“แนทครับ คุณรู้สึกอย่างไรบ้าง ลุกไหวหรือเปล่า” วิลเลียมถามภรรยาเสียงอ่อนโยน เรือนาทาย่าห์เข้าเทียบท่าที่ท่าเรือหน้าสถานีแปรรูปเมื่อคืนนี้ และภรรยาของเขาที่ใช้เวลาส่วนใหญ่ในเคบินเพราะรู้สึกเมาเรือตลอดเวลา ก็ตรงเข้านอนในทันที เช้านี้ชายหนุ่มจึงไม่แน่ใจว่าหญิงสาวหายจากอาการเมาเรือแล้วหรือยัง
ณัฐญาณ์ลืมตาขึ้นพลางยิ้มให้สามี เมื่อมองเห็นแววตาแสดงความเป็นห่วงที่ชะโงกมองอยู่ไม่ไกล มือใหญ่ลูบศีรษะที่ปกคลุมด้วยเส้นผมยาวยุ่งเหยิงแผ่วเบา
“รู้สึกดีขึ้นกว่าอยู่บนเรือมากเลยค่ะวิล เดี๋ยวลุกขึ้นล้างหน้าล้างตาแล้วคงจะกลับมาเป็นปกติ” ตอบพลางผุดลุกขึ้น ก่อนที่จะหลับตาและเอนตัวลงนอนบนเตียงอีกครั้งเมื่อรู้สึกราวกับว่าโลกทั้งใบหมุนติ้ว
“ดูท่าคุณไม่ดีเลย นอนพักดีกว่านะครับ เดี๋ยวผมจะให้เอลานอร์ยกซุปเข้ามาให้ในนี้” ว่าน้ำเสียงเป็นกังวล เขาไม่เคยเห็นนาทาย่าห์ดูป่วยตลอดเวลาแบบนี้มาก่อนเลย ในตอนแรกก็คิดเพียงว่าเป็นแค่การเมาเรือธรรมดา แต่หลังจากที่หญิงสาวดูวิงเวียนและอ่อนเพลียตลอดเวลา ก็ทำให้เขาเริ่มไม่สบายใจ หากวันนี้ที่ไม่ได้อยู่บนเรือแล้วภรรยาของเขายังอาการไม่ดีขึ้น คงต้องให้นายแพทย์เออร์เนสท์มาตรวจดูเสียแล้ว
“ฉันไม่เป็นอะไรจริง ๆ ค่ะวิล เมื่อครู่คงลุกเร็วไปหน่อยเลยเวียนหัวน่ะค่ะ เดี๋ยวถ้าอาบน้ำแล้วยังไม่ดีขึ้น ฉันจะยอมนอนเป็นคนป่วยอีกวันนะคะ” ว่าแล้วก็ค่อย ๆ ลุกขึ้นจากเตียง แม้จะยังรู้สึกเวียนหัวและผะอืดผะอมอยู่บ้าง แต่ก็ไม่มากขนาดตอนที่อยู่บนเรือ หญิงสาวคิดว่าเมื่อขึ้นจากเรือแล้วอาการที่ว่าน่าจะค่อย ๆ หายไป
หลังอาหารเช้า วิลเลียมเดินไปส่งภรรยาที่เวิร์คชอปน้ำหอมตามคำยืนยันของคนป่วย
“ฉันสบายดีจริง ๆ ค่ะวิล อยากเข้าไปดูน้ำหอมหน่อย ทิ้งไปตั้งเป็นเดือน” ยืนยันน้ำเสียงหนักแน่น เพราะคนเป็นห่วงจะให้เธอนอนพักผ่อนที่บ้านท่าเดียว
“ก็ได้” ตอบอย่างไม่ชอบใจนัก แต่ไม่สามารถขัดผู้เป็นภรรยาได้ แล้วกล่าวต่อน้ำเสียงจริงจัง
“แต่ถ้ารู้สึกไม่สบายขึ้นมาอีก คุณต้องกลับมาพักผ่อน และให้คนไปบอกผมให้เร็วที่สุด เข้าใจไหมครับ นาทาย่าห์”
“เข้าใจค่ะ” ตอบพลางยิ้มเอ็นดูให้กับใบหน้ายุ่ง ๆ ของสามี
หลังชายหนุ่มลับตาไป ณัฐญาณ์เดินเข้าไปในเวิร์คชอปน้ำหอมที่ถูกทิ้งไปเสียนาน หญิงสาวเรียกหาคนงานให้ไปเก็บดอกมะลิและพุดซ้อนที่ตอนนี้บานสะพรั่งเต็มสวนไปหมด เนื่องจากเป็นฤดูใบไม้ผลิ จากนั้นเดินตรงไปยังชั้นเก็บหลอดแก้วตัวอย่างน้ำหอมที่เธอพยายามทดลองผสมให้ได้กลิ่นที่ต้องการ
หญิงสาวหยิบหลอดแก้วที่มีสลากเขียนบอกว่าเป็นน้ำมันหอมจากดอกพุดซ้อน ซึ่งเป็นกลิ่นที่เธอโปรดปราน จัดการเปิดฝาออกและก้มลงสูดกลิ่นที่เคยทำให้รู้สึกหลงใหล หากแต่วันนี้หญิงสาวกลับปิดฝาหลอดแก้วนั้นแทบไม่ทัน เมื่อกลิ่นที่ฟุ้งออกมาสัมผัสนาสิกประสาทนั้น เหม็นจนทำให้อาการผะอืดผะอมที่รู้สึกเล็กน้อยเมื่อเช้านี้กลับมาอย่างรุนแรง จนต้องวิ่งออกไปอาเจียนตรงโคนต้นไม้จนหมดไส้หมดพุง!
