.
เห็นว่าเข้าท่า ก็เลยคัดมาจากจาก ทีมวิเคราะห์ข่าวสดออนไลน์มาให้อ่านกันครับ
+++++++++++++++++++++++++++
" ระทึกโค้งท้าย เกมเดิมพันอำนาจ "
สัญญาณหลายอย่างชี้ชัดเกมเดิมพันอำนาจการเมืองที่สองฝ่ายเปิดฉากตะลุมบอนกันมาตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว เดินทางเข้าสู่ช่วงยกสุดท้าย
โดยมีการวินิจฉัยคดีโครงการจำนำข้าวของป.ป.ช. และการชี้สถานภาพ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีของศาลรัฐธรรมนูญ เป็นปัจจัยชี้ขาด
หากย้อนกลับไปดูประวัติศาสตร์การวินิจฉัยตัดสินคดีความต่างๆ ขององค์กรอิสระในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา หลายคนคงพอเดาออกว่า
สุดท้ายแล้วชะตากรรมนายกฯ หญิงคนแรกของไทย
จะซ้ำรอยกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายสมัคร สุนทรเวช และ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ 3 อดีตนายกฯ ก่อนหน้านี้หรือไม่อย่างไร
ภายใต้วิกฤตการเมืองในรอบเกือบ 6 เดือนที่ผ่านมา
จริงอยู่ถึงแม้รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ จะถูกรุกไล่ตามแผน"ทฤษฎีสมคบคิด" ของฝ่ายต่อต้าน
แต่ก็แข็งใจยืนหยัดเอาตัวรอดมาได้โดยถือเอาหลักกฎหมายและกติกาประชาธิปไตยเป็นเกราะป้องกัน บางครั้งยังใช้เกราะป้องกันดังกล่าวแทนอาวุธ รุกกลับฝ่ายตรงข้ามได้หลายครั้ง
ล่าสุดประเด็นร้อนต้อนรับปีใหม่ไทย
กรณี นายชัยเกษม นิติสิริ รมว.ยุติธรรม และ นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ในฐานะกรรมการศูนย์รักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) อ่านแถลงการณ์
เรียกร้องต่อฝ่ายต่างๆ ร่วมป้องกันวิกฤตการณ์ความรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นจากการประกาศระดมไพร่พลเตรียมจัดชุมนุมใหญ่มวลชนทั้งฝ่ายนปช.และกปปส.
ภายใต้เงื่อนไขการวินิจฉัยคดีจำนำข้าวของป.ป.ช.และการชี้สถานภาพนายกฯ ของศาลรัฐธรรมนูญ
แถลงการณ์ ศอ.รส. เนื้อหาหลักๆ พุ่งเป้าเรียกร้องไปยังป.ป.ช.และศาลรัฐธรรมนูญโดยตรง ว่าต้องทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมาตามข้อเท็จจริง ไม่เลือกปฏิบัติ และไม่เกินเลยจากรัฐธรรมนูญ
ทั้งยังเรียกร้องต่อไปยังคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือกกต.ด้วยว่า สมควรจัดให้มีการเลือกตั้งโดยเร็ว เพื่อให้มีรัฐบาลชุดใหม่เข้ามาบริหารประเทศ
เรียกร้องแกนนำนปช.และกปปส. ยุติการชุมนุม พร้อมเรียกร้องประชาชนให้งดเว้นเข้าร่วมการชุมนุมกับทุกกลุ่ม
ส่วนการแก้ไขไม่ให้เกิดสุญญากาศทางการเมือง หากศาลรัฐธรรมนูญมีมติชี้ให้น.ส.ยิ่งลักษณ์ พ้นสภาพนายกฯ ศอ.รส.เห็นว่ารัฐบาลมีความชอบที่จะทูลเกล้าฯ ขอพระบรมราชวินิจฉัยว่าครม.ต้องพ้นจากตำแหน่งด้วยหรือไม่
เพราะครม.เป็นตำแหน่งโปรดเกล้าฯ ถ้าต้องพ้นตำแหน่งก็ไม่สมควรให้ศาลรัฐธรรมนูญเป็นผู้ชี้ขาด
ซึ่งเป็นความเห็นสอดคล้องกับความเห็นของ นายชัยเกษม ที่ออกมาเปิดประเด็นเรียกเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากฝ่ายตรงข้ามได้มากพอสมควรในช่วง หยุดสงกรานต์
