2
ชั่วโมงแนะแนว และการหายตัวไปของปานภพ
น้ำเย็นๆ ไหลเอื่อยจากฝักบัวทำให้เด็กสาวสดชื่น และรู้สึกตื่นเต็มตา อชิอาบน้ำด้วยอากัปกิริยาไม่เร่งร้อน เนื่องจากทั้งบ้านมีห้องสำหรับอาบน้ำอยู่ห้องเดียวแยกอยู่นอกตัวบ้าน อชิจึงมักจะป้องกันความวุ่นวายด้วยการตื่นแต่เช้ามาชิงอาบน้ำก่อนเพื่อที่เธอจะได้ใช้เวลากับความสะอาดส่วนตัวอย่างเต็มที่
น้ำจากฝักบัวหยุดไหลลง จังหวะเดียวกับที่หยดน้ำไหลหยดลงเรือนผมสีดำ กระทบบ่าเล็ก อชิคว้าผ้ามาพันตัวไว้ ก่อนจะเอื้อมหยิบผืนเล็กอีกผืนมาคลุมบ่ารองน้ำซึ่งหยดจากเรือนผมไว้ไม่ให้เปียกพื้น แล้วจึงเดินกลับไปที่ห้องด้วยว่าลืมเสื้อผ้าไว้ข้างบน จริงๆ แล้วอชิค่อนข้างเป็นเด็กขี้อายแม้แต่กับคนที่บ้าน แต่เนื่องจากบ้านของเธอค่อนข้างเป็นพื้นที่ส่วนตัว รวมทั้งเวลานี้ก็ยังไม่มีใครตื่นนอน เธอจึงไม่รู้สึกขัดเขินเท่าไหร่
เมื่อเข้ามาถึงห้อง เด็กสาวจัดแจงหยิบชุดที่จะใส่ ก่อนที่สายตาพลันไปสะดุดกับเจ้าของปัญหาซึ่งเธอวางไว้บริเวณโต๊ะเครื่องแป้ง มันค่อนข้างจะโดดเด่นเพราะคำว่าโต๊ะเครื่องแป้งของเธอนั้นมีแต่แป้งวางอยู่จริงๆ พอดีกับที่แสงภายในห้องกระทบกับผิวโลหะจนสะท้อนมาเตะตาเธอจนได้ อชิจึงอดไม่ได้ที่จะเดินไปดูมัน
‘ชะ...วาลา...’
‘ชวาลา...’
วูบหนึ่งที่โสตประสาทของอชิแว่วได้ยินเสียงกระซิบเรียกดุจเสียงของลมพัดผ่าน เธอเหลือบมองนอกหน้าต่าง วางกล่องโลหะลงอย่างเบามือ ก่อนจะกลับไปสวมใส่เสื้อผ้าราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
หากเธอรู้สึกติดใจนัก ที่ผิวโลหะซึ่งควรจะเย็บเยียบ....เธอกลับรู้สึกไปเองว่ามันมีไออุ่น
“เฮ้! อชิ”
เสียงหนึ่งตะโกณเรียกเธอจากทางด้านล่าง ร้อนให้เด็กสาวต้องรีบสวมเสื้อสีเหลืองอ่อนเข้าทีหัว จัดแจงเครื่องแต่งกายสักพักจึงจะชะโงกหัวออกไปนอกหน้าต่างได้
“ชานุ!”
เธอโบกมือตอบพร้อมกับรอยยิ้มกว้าง แม้จะเห็นว่าสีหน้าของเพื่อนเธอนั้นบอกบุญไม่รับเท่าไหร่
“ฉันเรียกเธอตั้งนาน เสร็จหรือยัง”
“หา?”
เด็กสาวกระพริบตา รู้ว่าชานุคงตำหนิอะไรเธอสักอย่าง แต่ก็ยังคงตอบกลับไปไม่ถูกอยู่ดี
“เสร็จหรือยางงงงง!!”
คนรออยู่ด้านล่างตระโกณซ้ำอีกครั้งด้วยเริ่มจะหงุดหงิด อชิมักจะทำเป็นใจเย็นอยู่เรื่อย นี่เป็นครั้งแรกที่เด็กสาวปล่อยให้ต้องเรียกนานขนาดนี้ ซึ่งอันที่จริงแล้วจะไปโทษอชิก็ไม่ได้ เพราะปกติแล้วคนแรกที่จะได้ยินเสียงเรียกของชานุนั้นมักจะเป็นปานภพพ่อของเธอ จากนั้นพ่อของเธอจึงจะมาเร่งเธอแทนอีกที
ทว่าในวันนี้พ่อของเธอไม่อยู่ อันเป็นเรื่องผิดวิสัยซึ่งเด็กสาวจะได้รู้ต่อจากนี้
“เสร็จแล้วๆ จะลงไปเดี๋ยวนี้!”