“น้ำมันหอมมันจะเน่าได้หรือเปล่านะ ทำไมเหม็นแบบนี้” หญิงสาวพึมพำกับตนเองเบา ๆ หลังจากที่พยุงตัวเองกลับเข้ามาในอาคารเวิร์คชอปอีกครั้ง
นอกจากอาการผะอืดผะอมจะกลับมาจนทำให้อาเจียนแล้ว หญิงสาวยังรู้สึกวิงเวียนเหมือนกับตอนอยู่บนเรือ จนต้องนั่งนิ่ง ๆ สักครู่ ก่อนจะพยายามทรงตัวเดินไปยังชั้นเก็บหลอดแก้วอีกครั้ง และหยิบน้ำหอมที่ผสมแล้วออกมาหลายหลอด
อาการวิงเวียนจู่โจมหญิงสาวอย่างรุนแรงในทันทีที่เปิดฝาหลอดน้ำหอมหลอดแรกจนต้องรีบปิดฝา ณัฐญาณ์นั่งหลับตานิ่ง ๆ ด้วยหวังว่าอาการวิงเวียนที่รู้สึกอยู่จะดีขึ้น แต่ยิ่งอยู่ท่ามกลางกลิ่นน้ำหอมที่ยังคงลอยอ้อยอิ่งอยู่ในอากาศ อาการวิงเวียนและผะอืดผะอมยิ่งดูจะรุนแรงขึ้น จนในที่สุดหญิงสาวก็ยอมแพ้ เรียกหาเอลานอร์ให้พากลับไปนอนพักผ่อนที่บ้าน โดยไม่ได้บอกให้สามีรู้แต่อย่างใด เพราะไม่อยากให้เขาเป็นกังวล ตั้งใจว่าหากเย็นนี้ยังไม่รู้สึกดีขึ้น คงต้องยอมให้นายแพทย์เออร์เนสท์มาตรวจดูอย่างที่ชายหนุ่มบอกเมื่อเช้า
นอกจากกลิ่นน้ำหอมที่ทำให้เธอรู้สึกไม่สบายแล้ว ณัฐญาณ์พบว่า แม้แต่อาหารกลางวันที่เอลานอร์ยกเข้ามาให้ถึงในห้องนอน ก็ทำให้เธออาเจียนได้หลังจากรับประทานเข้าไปเพียงไม่กี่ช้อน!
จากที่ตอนแรกไม่รู้สึกกังวลกับอาการของตนเอง เพราะคิดว่าเป็นเพียงอาการเมาเรือ เมื่อขึ้นจากเรือแล้วก็คงหาย แต่เมื่อยิ่งเวลาผ่านไป อาการที่เป็นอยู่ยิ่งรุนแรงขึ้น หญิงสาวก็เริ่มตระหนก เธอป่วยหนักอะไรหรือเปล่า เธอจะตายไหม ทำไมถึงได้รู้สึกไม่สบาย อ่อนเพลีย ไม่มีเรี่ยวแรงขนาดนี้ คิดแล้วคนไม่สบายก็ร้องไห้ออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ เธอไม่ชอบอาการอ่อนแออย่างที่รู้สึกอยู่ตอนนี้เลย
ณัฐญาณ์ร้องไห้อยู่เงียบ ๆ ในขณะที่ในหัวก็คิดไปเรื่อยเปื่อย จากเรื่องนั้นมาเรื่องนี้ แล้วในที่สุดก็คิดไปถึงมารดา ทุกครั้งที่เธอไม่สบายจะมีมารดาดูแลอยู่ข้าง ๆ เสมอ ป้อนข้าว ป้อนยา แต่คราวนี้เธอมาป่วยอยู่เสียไกล ไกลเสียจนไม่มีหนทางจะได้กลับไปพบกันอีกเลย
“แม่ขา... ณัฐคิดถึงแม่เหลือเกิน” หญิงสาวพึมพำเบา ๆ และด้วยความคิดถึง ความโหยหาอาดูรที่มีต่อมารดาที่หญิงสาวรู้ว่าตลอดชีวิตนี้คงจะไม่ได้พบกันอีกแล้ว ก็ทำให้คนที่ร้องไห้อยู่เบา ๆ ในตอนแรกเปลี่ยนมาเป็นร้องไห้โฮให้สมกับความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ภายใจ ทำเอาคนที่เพิ่งเดินเข้าบ้านมาอย่างรีบเร่งหลังจากไปหาภรรยาที่เวิร์คชอปน้ำหอมแล้วคนงานบอกว่าหญิงสาวไม่สบายจนกลับบ้านมาแล้วแทบจะวิ่งเข้าไปในห้องเมื่อได้ยินเสียงร้องไห้ของเธอ
“แนท เกิดอะไรขึ้น !” ชายหนุ่มถลาเข้าไปหาคนที่นอนร้องไห้ตัวโคลงอยู่บนเตียง อ้อมแขนแกร่งเอื้อมไปโอบคนตัวเล็กกว่าขึ้นกอดแนบอก มือใหญ่ปัดผมที่ปรกหน้ารุงรังออก พลางโน้มใบหน้ากดริมฝีปากฝังจุมพิตลงไปบนหน้าผากนูนพร้อมทั้งกรีดน้ำตาให้อย่างอ่อนโยน
“เป็นอะไรครับ ร้องไห้ทำไม หือ”
เมื่อเห็นว่าเป็นใครที่กำลังกอดประคองเธอพร้อมถามไถ่ด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใย คนที่กำลังร้องไห้ก็ยิ่งปล่อยโฮมากยิ่งขึ้น
“วิล วิล คุณไปไหนมา ฮือ...”
