รายการสามเณรปลูกปัญญา "จำไว้นะเณร คนเป็นมะเร็งคือ คนทำกรรมชั่วมา พวกเขาจึงเป็นมะเร็ง"

แม่ผมเปิดทีวีไว้ ช่องรายการสามเณรปลูกปัญญา  ผมนั่งจัดของหน้าบ้าน


"จำไว้นะเณร คนเป็นมะเร็งคือ คนทำกรรมชั่วมา พวกเขาจึงเป็นมะเร็ง"


ได้ยินแล้ว รีบเดินเข้ามา เห็นเป็นวิทยากร ใส่เสื้อขาวๆ
อธิบาย เหตุแห่งโรคมะเร็ง ให้เหล่าสามเณรฟังอยู่

และให้ดูภาพ คนผิดปกติปากยืดยาวออกมา (ผมทราบว้าเป็นโรคชนิดนึงแต่ไม่ทราบชื่อ)

วิทยากรสอนเณรว่า

"นี่ละกรรม ของเขา ที่เคยทำไว้ชาติปางก่อน ชาตินี้เลย กายเป็นคนหน้าเป็นหมา"

(คำพูดอาจไม่เป๊ะนะ แต่ประมาณนี้ )


และก็สอน เรื่องกรรมชั่ว และอื่นๆต่อ ซึ้งมันขัดกับทุกหลักเลยครับ



คือ มันถูกแล้วเหรอครับ ที่ให้ท่านวิทยากรท่านนั้นมา แนะนำ
ขัดกับความเป็นจริง และวิทยาศาสตร์ ขนาดนี้ ในรายการเรียลลิตี้ สามเณรปลูกปัญญา ???



แบบนี้ คนที่รักษามะเร็งอยู่ ก็ พวกทำชั่วมาทั้งนั้น น่ะสิครับ
และในคำสอน ตอนผมบวชเรียน

ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด หนังสือหลัก ไม่มีเรื่องนี้แน่ๆ
หรือ ผมศึกษาศาสนาน้อยเกินไป
ถ้าผมเข้าใจอะไรผิด ชี้แนะหน่อยครับ



โดยส่วนตัวรายการดีครับ พระครู พระอาจาร์ย สอนสั่งสิ่งดีดี หลายเรื่อง
เด็กก็อดทนดี มีซนบ้าง งอแงบ้าง  

อยากให้ปรับปรุงครับ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 5
ศาสนาพุทธสอนนะคะ เรื่องของเหตุปัจจัยให้เกิดสิ่งต่างๆ เรื่องกรรมเก่ามีผล  
และสอนว่า กรรมปัจจุบันก็มีผลเช่นกัน เรื่องพฤติกรรมการกินอาหาร การรักษาสุขภาพ การปฏิบัติตัว
อนาคตจะดีหรือร้าย ขึ้นกับสิ่งที่เราทำในปัจจุบันเป็นสำคัญที่สุด

ถ้าเชื่อแต่กรรมเก่า นั่นเป็นลัทธินอกศาสนาพุทธค่ะ เรียกลัทธิกรรมเก่า

ความคิดเห็นที่ 9
อ้าว!
อย่างนี้ปลูกความเขลาแล้วสิ ไม่ใช่ปลูกปัญญา

เคยได้ยินไหม
มีคนเล่าให้ฟัง พระบอกว่า  ชาตินี้เกิดมาเป็นผู้หญิง เพราะชาติก่อนศำส่อนทางเพศ (ไม่ได้สะกดผิด สะกดถูกโดนเซนเซอร์)
เออนะ  ช่างปลูกความเขลานะ
ความคิดเห็นที่ 3
เอิ่มมมมมมมมมม
ประเทศเราอยู่กะความเชื่อมากไปจริงๆ
ความคิดเห็นที่ 11
กรรมเก่า-กรรมใหม่

รู้กรรมเก่าเพื่อวางแผนทำกรรมใหม่ให้ดียิ่งขึ้น

            มีภิกษุณี ๒ รูปเป็นเพื่อนกัน รูปหนึ่งชื่อว่าโพธี อีกรูปหนึ่งชื่อว่าอิสิทาสี เป็นผู้บริบูรณ์ด้วยศีล ยินดีในการเพ่งฌานเป็นพหูสูต กำจัดกิเลสได้แล้ว  วันหนึ่ง หลังจากไปเที่ยวบิณฑบาตกลับมา และฉันภัตตาหารและล้างบาตรแล้ว นั่งพักอยู่ในที่อันสงัด ได้สนทนากันดังนี้ภิกษุณีโพธี "ข้าแต่พระแม่เจ้า
            อิสิทาสี พระแม่เจ้าเป็นที่น่าเลื่อมใสอยู่ แม้วัยของท่านก็ยังไม่เสื่อม ก็พระแม่เจ้าเห็นโทษอะไรจึงออกบวช" ภิกษุณีอิสิทาส "ี ข้าแต่พระแม่เจ้าโพธี ขอพระแม่เจ้าจงฟังถึงต้นเหตุที่ดิฉันออกบวช ซึ่งมีเรื่องพิสดารดังนี้"

