านี้มันง่ายก็ลองทำดู โดยเริ่มตั้งแต่ละวางความเห็นผิดว่ามีตัวเราอยู่จริงในชีวิตนี้ให้ได้เสียก่อน
อย่าเพิ่งไปฝันว่าจะไปละวางเอาทีเดียวในอนาคตหรือในชาติหน้าหรืออีกหมื่นชาติแสนชาติอย่างที่เชื่อกันอยู่
เพราะถ้าเพียงเท่านี้ก็ยังทำไม่ได้ แล้วสมมติว่าถ้าชาติหน้ามันมีจริง แล้วจะไปละมันได้อย่างไร?