“ผมไปทำงานไงครับแนท อยู่ที่สถานีนี่เอง ไม่สบายทำไมไม่ให้คนไปเรียกผมครับ หือคนดี ไม่ร้องนะ ผมอยู่นี่แล้ว” ชายหนุ่มปลอบประโลมลูบหลังลูบไหล่ จนคนในอ้อมแขนดูเหมือนจะค่อย ๆ สงบลง หญิงสาวเงยหน้าขึ้นพูดกับสามีเสียงอ่อนอ่อย
“วิลคะ ฉันรู้สึกไม่สบายมากเลย ไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน ทำไมมันรู้สึกแย่ ไม่มีเรี่ยวแรงแบบนี้ก็ไม่รู้สิคะ”
“ไม่เป็นไรนะครับแนท หมอเออร์เนสท์กำลังมา เดี๋ยวก็หายนะ” ชายหนุ่มปลอบคนในอ้อมแขน แม้ในใจจะรู้สึกกังวลเพียงใดก็ตาม เขาไม่เคยเห็นนาทาย่าห์เป็นแบบนี้มาก่อน และมันก็ทำให้เขากังวล จนแทบจะรอให้นายแพทย์เออร์เนสท์มาถึงไม่ไหวเลยทีเดียว
เสียงเคาะประตูเบา ๆ เรียกวิลเลียมให้หันไปทางต้นเสียงพลางเอ่ยอนุญาตเสียงไม่เบานัก
“เข้ามา”
เอลานอร์เดินเข้ามายอบตัวพลางรายงาน
“คุณหมอเออร์เนสท์มาถึงแล้ว จะให้เข้ามาเลยไหมคะ”
สิ้นคำหญิงรับใช้ วิลเลียมก้มลงมองคนในอ้อมแขน พลางบอกเสียงนุ่ม
“ผมให้หมอเออร์เนสท์เข้ามาเลยนะครับแนท” เมื่อมองเห็นภรรยาพยักหน้า ชายหนุ่มจึงหันไปกล่าวอนุญาตกับหญิงรับใช้ ซึ่งเดินกลับไปเปิดประตูให้นายแพทย์เออร์เนสท์เข้ามาในห้องนอนในทันที
วิลเลียมลุกขึ้นสัมผัสมือกับเพื่อน พลางกล่าวขอบคุณ
“ขอบคุณมากเออร์เนสท์ ฝากด้วยนะ นาทาย่าห์อาการไม่ดีมาหลายวันแล้ว และดูท่าทางวันนี้จะแย่มากกว่าทุกวันด้วย” ว่าพลางประคองคนป่วยให้ลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียง ก่อนที่จะขยับให้ผู้เป็นนายแพทย์เข้ามาดูอาการ โดยที่ตนเองขยับไปอีกฟากของเตียง มือใหญ่กุมมือเล็กกว่าไว้อย่างให้กำลังใจ
นายแพทย์เออร์เนสท์เข้าตรวจอาการของคนป่วย เมื่อวัดอุณหภูมิของร่างกายแล้วไม่พบว่ามีไข้จึงสอบถามอาการอย่างละเอียด ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมายิ้มกับผู้เป็นเพื่อนที่นั่งอยู่ข้างเตียงด้วยสีหน้าเป็นกังวล
“ฉันคิดว่าน่าจะเป็นข่าวดี”
“หมายความว่าอย่างไร” ถามอย่างไม่เข้าใจ ภรรยาของเขาป่วยหนักอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แล้วจะว่าข่าวดีได้อย่างไรกัน
“จากอาการทั้งหมดที่นาทาย่าห์บอกกับฉัน ฉันคิดว่านายกำลังจะได้เป็นพ่อคน” ผู้เป็นหมอพูดยิ้ม ๆ ในขณะที่คนฟังถึงกับเบิกตากว้าง ถามซ้ำราวกับไม่แน่ใจว่าได้ยินถูกต้อง
“นายว่าอะไรนะ ฉันจะเป็นอะไรนะ”
“ฉันว่าอาการของนาทาย่าห์ เป็นอาการของคนที่กำลังตั้งครรภ์ [1]” นายแพทย์เออร์เนสท์ตอบชัดเจน พลางหันไปยิ้มให้คนป่วยบนเตียง
“ไม่มีอะไรต้องกังวลนะครับนาทาย่าห์ อาการเหล่านี้จะค่อย ๆ ดีขึ้นจนหายไปในอีก ๒ – ๓ เดือนข้างหน้า” จากนั้นหันมาหาคนที่กำลังจะเป็นพ่อ ที่ตอนนี้ยังคงพูดไม่ออกด้วยความตื่นเต้นจากข่าวที่เพิ่งได้ยิน
“นอกจากอาการคลื่นเ
ยนวิงเวียนหรืออาเจียนแล้ว นาทาย่าห์อาจจะมีอาการน้อยอกน้อยใจที่มากกว่าปกติ มีอารมณ์แปรปรวน หรืออยากอาหารแปลก ๆ ซึ่งเป็นอาการปกติของสตรีมีครรภ์ พยายามเข้าใจเธอให้มาก ๆ พอผ่านไตรมาสแรกไปแล้ว อาการต่าง ๆ ที่ว่ามาน่าจะดีขึ้น แต่ถ้าหากมีอะไรให้วิตกกังวล ก็เรียกฉันมาตรวจดูได้ในทันที”