กรรมใหม่

              โยมบิดาและมารดาของดิฉัน อยู่ในเมืองอุชเชนี เป็นเศรษฐีผู้สำรวมแล้วด้วยศีลดิฉันเป็นธิดาคนเดียวของท่านท่านจึงรักและเอ็นดูเป็นอย่างยิ่ง

              เมื่อดิฉันเจริญวัยแล้ว เศรษฐีผู้มีทรัพย์มาก เป็นสกุลอันอุดมอยู่ในเมืองสาเกต ได้มาขอดิฉันเป็นสะใภ้ ดิฉันได้ไปสู่ตระกูลของมารดาและบิดาของสามี ทำการนอบน้อมด้วยเศียรเกล้าไหว้เท้าท่านทั้งสองทุกเช้าเย็น ท่านทั้งสองสอนดิฉันอย่างไร ดิฉันก็ทำอย่างนั้น พี่หญิงน้องหญิง พี่ชายน้องชาย หรือบ่าวไพร่ของสามีไม่ว่าคนใด ดิฉันเห็นแล้วแม้ครั้งเดียว ก็มีความยำเกรงให้ ที่นั่งดิฉันต้อนรับ
ด้วยข้าวน้ำ และของเคี้ยวซึ่งเป็นของที่เขาจัดหาไว้ที่เรือนและสิ่งใดควรแก่สิ่งใดก็ให้สิ่งนั้นแก่ผู้นั้น ดิฉันลุกขึ้นแต่เช้า เข้าไปยังเรือนของสามี ล้างมือล้างเท้าที่ธรณีประตูแล้ว ประนมมือเข้าไปกราบสามี จัดหาหวีเครื่องผัดหน้า ยาหยอดตา แว่นส่องหน้ามาตบแต่งสามีเสียเองเหมือนสาวใช ้ดิฉันหุงข้าวต้มแกงเอง ล้างถ้วยชามเอง มารดาบำรุงบำเรอบุตรน้อยคนเดียวฉันใด ดิฉันก็บำเรอสามีฉันนั้น
ดิฉันมีความจงรักภักดี มีวัตรอันยอดเยี่ยม ทำการงานอันหญิงพึงทำทุกอย่าง ไม่มีความถือเนื้อถือตัว ขยันไม่เกียจคร้าน

แม้สมบูรณ์ด้วยศีลอย่างนี้ สามีก็ยังโกรธ สามีพูดกะมารดาและบิดาของเขาว่า
"ฉันจะขอลาไปแล้ว จะไม่ขออยู่ร่วมกับนางอิสิทาสี  ฉันไม่ควรจะอยู่ร่วมในเรือนหลังเดียวกับนางอิสิทาสีอีกต่อไป "

มารดาและบิดาของสามี
" ลูกเอ๋ย เจ้าอย่าพูดอย่างนั้นเลย นางอิสิทาสีเป็นบัณฑิตฉลาดรอบคอบ ขยันไม่เกียจคร้าน ไฉนจึงไม่เป็นที่ชอบใจเจ้าล่ะลูก"

สามี
" นางอิสิทาสีไม่ได้เบียดเบียนอะไรฉันเลย แต่ว่าฉันไม่อยากอยู่ร่วมกับนางอิสิทาสีเท่านั้น ฉันไม่อยากเห็น ไม่ต้องการ ฉันจะขอลาคุณพ่อและคุณแม่ไปก่อนละ "

" ข้าแต่พระแม่เจ้าโพธี เมื่อบิดาของสามีฟังคำของสามีแล้วได้ถามดิฉันว่าเจ้าได้ทำผิดอะไร สามีของเจ้าจึงจะทอดทิ้งเจ้าเช่นนี้ เจ้าจงบอกไปตามความจริงเถิด"