"หากเป็นเช่นนี้จะเสนอรัฐบาลให้ทูลเกล้าฯ ตามมาตรา 7 เพื่อขอให้พระองค์ท่านทรงมีพระบรมราชวินิจฉัย ชี้แนะว่าจะทำอย่างไร"
นายชัยเกษมระบุข้อเสนอดังกล่าวเป็นแค่การเตรียมหาทางออกไว้ล่วงหน้าเท่านั้น โดยไม่ทิ้งความหวังว่าท้ายที่สุดศาลรัฐธรรมนูญอาจจะไม่ได้วินิจฉัยออกมาในทางที่เป็นผลร้ายกับรัฐบาลก็ได้
ขณะที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยไม่ได้ผลีผลามตอบรับหรือปฏิเสธต่อแนวทางนายชัยเกษม เพราะเห็นว่าเป็นช่องทางหนึ่งที่ทำได้
แตกต่างจากกรณีคณะรัฐบุคคล นำโดยพล.อ. สายหยุด เกิดผล อดีตผบ.สส. ที่เสนอให้พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ เป็น ผู้เสนอร่างพระบรมราชโองการขึ้นทูลเกล้าฯ ให้ทรงลงพระปรมาภิไธย เพื่อหาทางออกให้ประเทศ
ซึ่งเป็นวิธีการนอกรัฐธรรมนูญ ไม่มีฐานกฎหมายรองรับ
ทั้งยังถูกมองว่ามีเจตนาเปิดทางให้เกิดนายกฯ มาตรา 7 อันเป็นแนวทางตามที่ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลผลักดันมาตลอด
ล่าสุดยังมีประเด็นชวนให้หวาดระแวง
กรณี นายสมชัย ศรีสุทธิยากร กกต. ออกมาเปิดโรดแม็ปจัดเลือกตั้งครั้งใหม่ ว่ากกต.พร้อมจัดการเลือกตั้งใหม่อย่างเร็วที่สุดภายใน 90 วัน
โดยกำหนดวันเลือกตั้งในวันอาทิตย์ที่ 20 หรือไม่ก็ 27 ก.ค. หากไม่มีอุปสรรคขัดขวาง คาดว่าจะประกาศรับรองส.ส.ใหม่ครบร้อยละ 95 ได้ราวปลายเดือนส.ค.
นั่นเท่ากับว่าจะเปิดประชุมสภาผู้แทนฯ ชุดใหม่ เพื่อเลือกประธานสภาและนายกฯ ใหม่ในเดือนก.ย. จากนั้นนายกฯ จะจัดตั้งคณะรัฐมนตรี แถลงนโยบายต่อรัฐสภาก่อนเริ่มทำงานเต็มสตรีมได้ประมาณปลายต.ค.
หากนับจากวันนี้ก็อีก 6 เดือนเต็มๆ
ที่หลายคนสงสัยก็คือ การยื้อเวลาจัดการเลือกตั้งออกไปนาน 90 วัน
สอดรับกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่ว่า เพราะ กกต.คือ 1 ในหุ้นส่วนทฤษฎีสมคบคิด ทำหน้าที่เป็นเครื่องหน่วงเวลา รอให้ศาลรัฐธรรมนูญและป.ป.ช.ลงดาบเชือดนายกฯ และรัฐบาลชุดนี้
เพื่อสร้างเงื่อนไขสุญญากาศทางการเมือง นำไปสู่การมีนายกฯ มาตรา 7 รัฐบาลที่มาจากคนกลาง และสภาประชาชน
ตามความต้องการของ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. ที่ประกาศพร้อมตั้งตนเป็นรัฏฐาธิปัตย์ ทันทีที่องค์กรอิสระองค์กรใดองค์กรหนึ่งสามารถเขี่ยนายกฯ และรัฐบาลพ้นจากอำนาจได้สำเร็จ
ภายใต้สถานการณ์เดินมาถึงจุด ชี้เป็นชี้ตาย
การที่น.ส.ยิ่งลักษณ์ ขอยืดเวลาชี้แจงต่อศาลรัฐธรรมนูญกรณีโยกย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี จากกำหนดเส้นตาย 18 เม.ย.ที่ผ่านมา ออกไปอีก 15 วัน
หรือความพยายามที่จะยื่นเรื่อง ต่อป.ป.ช. ขอเพิ่มเติมพยานปากสำคัญในการสอบสวนชี้มูลโครงการรับจำนำข้าว ถูกมองว่าเป็นเพียงแค่แท็กติกช่วงทดเจ็บ ก่อนหมดเวลาจริง
นั่นเพราะรัฐบาลต้องการรอความชัดเจนจาก กกต.ในเรื่องการกำหนดวันเลือกตั้งครั้งใหม่
เพื่อเป็นหลักประกันยืนยันต่อประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ ว่าวิกฤตความขัดแย้งทางการเมืองของไทยจะต้องได้รับการแก้ไขตามกฎกติกาประชาธิปไตยเท่านั้น
ไม่มีทางแยก ไม่มีทางเลือกอื่น
ขณะเดียวกันถึงภายนอกดูเหมือนฝ่ายต่อต้านรัฐบาลเดินเกมได้เชื่อมโยงลื่นไหล..?