นายแพทย์เออร์เนสท์อธิบายถึงการปฏิบัติตัวในระหว่างที่หญิงสาวกำลังตั้งครรภ์นี้ให้กับทั้งพ่อและแม่คนใหม่ ก่อนที่จะกล่าวลาและออกไปจากห้องนอนของเจ้าของบ้าน ซึ่งเมื่อผู้เป็นนายแพทย์ลับสายตาไป วิลเลียมก็คว้าตัวคนที่นั่งเอน ๆ อยู่บนเตียงมากอดทันที
“แนท เราจะมีลูกแล้ว ดีใจไหมครับ” ก่อนที่จะละล่ำละลักถามด้วยความตกใจ เมื่อคนที่กำลังจะเป็นแม่กลับร้องไห้โฮ ไม่ใช่ยิ้มยินดีอย่างที่เขาคิดว่าเธอจะเป็น
“เป็นอะไรไปครับแนท ร้องไห้ทำไม ไม่ดีใจหรือที่เรากำลังจะมีลูก”
“วิล... ฉัน... ฉันกลัวค่ะ” หญิงสาวตอบกระท่อนกระแท่นเจือเสียงสะอื้น ทำให้ชายหนุ่มกระชับอ้อมกอดให้แน่นเข้าเพื่อปลุกปลอบคนที่ดูเหมือนกำลังเสียขวัญ ทั้ง ๆ ที่ไม่ค่อยเข้าใจนักว่าหญิงสาวกำลังกลัวอะไร
“กลัวอะไรครับแนท ผมอยู่ตรงนี้นะ ไม่มีอะไรน่ากลัว”
“กลัว... กลัวไปหมด กลัวการท้อง กลัวการคลอด ถ้าฉันตายตอนคลอดล่ะคะ” ถามน้ำเสียงหวั่นหวาด หญิงสาวไม่แน่ใจเลยว่าวิทยาการทางการแพทย์สมัยนี้ก้าวหน้าไปถึงไหนแล้ว หากการคลอดเกิดข้อผิดพลาดหรือมีปัญหา โรงพยาบาลของชายหนุ่มจะมีเครื่องไม้เครื่องมือเพียบพร้อมเหมือนสมัยใหม่หรือเปล่า ยิ่งคิดยิ่งทำให้ว่าที่คุณแม่คนใหม่ที่อารมณ์ไม่ค่อยปกติเกิดความหวาดกลัวจนต้องร้องไห้โฮออกมาอีกครั้ง
“แนท ผมอยู่ตรงนี้กับคุณเสมอ ไม่มีอะไรน่ากลัวเลย เรามีนายแพทย์เออร์เนสท์อยู่ใกล้ ๆ เรามีโรงพยาบาล ผมเชื่อว่าทุกอย่างจะต้องผ่านไปด้วยดี อย่ากังวลไปเลยนะครับ เดี๋ยวจะไม่ดีต่อลูกนะ ทำใจให้สบาย รอวันที่จะได้พบหน้าลูกดีกว่านะครับ” ชายหนุ่มปลอบใจภรรยาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน มือใหญ่กรีดเช็ดน้ำตาให้ ก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใย
“ตอนนี้คุณรู้สึกอย่างไรบ้าง ยังเวียนหัวอยู่ไหม”
“ไม่ค่อยแล้วค่ะวิล ฉันจะเวียนหัวหรือคลื่นไส้เวลาได้กลิ่นอะไรฉุน ๆ แต่วันนี้แค่กลิ่นอาหารก็ทำให้คลื่นไส้ แล้วก็กินอะไรไม่ลงเลย อาเจียนออกมาหมดค่ะ” ตอบแล้วก็ถอนหายใจ พลางพึมพำอย่างน่าสงสาร
“ไม่เคยรู้เลยว่าการแพ้ท้องมันแย่ขนาดนี้ ฉันไม่เคยรู้สึกอ่อนแอขนาดนี้มาก่อนจริง ๆ นะคะ”
“อดทนหน่อยนะครับแนท นายแพทย์เออร์เนสท์บอกว่าเดี๋ยวก็หาย แค่ช่วงไตรมาสแรกนี้เท่านั้น”
“ค่ะวิล ฉันจะพยายามค่ะ”
“ต้องอย่างนี้สิคนเก่งของผม” ว่าพลางก้มลงจุมพิตหน้าผากกลมกลึง ก่อนจะบอกเสียงเบา
“นอนพักผ่อนนะครับแนท ผมจะนั่งเฝ้าคุณอยู่ตรงนี้”
“คุณไม่กลับไปทำงานหรือคะ” แม้จะยินดีที่ผู้เป็นสามีอาสานั่งเฝ้าขณะเธอนอนหลับพักผ่อน แต่อีกใจหนึ่งซึ่งเป็นเหตุเป็นผลมากกว่า ทำให้อดถามไม่ได้
“ผมสั่งงานไว้กับคนงานแล้ว ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับผมคือคุณกับลูก ผมอยากให้คุณพักผ่อน จะได้ตื่นมาอย่างสดชื่นอย่างไรล่ะครับแนท” ตอบแล้วก็จัดแจงประคองคนท้องให้เอนตัวนอนลงไปบนเตียง พลางห่มผ้าให้อย่างเรียบร้อย