                ดิฉันได้ตอบท่านว่า ดิฉันไม่ได้ทำผิดอะไรเลย ทั้งไม่ได้ทำให้เขาเดือดร้อนอะไรและไม่ได้ดูหมิ่นอะไร ดิฉันจะบังอาจกล่าวคำชั่วหยาบอะไรอันเป็นเหตุให้สามีโกรธดิฉันได้เล่ามารดาและบิดาของสามีก็มีความเสียใจ ถูกความทุกข์ครอบงำแล้วเหมือนกัน แต่หวังที่จะรักษาบุตรไว้ จึงต้องจำใจนำดิฉันไปส่งคืนให้โยมบิดาที่บ้าน

              ดิฉันจึงกลายเป็นหญิงหม้ายรูปสวย ภายหลังโยมบิดาของดิฉันได้ยกดิฉันให้แก่กุลบุตรผู้มีทรัพย์สมบัติน้อยกว่าสามีเก่าครึ่งหนึ่งโดยสินสอดครึ่งหนึ่ง ต่อกับสินสอดที่เศรษฐีคนเก่าได้หมั้นดิฉันไว้ ดิฉันอยู่ที่เรือนของสามีคนที่สองเพียงหนึ่งเดือน เขาก็ได้ขับดิฉันผู้บำรุงบำเรออยู่ดังทาสี ประพฤติตัวดีมีศีลจากเรือนของเขาอีก

                ต่อมาโยมบิดาของดิฉัน ได้บอกกะชายคนหนึ่ง เป็นได้เที่ยวขอทานอยู่ว่าเจ้าจงทิ้งผ้าขี้ริ้วและหม้อเสีย จงมาเป็นลูกเขยของเราเถิด เขาอยู่กับดิฉันได้ครึ่งเดือน ก็บอกโยมบิดาของฉันว่า ท่านจงให้ผ้าขี้ริ้วหม้อและกระเบื้องขอทานแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะไปเที่ยวขอทานอีก

                 ลำดับนั้น โยมบิดามารดาและหมู่ญาติของดิฉันทั้งหมด ได้พากันถามคนขอทานนั้นว่า เจ้าประสงค์สิ่งใด ขอให้รีบบอกเร็วๆ เราจะทำสิ่งนั้นๆให้เจ้า เมื่อถูกถามถึงสาเหตุเช่นนี้ คนขอทานนั้นจึงตอบว่า ข้าพเจ้าไม่ต้องการสิ่งใดเพียงแต่ไม่ต้องการอยู่ร่วมเรือนหลังเดียวกับนางอิสิทาสีอีกต่อไป โยมบิดาจึงต้องยอมให้เขาไปตามต้องการ

                 ดิฉันคิดอยู่คนเดียวว่า จะขอลาโยมบิดามารดาไปตายหรือมิฉะนั้นก็ไปบวชเสียดีกว่า พอดีขณะนั้น พระแม่เจ้าชินทัตตาผู้ทรงไว้ซึ่งวินัยเป็นพหูสูตร มีศีลสมบูรณ์ มาเที่ยวบิณฑบาตที่สกุลโยมบิดาของดิฉัน ดิฉันเห็นท่านจึงรีบลุกไปจัดอาสนะของดิฉันถวายท่าน เมื่อท่านนั่งเสร็จแล้ว ดิฉันกราบเท้าและถวายอาหารแก่ท่าน ดิฉันเลี้ยงดูท่านด้วยข้าว น้ำ ของเคี้ยวและสิ่งที่จัดไว้ในเรือนจนอิ่มแล้ว จึงกราบเรียนท่านว่า พระแม่เจ้าดิฉันอยากบวช

                ลำดับนั้น โยมบิดาบอกกะดิฉันว่า ลูกเอ๋ย ขอเจ้าจงอยู่ประพฤติธรรมในเรือนนี้เถิด และเจ้าจงเลี้ยงดูสมณะและพราหมณ์ทั้งหลายด้วยข้าวและน้ำเถิด

                ครั้งนั้นดิฉันประนมอัญชลีร้องไห้ พูดกะโยมบิดาว่า ขอคุณพ่อได้โปรดอนุญาตให้ลูกได้บวชเถิด

ลูกจะทำกรรมเก่าให้พินาศ

                 โยมบิดาพูดกะดิฉันว่า ขอเจ้าจงบรรลุโพธิญาณแลธรรมอันประเสริฐและจงได้นิพพาน ที่พระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐทรงทำให้แจ้งแล้วเถิด

                 ดิฉันไหว้โยมบิดามารดากับพวกญาติทั้งปวง แล้วออกบวชได้ ๗ วันก็ได้บรรลุวิชชา ๓ ดิฉันระลึกถึงชาติหนหลังของตนเองได้ ๗ ชาติ วิบากแห่งกรรมอันชั่วช้าได้ ซึ่งเป็นผลให้เกิดความไม่พอใจแก่สามี ดิฉันจะเล่าวิบากแห่งกรรมนั้นแก่ท่าน ขอท่านจงมีใจเป็นหนึ่งตั้งใจฟังวิบากแห่งกรรมนั้นเถิด