แต่เชื่อว่าถึงอย่างไรก็ต้องแคร์กับกระแสสังคมโลก ที่จับตามองใกล้ชิดถึงเส้นทางอนาคตประชาธิปไตยในไทยว่าจะสะดุดหยุดลงอีกครั้งหรือไม่
แต่นั่นยังไม่น่าห่วงเท่ากับแรงกดดันเฉพาะหน้า กรณีแกนนำนปช.ประกาศเตรียมนัดชุมนุมใหญ่ก่อนศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตัดสินน.ส.ยิ่งลักษณ์ ล่วงหน้า 1 วัน
เสี่ยงต่อการเผชิญหน้ารุนแรงกับม็อบ กปปส.ของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ที่ประกาศจะระดมมวลชนชุมนุมใหญ่ทำสงครามครั้งสุดท้ายในวันเวลาเดียวกัน
เป็นความเสี่ยงต่อการเกิดความรุนแรงที่ประชาชนทั้งประเทศไม่อยากให้เกิดขึ้น
ซึ่งก็สามารถเลี่ยงได้ด้วยวิธีง่ายๆ คือการที่องค์กรอิสระทำหน้าที่วินิจฉัยตัดสินคดีความ
อย่างยุติธรรมและตรงไปตรงมาเท่านั้นเอง
บทความน่าอ่าน : ระทึกโค้งท้าย เกมเดิมพันอำนาจ
เห็นว่าเข้าท่า ก็เลยคัดมาจากจาก ทีมวิเคราะห์ข่าวสดออนไลน์มาให้อ่านกันครับ
+++++++++++++++++++++++++++
" ระทึกโค้งท้าย เกมเดิมพันอำนาจ "
สัญญาณหลายอย่างชี้ชัดเกมเดิมพันอำนาจการเมืองที่สองฝ่ายเปิดฉากตะลุมบอนกันมาตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว เดินทางเข้าสู่ช่วงยกสุดท้าย
โดยมีการวินิจฉัยคดีโครงการจำนำข้าวของป.ป.ช. และการชี้สถานภาพ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีของศาลรัฐธรรมนูญ เป็นปัจจัยชี้ขาด
หากย้อนกลับไปดูประวัติศาสตร์การวินิจฉัยตัดสินคดีความต่างๆ ขององค์กรอิสระในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา หลายคนคงพอเดาออกว่า
สุดท้ายแล้วชะตากรรมนายกฯ หญิงคนแรกของไทย
จะซ้ำรอยกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายสมัคร สุนทรเวช และ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ 3 อดีตนายกฯ ก่อนหน้านี้หรือไม่อย่างไร
ภายใต้วิกฤตการเมืองในรอบเกือบ 6 เดือนที่ผ่านมา
จริงอยู่ถึงแม้รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ จะถูกรุกไล่ตามแผน"ทฤษฎีสมคบคิด" ของฝ่ายต่อต้าน
แต่ก็แข็งใจยืนหยัดเอาตัวรอดมาได้โดยถือเอาหลักกฎหมายและกติกาประชาธิปไตยเป็นเกราะป้องกัน บางครั้งยังใช้เกราะป้องกันดังกล่าวแทนอาวุธ รุกกลับฝ่ายตรงข้ามได้หลายครั้ง
ล่าสุดประเด็นร้อนต้อนรับปีใหม่ไทย
กรณี นายชัยเกษม นิติสิริ รมว.ยุติธรรม และ นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ในฐานะกรรมการศูนย์รักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) อ่านแถลงการณ์
เรียกร้องต่อฝ่ายต่างๆ ร่วมป้องกันวิกฤตการณ์ความรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นจากการประกาศระดมไพร่พลเตรียมจัดชุมนุมใหญ่มวลชนทั้งฝ่ายนปช.และกปปส.