“นอนซะ ผมจะนั่งอยู่ตรงนี้ ไม่ไปไหน”
เมื่อผู้เป็นสามียืนยันเช่นนั้น ณัฐญาณ์ก็หลับตาลงอย่างว่าง่าย และเพราะร่างกายที่อ่อนเพลียและต้องการการพักผ่อน จึงทำให้หญิงสาวหลับลงในเวลาอันรวดเร็ว โดยมีผู้เป็นสามีนั่งเฝ้าอยู่อย่างไม่คลาดสายตา
สุดปลายฝัน บทที่ ๒๖
ณัฐญาณ์ลืมตาขึ้นพลางยิ้มให้สามี เมื่อมองเห็นแววตาแสดงความเป็นห่วงที่ชะโงกมองอยู่ไม่ไกล มือใหญ่ลูบศีรษะที่ปกคลุมด้วยเส้นผมยาวยุ่งเหยิงแผ่วเบา
“รู้สึกดีขึ้นกว่าอยู่บนเรือมากเลยค่ะวิล เดี๋ยวลุกขึ้นล้างหน้าล้างตาแล้วคงจะกลับมาเป็นปกติ” ตอบพลางผุดลุกขึ้น ก่อนที่จะหลับตาและเอนตัวลงนอนบนเตียงอีกครั้งเมื่อรู้สึกราวกับว่าโลกทั้งใบหมุนติ้ว
“ดูท่าคุณไม่ดีเลย นอนพักดีกว่านะครับ เดี๋ยวผมจะให้เอลานอร์ยกซุปเข้ามาให้ในนี้” ว่าน้ำเสียงเป็นกังวล เขาไม่เคยเห็นนาทาย่าห์ดูป่วยตลอดเวลาแบบนี้มาก่อนเลย ในตอนแรกก็คิดเพียงว่าเป็นแค่การเมาเรือธรรมดา แต่หลังจากที่หญิงสาวดูวิงเวียนและอ่อนเพลียตลอดเวลา ก็ทำให้เขาเริ่มไม่สบายใจ หากวันนี้ที่ไม่ได้อยู่บนเรือแล้วภรรยาของเขายังอาการไม่ดีขึ้น คงต้องให้นายแพทย์เออร์เนสท์มาตรวจดูเสียแล้ว
“ฉันไม่เป็นอะไรจริง ๆ ค่ะวิล เมื่อครู่คงลุกเร็วไปหน่อยเลยเวียนหัวน่ะค่ะ เดี๋ยวถ้าอาบน้ำแล้วยังไม่ดีขึ้น ฉันจะยอมนอนเป็นคนป่วยอีกวันนะคะ” ว่าแล้วก็ค่อย ๆ ลุกขึ้นจากเตียง แม้จะยังรู้สึกเวียนหัวและผะอืดผะอมอยู่บ้าง แต่ก็ไม่มากขนาดตอนที่อยู่บนเรือ หญิงสาวคิดว่าเมื่อขึ้นจากเรือแล้วอาการที่ว่าน่าจะค่อย ๆ หายไป
หลังอาหารเช้า วิลเลียมเดินไปส่งภรรยาที่เวิร์คชอปน้ำหอมตามคำยืนยันของคนป่วย
“ฉันสบายดีจริง ๆ ค่ะวิล อยากเข้าไปดูน้ำหอมหน่อย ทิ้งไปตั้งเป็นเดือน” ยืนยันน้ำเสียงหนักแน่น เพราะคนเป็นห่วงจะให้เธอนอนพักผ่อนที่บ้านท่าเดียว
“ก็ได้” ตอบอย่างไม่ชอบใจนัก แต่ไม่สามารถขัดผู้เป็นภรรยาได้ แล้วกล่าวต่อน้ำเสียงจริงจัง
“แต่ถ้ารู้สึกไม่สบายขึ้นมาอีก คุณต้องกลับมาพักผ่อน และให้คนไปบอกผมให้เร็วที่สุด เข้าใจไหมครับ นาทาย่าห์”
“เข้าใจค่ะ” ตอบพลางยิ้มเอ็นดูให้กับใบหน้ายุ่ง ๆ ของสามี
หลังชายหนุ่มลับตาไป ณัฐญาณ์เดินเข้าไปในเวิร์คชอปน้ำหอมที่ถูกทิ้งไปเสียนาน หญิงสาวเรียกหาคนงานให้ไปเก็บดอกมะลิและพุดซ้อนที่ตอนนี้บานสะพรั่งเต็มสวนไปหมด เนื่องจากเป็นฤดูใบไม้ผลิ จากนั้นเดินตรงไปยังชั้นเก็บหลอดแก้วตัวอย่างน้ำหอมที่เธอพยายามทดลองผสมให้ได้กลิ่นที่ต้องการ
หญิงสาวหยิบหลอดแก้วที่มีสลากเขียนบอกว่าเป็นน้ำมันหอมจากดอกพุดซ้อน ซึ่งเป็นกลิ่นที่เธอโปรดปราน จัดการเปิดฝาออกและก้มลงสูดกลิ่นที่เคยทำให้รู้สึกหลงใหล หากแต่วันนี้หญิงสาวกลับปิดฝาหลอดแก้วนั้นแทบไม่ทัน เมื่อกลิ่นที่ฟุ้งออกมาสัมผัสนาสิกประสาทนั้น เหม็นจนทำให้อาการผะอืดผะอมที่รู้สึกเล็กน้อยเมื่อเช้านี้กลับมาอย่างรุนแรง จนต้องวิ่งออกไปอาเจียนตรงโคนต้นไม้จนหมดไส้หมดพุง!