กรรมเก่า

                 ในสมัยนั้น ดิฉันเกิดเป็นนายช่างทอง มีทรัพย์สมบัติมากอยู่ในนครเอรกกัจฉะ เป็นคนมัวเมาลุ่มหลง เพราะความมัวเมาด้วยความเป็นหนุ่ม จึงได้คบชู้กับภรยาของชายอื่น

                ครั้นเมื่อดิฉันได้จุติ(ตาย)จากชาตินั้นแล้ว ต้องหมกไหม้อยู่ในนรกเป็นเวลานานเมื่อพ้นจากนรกนั้นแล้ว ได้ไปเกิดในท้องของนางวานร พอคลอดได้ ๗ วัน วานรใหญ่ที่เป็นหัวหน้าฝูงก็ได้กัดอวัยวะสืบพันธุ์ของดิฉันเสีย นี่เป็นผลกรรมเก่าที่ดิฉันได้คบชู้กับภรรยาของชายอื่น

                 เมื่อดิฉันทำกาละจุติจากกำเนิดวานรนั้นแล้ว ได้เกิดในท้องนางแพะตาบอดทั้งขาก็ฉิ่ง อยู่ในแคว้นสินธุ เมื่อมีอายุได้ ๑๒ ปี ก็ถูกเด็กตัดอวัยวะสืบพันธุ์ทิ้งเสีย ต่อมาก็เป็นโรค ถูกหมู่หนอนฟอนเฟะที่อวัยวะสืบพันธุ์ นี่เพราะโทษที่ได้คบชู้กับภรรยาของชายอื่น

                 ดิฉันจุติจากกำเนิดแพะนั้นแล้ว ได้ไปเกิดในท้องแม่โคของพ่อค้าคนหนึ่ง เป็นลูกโคมีขนแดงเหมือนสีครั่ง พอมีอายุได้ ๑๒ เดือนก็ถูกตอน ถูกเขาใช้เทียมไถและเข็นเกวียน ต่อมาเป็นโรคตาบอด เป็นโคกระจอก ขี้โรค นี่เป็นเพราะโทษที่ได้คบชู้กับภรรยาของชายอื่น

                 ดิฉันจุติจากกำเนิดโคนั้นแล้ว ได้ไปเกิดในเรือนของนางทาสีข้างถนน และเป็นผู้ที่จะเป็นหญิงก็ไม่ใช่ ชายก็ไม่เชิง นี่เป็นเพราะ โทษที่ได้คบชู้กับภรรยาของชายอื่น ดิฉันมีอายุได้ ๓๐ ปีก็ตายแล้วมาเกิดเป็นลูกหญิงในสกุลของช่างสานเสื่อเป็นสกุลขัดสน มีทรัพย์น้อย ถูกแต่เจ้าหนี้รุมทวงอยู่เป็นนิตย์

                 ต่อมาเมื่อเป็นหนี้มากขึ้น พ่อค้าเกวียนคนหนึ่ง มาริบทรัพย์สมบัติแล้ว ก็ฉุดเอาดิฉันลงจากเรือนไป

                 ภายหลังที่ดิฉันอายุครบ ๑๖ ปี บุตรของพ่อค้าเกวียนนั้นมีชื่อว่า 'คิรทาส'ได้เห็นดิฉันเป็นสาวรุ่น มีจิตปฎิพัทธ์รักใคร่ขอไปเป็นภรรยา แต่ว่านายคิรทาสนั้น มีภรรยาอยู่ก่อนแล้วคนหนึ่ง ซึ่งเป็นคนมีศีล ทรงคุณสมบัติ รักใคร่สามีเป็นอย่างดียิ่ง ดิฉันได้บังคับให้นายคิรทาสขับไล่ภรรยาของตนไป

                 นี่เป็นต้นเหตุให้สามีต้องหย่าร้างกับดิฉัน ผู้ได้บำรุงสามีเหมือนทาสีไป นี่เป็นผลแห่งการคบขู้กับภรรยาของชายอื่น และได้บังคับสามีให้ขับไล่ภรรยาเก่าของเขาไป ที่สุดผลแห่งบาปกรรมนั้น ดิฉันก็ได้ทำเสร็จแล้ว"


อิสิทาสีเถรีคาถา ๒๖/๕๐๐
ความคิดเห็นที่ 12
พูดได้คำเดียวว่า.......เลอะเทอะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่