ภายใต้เงื่อนไขการวินิจฉัยคดีจำนำข้าวของป.ป.ช.และการชี้สถานภาพนายกฯ ของศาลรัฐธรรมนูญ
แถลงการณ์ ศอ.รส. เนื้อหาหลักๆ พุ่งเป้าเรียกร้องไปยังป.ป.ช.และศาลรัฐธรรมนูญโดยตรง ว่าต้องทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมาตามข้อเท็จจริง ไม่เลือกปฏิบัติ และไม่เกินเลยจากรัฐธรรมนูญ
ทั้งยังเรียกร้องต่อไปยังคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือกกต.ด้วยว่า สมควรจัดให้มีการเลือกตั้งโดยเร็ว เพื่อให้มีรัฐบาลชุดใหม่เข้ามาบริหารประเทศ
เรียกร้องแกนนำนปช.และกปปส. ยุติการชุมนุม พร้อมเรียกร้องประชาชนให้งดเว้นเข้าร่วมการชุมนุมกับทุกกลุ่ม
ส่วนการแก้ไขไม่ให้เกิดสุญญากาศทางการเมือง หากศาลรัฐธรรมนูญมีมติชี้ให้น.ส.ยิ่งลักษณ์ พ้นสภาพนายกฯ ศอ.รส.เห็นว่ารัฐบาลมีความชอบที่จะทูลเกล้าฯ ขอพระบรมราชวินิจฉัยว่าครม.ต้องพ้นจากตำแหน่งด้วยหรือไม่
เพราะครม.เป็นตำแหน่งโปรดเกล้าฯ ถ้าต้องพ้นตำแหน่งก็ไม่สมควรให้ศาลรัฐธรรมนูญเป็นผู้ชี้ขาด
ซึ่งเป็นความเห็นสอดคล้องกับความเห็นของ นายชัยเกษม ที่ออกมาเปิดประเด็นเรียกเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากฝ่ายตรงข้ามได้มากพอสมควรในช่วง หยุดสงกรานต์
"หากเป็นเช่นนี้จะเสนอรัฐบาลให้ทูลเกล้าฯ ตามมาตรา 7 เพื่อขอให้พระองค์ท่านทรงมีพระบรมราชวินิจฉัย ชี้แนะว่าจะทำอย่างไร"
นายชัยเกษมระบุข้อเสนอดังกล่าวเป็นแค่การเตรียมหาทางออกไว้ล่วงหน้าเท่านั้น โดยไม่ทิ้งความหวังว่าท้ายที่สุดศาลรัฐธรรมนูญอาจจะไม่ได้วินิจฉัยออกมาในทางที่เป็นผลร้ายกับรัฐบาลก็ได้
ขณะที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยไม่ได้ผลีผลามตอบรับหรือปฏิเสธต่อแนวทางนายชัยเกษม เพราะเห็นว่าเป็นช่องทางหนึ่งที่ทำได้
แตกต่างจากกรณีคณะรัฐบุคคล นำโดยพล.อ. สายหยุด เกิดผล อดีตผบ.สส. ที่เสนอให้พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ เป็น ผู้เสนอร่างพระบรมราชโองการขึ้นทูลเกล้าฯ ให้ทรงลงพระปรมาภิไธย เพื่อหาทางออกให้ประเทศ
ซึ่งเป็นวิธีการนอกรัฐธรรมนูญ ไม่มีฐานกฎหมายรองรับ
ทั้งยังถูกมองว่ามีเจตนาเปิดทางให้เกิดนายกฯ มาตรา 7 อันเป็นแนวทางตามที่ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลผลักดันมาตลอด
ล่าสุดยังมีประเด็นชวนให้หวาดระแวง
กรณี นายสมชัย ศรีสุทธิยากร กกต. ออกมาเปิดโรดแม็ปจัดเลือกตั้งครั้งใหม่ ว่ากกต.พร้อมจัดการเลือกตั้งใหม่อย่างเร็วที่สุดภายใน 90 วัน
โดยกำหนดวันเลือกตั้งในวันอาทิตย์ที่ 20 หรือไม่ก็ 27 ก.ค. หากไม่มีอุปสรรคขัดขวาง คาดว่าจะประกาศรับรองส.ส.ใหม่ครบร้อยละ 95 ได้ราวปลายเดือนส.ค.