“น้ำมันหอมมันจะเน่าได้หรือเปล่านะ ทำไมเหม็นแบบนี้” หญิงสาวพึมพำกับตนเองเบา ๆ หลังจากที่พยุงตัวเองกลับเข้ามาในอาคารเวิร์คชอปอีกครั้ง
นอกจากอาการผะอืดผะอมจะกลับมาจนทำให้อาเจียนแล้ว หญิงสาวยังรู้สึกวิงเวียนเหมือนกับตอนอยู่บนเรือ จนต้องนั่งนิ่ง ๆ สักครู่ ก่อนจะพยายามทรงตัวเดินไปยังชั้นเก็บหลอดแก้วอีกครั้ง และหยิบน้ำหอมที่ผสมแล้วออกมาหลายหลอด
อาการวิงเวียนจู่โจมหญิงสาวอย่างรุนแรงในทันทีที่เปิดฝาหลอดน้ำหอมหลอดแรกจนต้องรีบปิดฝา ณัฐญาณ์นั่งหลับตานิ่ง ๆ ด้วยหวังว่าอาการวิงเวียนที่รู้สึกอยู่จะดีขึ้น แต่ยิ่งอยู่ท่ามกลางกลิ่นน้ำหอมที่ยังคงลอยอ้อยอิ่งอยู่ในอากาศ อาการวิงเวียนและผะอืดผะอมยิ่งดูจะรุนแรงขึ้น จนในที่สุดหญิงสาวก็ยอมแพ้ เรียกหาเอลานอร์ให้พากลับไปนอนพักผ่อนที่บ้าน โดยไม่ได้บอกให้สามีรู้แต่อย่างใด เพราะไม่อยากให้เขาเป็นกังวล ตั้งใจว่าหากเย็นนี้ยังไม่รู้สึกดีขึ้น คงต้องยอมให้นายแพทย์เออร์เนสท์มาตรวจดูอย่างที่ชายหนุ่มบอกเมื่อเช้า
นอกจากกลิ่นน้ำหอมที่ทำให้เธอรู้สึกไม่สบายแล้ว ณัฐญาณ์พบว่า แม้แต่อาหารกลางวันที่เอลานอร์ยกเข้ามาให้ถึงในห้องนอน ก็ทำให้เธออาเจียนได้หลังจากรับประทานเข้าไปเพียงไม่กี่ช้อน!
จากที่ตอนแรกไม่รู้สึกกังวลกับอาการของตนเอง เพราะคิดว่าเป็นเพียงอาการเมาเรือ เมื่อขึ้นจากเรือแล้วก็คงหาย แต่เมื่อยิ่งเวลาผ่านไป อาการที่เป็นอยู่ยิ่งรุนแรงขึ้น หญิงสาวก็เริ่มตระหนก เธอป่วยหนักอะไรหรือเปล่า เธอจะตายไหม ทำไมถึงได้รู้สึกไม่สบาย อ่อนเพลีย ไม่มีเรี่ยวแรงขนาดนี้ คิดแล้วคนไม่สบายก็ร้องไห้ออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ เธอไม่ชอบอาการอ่อนแออย่างที่รู้สึกอยู่ตอนนี้เลย
ณัฐญาณ์ร้องไห้อยู่เงียบ ๆ ในขณะที่ในหัวก็คิดไปเรื่อยเปื่อย จากเรื่องนั้นมาเรื่องนี้ แล้วในที่สุดก็คิดไปถึงมารดา ทุกครั้งที่เธอไม่สบายจะมีมารดาดูแลอยู่ข้าง ๆ เสมอ ป้อนข้าว ป้อนยา แต่คราวนี้เธอมาป่วยอยู่เสียไกล ไกลเสียจนไม่มีหนทางจะได้กลับไปพบกันอีกเลย
“แม่ขา... ณัฐคิดถึงแม่เหลือเกิน” หญิงสาวพึมพำเบา ๆ และด้วยความคิดถึง ความโหยหาอาดูรที่มีต่อมารดาที่หญิงสาวรู้ว่าตลอดชีวิตนี้คงจะไม่ได้พบกันอีกแล้ว ก็ทำให้คนที่ร้องไห้อยู่เบา ๆ ในตอนแรกเปลี่ยนมาเป็นร้องไห้โฮให้สมกับความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ภายใจ ทำเอาคนที่เพิ่งเดินเข้าบ้านมาอย่างรีบเร่งหลังจากไปหาภรรยาที่เวิร์คชอปน้ำหอมแล้วคนงานบอกว่าหญิงสาวไม่สบายจนกลับบ้านมาแล้วแทบจะวิ่งเข้าไปในห้องเมื่อได้ยินเสียงร้องไห้ของเธอ
“แนท เกิดอะไรขึ้น !” ชายหนุ่มถลาเข้าไปหาคนที่นอนร้องไห้ตัวโคลงอยู่บนเตียง อ้อมแขนแกร่งเอื้อมไปโอบคนตัวเล็กกว่าขึ้นกอดแนบอก มือใหญ่ปัดผมที่ปรกหน้ารุงรังออก พลางโน้มใบหน้ากดริมฝีปากฝังจุมพิตลงไปบนหน้าผากนูนพร้อมทั้งกรีดน้ำตาให้อย่างอ่อนโยน
“เป็นอะไรครับ ร้องไห้ทำไม หือ”
เมื่อเห็นว่าเป็นใครที่กำลังกอดประคองเธอพร้อมถามไถ่ด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใย คนที่กำลังร้องไห้ก็ยิ่งปล่อยโฮมากยิ่งขึ้น
“วิล วิล คุณไปไหนมา ฮือ...”
“ผมไปทำงานไงครับแนท อยู่ที่สถานีนี่เอง ไม่สบายทำไมไม่ให้คนไปเรียกผมครับ หือคนดี ไม่ร้องนะ ผมอยู่นี่แล้ว” ชายหนุ่มปลอบประโลมลูบหลังลูบไหล่ จนคนในอ้อมแขนดูเหมือนจะค่อย ๆ สงบลง หญิงสาวเงยหน้าขึ้นพูดกับสามีเสียงอ่อนอ่อย
“วิลคะ ฉันรู้สึกไม่สบายมากเลย ไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน ทำไมมันรู้สึกแย่ ไม่มีเรี่ยวแรงแบบนี้ก็ไม่รู้สิคะ”
“ไม่เป็นไรนะครับแนท หมอเออร์เนสท์กำลังมา เดี๋ยวก็หายนะ” ชายหนุ่มปลอบคนในอ้อมแขน แม้ในใจจะรู้สึกกังวลเพียงใดก็ตาม เขาไม่เคยเห็นนาทาย่าห์เป็นแบบนี้มาก่อน และมันก็ทำให้เขากังวล จนแทบจะรอให้นายแพทย์เออร์เนสท์มาถึงไม่ไหวเลยทีเดียว
เสียงเคาะประตูเบา ๆ เรียกวิลเลียมให้หันไปทางต้นเสียงพลางเอ่ยอนุญาตเสียงไม่เบานัก
“เข้ามา”
เอลานอร์เดินเข้ามายอบตัวพลางรายงาน
“คุณหมอเออร์เนสท์มาถึงแล้ว จะให้เข้ามาเลยไหมคะ”
สิ้นคำหญิงรับใช้ วิลเลียมก้มลงมองคนในอ้อมแขน พลางบอกเสียงนุ่ม
“ผมให้หมอเออร์เนสท์เข้ามาเลยนะครับแนท” เมื่อมองเห็นภรรยาพยักหน้า ชายหนุ่มจึงหันไปกล่าวอนุญาตกับหญิงรับใช้ ซึ่งเดินกลับไปเปิดประตูให้นายแพทย์เออร์เนสท์เข้ามาในห้องนอนในทันที
วิลเลียมลุกขึ้นสัมผัสมือกับเพื่อน พลางกล่าวขอบคุณ
“ขอบคุณมากเออร์เนสท์ ฝากด้วยนะ นาทาย่าห์อาการไม่ดีมาหลายวันแล้ว และดูท่าทางวันนี้จะแย่มากกว่าทุกวันด้วย” ว่าพลางประคองคนป่วยให้ลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียง ก่อนที่จะขยับให้ผู้เป็นนายแพทย์เข้ามาดูอาการ โดยที่ตนเองขยับไปอีกฟากของเตียง มือใหญ่กุมมือเล็กกว่าไว้อย่างให้กำลังใจ
นายแพทย์เออร์เนสท์เข้าตรวจอาการของคนป่วย เมื่อวัดอุณหภูมิของร่างกายแล้วไม่พบว่ามีไข้จึงสอบถามอาการอย่างละเอียด ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมายิ้มกับผู้เป็นเพื่อนที่นั่งอยู่ข้างเตียงด้วยสีหน้าเป็นกังวล
“ฉันคิดว่าน่าจะเป็นข่าวดี”
“หมายความว่าอย่างไร” ถามอย่างไม่เข้าใจ ภรรยาของเขาป่วยหนักอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แล้วจะว่าข่าวดีได้อย่างไรกัน
“จากอาการทั้งหมดที่นาทาย่าห์บอกกับฉัน ฉันคิดว่านายกำลังจะได้เป็นพ่อคน” ผู้เป็นหมอพูดยิ้ม ๆ ในขณะที่คนฟังถึงกับเบิกตากว้าง ถามซ้ำราวกับไม่แน่ใจว่าได้ยินถูกต้อง
“นายว่าอะไรนะ ฉันจะเป็นอะไรนะ”
“ฉันว่าอาการของนาทาย่าห์ เป็นอาการของคนที่กำลังตั้งครรภ์ [1]” นายแพทย์เออร์เนสท์ตอบชัดเจน พลางหันไปยิ้มให้คนป่วยบนเตียง
“ไม่มีอะไรต้องกังวลนะครับนาทาย่าห์ อาการเหล่านี้จะค่อย ๆ ดีขึ้นจนหายไปในอีก ๒ – ๓ เดือนข้างหน้า” จากนั้นหันมาหาคนที่กำลังจะเป็นพ่อ ที่ตอนนี้ยังคงพูดไม่ออกด้วยความตื่นเต้นจากข่าวที่เพิ่งได้ยิน
“นอกจากอาการคลื่นเยนวิงเวียนหรืออาเจียนแล้ว นาทาย่าห์อาจจะมีอาการน้อยอกน้อยใจที่มากกว่าปกติ มีอารมณ์แปรปรวน หรืออยากอาหารแปลก ๆ ซึ่งเป็นอาการปกติของสตรีมีครรภ์ พยายามเข้าใจเธอให้มาก ๆ พอผ่านไตรมาสแรกไปแล้ว อาการต่าง ๆ ที่ว่ามาน่าจะดีขึ้น แต่ถ้าหากมีอะไรให้วิตกกังวล ก็เรียกฉันมาตรวจดูได้ในทันที”