นั่นเท่ากับว่าจะเปิดประชุมสภาผู้แทนฯ ชุดใหม่ เพื่อเลือกประธานสภาและนายกฯ ใหม่ในเดือนก.ย. จากนั้นนายกฯ จะจัดตั้งคณะรัฐมนตรี แถลงนโยบายต่อรัฐสภาก่อนเริ่มทำงานเต็มสตรีมได้ประมาณปลายต.ค.
หากนับจากวันนี้ก็อีก 6 เดือนเต็มๆ
ที่หลายคนสงสัยก็คือ การยื้อเวลาจัดการเลือกตั้งออกไปนาน 90 วัน
สอดรับกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่ว่า เพราะ กกต.คือ 1 ในหุ้นส่วนทฤษฎีสมคบคิด ทำหน้าที่เป็นเครื่องหน่วงเวลา รอให้ศาลรัฐธรรมนูญและป.ป.ช.ลงดาบเชือดนายกฯ และรัฐบาลชุดนี้
เพื่อสร้างเงื่อนไขสุญญากาศทางการเมือง นำไปสู่การมีนายกฯ มาตรา 7 รัฐบาลที่มาจากคนกลาง และสภาประชาชน
ตามความต้องการของ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. ที่ประกาศพร้อมตั้งตนเป็นรัฏฐาธิปัตย์ ทันทีที่องค์กรอิสระองค์กรใดองค์กรหนึ่งสามารถเขี่ยนายกฯ และรัฐบาลพ้นจากอำนาจได้สำเร็จ
ภายใต้สถานการณ์เดินมาถึงจุด ชี้เป็นชี้ตาย
การที่น.ส.ยิ่งลักษณ์ ขอยืดเวลาชี้แจงต่อศาลรัฐธรรมนูญกรณีโยกย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี จากกำหนดเส้นตาย 18 เม.ย.ที่ผ่านมา ออกไปอีก 15 วัน
หรือความพยายามที่จะยื่นเรื่อง ต่อป.ป.ช. ขอเพิ่มเติมพยานปากสำคัญในการสอบสวนชี้มูลโครงการรับจำนำข้าว ถูกมองว่าเป็นเพียงแค่แท็กติกช่วงทดเจ็บ ก่อนหมดเวลาจริง
นั่นเพราะรัฐบาลต้องการรอความชัดเจนจาก กกต.ในเรื่องการกำหนดวันเลือกตั้งครั้งใหม่
เพื่อเป็นหลักประกันยืนยันต่อประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ ว่าวิกฤตความขัดแย้งทางการเมืองของไทยจะต้องได้รับการแก้ไขตามกฎกติกาประชาธิปไตยเท่านั้น
ไม่มีทางแยก ไม่มีทางเลือกอื่น
ขณะเดียวกันถึงภายนอกดูเหมือนฝ่ายต่อต้านรัฐบาลเดินเกมได้เชื่อมโยงลื่นไหล..?
แต่เชื่อว่าถึงอย่างไรก็ต้องแคร์กับกระแสสังคมโลก ที่จับตามองใกล้ชิดถึงเส้นทางอนาคตประชาธิปไตยในไทยว่าจะสะดุดหยุดลงอีกครั้งหรือไม่
แต่นั่นยังไม่น่าห่วงเท่ากับแรงกดดันเฉพาะหน้า กรณีแกนนำนปช.ประกาศเตรียมนัดชุมนุมใหญ่ก่อนศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตัดสินน.ส.ยิ่งลักษณ์ ล่วงหน้า 1 วัน
เสี่ยงต่อการเผชิญหน้ารุนแรงกับม็อบ กปปส.ของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ที่ประกาศจะระดมมวลชนชุมนุมใหญ่ทำสงครามครั้งสุดท้ายในวันเวลาเดียวกัน
เป็นความเสี่ยงต่อการเกิดความรุนแรงที่ประชาชนทั้งประเทศไม่อยากให้เกิดขึ้น
ซึ่งก็สามารถเลี่ยงได้ด้วยวิธีง่ายๆ คือการที่องค์กรอิสระทำหน้าที่วินิจฉัยตัดสินคดีความ
อย่างยุติธรรมและตรงไปตรงมาเท่านั้นเอง