นายแพทย์เออร์เนสท์อธิบายถึงการปฏิบัติตัวในระหว่างที่หญิงสาวกำลังตั้งครรภ์นี้ให้กับทั้งพ่อและแม่คนใหม่ ก่อนที่จะกล่าวลาและออกไปจากห้องนอนของเจ้าของบ้าน ซึ่งเมื่อผู้เป็นนายแพทย์ลับสายตาไป วิลเลียมก็คว้าตัวคนที่นั่งเอน ๆ อยู่บนเตียงมากอดทันที
“แนท เราจะมีลูกแล้ว ดีใจไหมครับ” ก่อนที่จะละล่ำละลักถามด้วยความตกใจ เมื่อคนที่กำลังจะเป็นแม่กลับร้องไห้โฮ ไม่ใช่ยิ้มยินดีอย่างที่เขาคิดว่าเธอจะเป็น
“เป็นอะไรไปครับแนท ร้องไห้ทำไม ไม่ดีใจหรือที่เรากำลังจะมีลูก”
“วิล... ฉัน... ฉันกลัวค่ะ” หญิงสาวตอบกระท่อนกระแท่นเจือเสียงสะอื้น ทำให้ชายหนุ่มกระชับอ้อมกอดให้แน่นเข้าเพื่อปลุกปลอบคนที่ดูเหมือนกำลังเสียขวัญ ทั้ง ๆ ที่ไม่ค่อยเข้าใจนักว่าหญิงสาวกำลังกลัวอะไร
“กลัวอะไรครับแนท ผมอยู่ตรงนี้นะ ไม่มีอะไรน่ากลัว”
“กลัว... กลัวไปหมด กลัวการท้อง กลัวการคลอด ถ้าฉันตายตอนคลอดล่ะคะ” ถามน้ำเสียงหวั่นหวาด หญิงสาวไม่แน่ใจเลยว่าวิทยาการทางการแพทย์สมัยนี้ก้าวหน้าไปถึงไหนแล้ว หากการคลอดเกิดข้อผิดพลาดหรือมีปัญหา โรงพยาบาลของชายหนุ่มจะมีเครื่องไม้เครื่องมือเพียบพร้อมเหมือนสมัยใหม่หรือเปล่า ยิ่งคิดยิ่งทำให้ว่าที่คุณแม่คนใหม่ที่อารมณ์ไม่ค่อยปกติเกิดความหวาดกลัวจนต้องร้องไห้โฮออกมาอีกครั้ง
“แนท ผมอยู่ตรงนี้กับคุณเสมอ ไม่มีอะไรน่ากลัวเลย เรามีนายแพทย์เออร์เนสท์อยู่ใกล้ ๆ เรามีโรงพยาบาล ผมเชื่อว่าทุกอย่างจะต้องผ่านไปด้วยดี อย่ากังวลไปเลยนะครับ เดี๋ยวจะไม่ดีต่อลูกนะ ทำใจให้สบาย รอวันที่จะได้พบหน้าลูกดีกว่านะครับ” ชายหนุ่มปลอบใจภรรยาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน มือใหญ่กรีดเช็ดน้ำตาให้ ก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใย
“ตอนนี้คุณรู้สึกอย่างไรบ้าง ยังเวียนหัวอยู่ไหม”
“ไม่ค่อยแล้วค่ะวิล ฉันจะเวียนหัวหรือคลื่นไส้เวลาได้กลิ่นอะไรฉุน ๆ แต่วันนี้แค่กลิ่นอาหารก็ทำให้คลื่นไส้ แล้วก็กินอะไรไม่ลงเลย อาเจียนออกมาหมดค่ะ” ตอบแล้วก็ถอนหายใจ พลางพึมพำอย่างน่าสงสาร
“ไม่เคยรู้เลยว่าการแพ้ท้องมันแย่ขนาดนี้ ฉันไม่เคยรู้สึกอ่อนแอขนาดนี้มาก่อนจริง ๆ นะคะ”
“อดทนหน่อยนะครับแนท นายแพทย์เออร์เนสท์บอกว่าเดี๋ยวก็หาย แค่ช่วงไตรมาสแรกนี้เท่านั้น”
“ค่ะวิล ฉันจะพยายามค่ะ”
“ต้องอย่างนี้สิคนเก่งของผม” ว่าพลางก้มลงจุมพิตหน้าผากกลมกลึง ก่อนจะบอกเสียงเบา
“นอนพักผ่อนนะครับแนท ผมจะนั่งเฝ้าคุณอยู่ตรงนี้”
“คุณไม่กลับไปทำงานหรือคะ” แม้จะยินดีที่ผู้เป็นสามีอาสานั่งเฝ้าขณะเธอนอนหลับพักผ่อน แต่อีกใจหนึ่งซึ่งเป็นเหตุเป็นผลมากกว่า ทำให้อดถามไม่ได้
“ผมสั่งงานไว้กับคนงานแล้ว ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับผมคือคุณกับลูก ผมอยากให้คุณพักผ่อน จะได้ตื่นมาอย่างสดชื่นอย่างไรล่ะครับแนท” ตอบแล้วก็จัดแจงประคองคนท้องให้เอนตัวนอนลงไปบนเตียง พลางห่มผ้าให้อย่างเรียบร้อย
“นอนซะ ผมจะนั่งอยู่ตรงนี้ ไม่ไปไหน”
เมื่อผู้เป็นสามียืนยันเช่นนั้น ณัฐญาณ์ก็หลับตาลงอย่างว่าง่าย และเพราะร่างกายที่อ่อนเพลียและต้องการการพักผ่อน จึงทำให้หญิงสาวหลับลงในเวลาอันรวดเร็ว โดยมีผู้เป็นสามีนั่งเฝ้าอยู่อย่างไม่คลาดสายตา