อชิตะโกณตอบ ก่อนจะเร่งคว้ากระเป๋าสะพายที่ทำด้วยผ้ากับพวงกุญแจ แล้วเดินออกไปอย่างห้องอย่างรวดเร็ว
...กล่องโลหะยังคงวางนิ่งอยู่ที่เดิม
“พ่อคะ!”
เด็กสาวเคาะห้องเรียก เมื่อไม่มีเสียงตอบกลับมาแสดงว่าพ่อของเธอคงไม่ได้อยู่ด้านในห้อง ทว่าครั้นเด็กสาวเดินลงบันไดมาข้างล่าง...ก็ยังคงไม่พบใครอยู่ดี
...ที่ห้องน้ำก็ไม่มี หรือจะออกไปแล้ว? เด็กสาวขมวดคิ้วยุ่ง เพราะเรื่องนี้จัดว่าเป็นเรื่องที่ค่อนข้างผิดปกติสำหรับเธอ เนื่องจากทุกครั้งที่พ่อของเธอจะไปไหนหรือออกนอกบ้าน ก็มักจะบอกให้เธอรู้ก่อนเสมอ หรือถ้าเร่งด่วนจริงๆ ก็จะแปะโน๊ตบอกไว้
อชิส่ายหัวเล็กน้อย ปัดความสงสัยออกไป ก่อนจะเร่งวิ่งออกไปหาชานุซึ่งรอเธออยู่นานแล้ว
“ยังไม่สายเสียหน่อย”
เด็กสาวยิ้มทะเล้น เมื่อเห็นว่าเพื่อนของเธอยืนหน้าบึ้งรออยู่
“แฟนฉันมาด้วยวันนี้”
ชานุเฉลย ขณะโบ้ยหน้าไปทางรั้วด้านนอก พอเด็กสาวมองตามก็พบว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งยืนรออยู่จริงๆ เพียงเท่านี้อชิก็เข้าใจอย่างกระจ่างแจ้งถึงสาเหตุที่เพื่อนของเธอหัวเสียขนาดนี้
“อ้อออ!” เด็กสาวส่งเสียงล้อเลียน “ถ้าเธอบอกแต่แรกนะ ฉันจะรีบพุ่งมาเหมือนเทเลพอร์ตเลย”
“ยังจะเล่น ใครเขาเอาเรื่องเทเลพอร์ตมาพูดเล่นๆ ”
ชานุดุ ในขณะที่ตัวเด็กสาวเองก็เพิ่งจะนึกได้ว่าตัวเองพลั้งปากด้วยความคะนองมากไป หรืออาจจะเป็นเพราะเมื่อวานเธอเพิ่งจะได้เห็นการเทเลพอร์ตมากับตาก็ได้
“เธอไปหาแฟนเธอเถอะ เดี๋ยววันนี้ฉันจะขี่จักรยานตามอยู่ด้านหลัง”
เด็กสาวยังคงทำทะเล้นกลบเกลื่อนด้วยการยักคิ้ว หากในใจเธอในยามนี้นั้นวิ่งไปถึงโรงเรียนแล้ว เธอคิดถึงเพื่อนคนสนิทของเธอ เป็นคนเดียวที่เธอไว้วางใจจะเล่าทุกเรื่องให้ฟัง ยิ่งตอนนี้มีหลายเรื่องเหลือเกินที่อัดอั้นอยู่ข้างใน
เมื่อเดินทางมาถึงโรงเรียน ชานุกับแฟนสาวของเขาก็ขอแยกตัวไปยังชั้นเรียนอื่น เธอกับชานุนั้นเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่สมัยยังเด็ก ด้วยเหตุนี้ที่บ้านของเธอจึงไว้วางใจในตัวชานุให้คอยดูแลกัน และวานให้ชานุซึ่งบ้านอยู่ใกล้เดินทางไปเรียนพร้อมกันกับอชิ ซึ่งในเรื่องนี้ออกจะทำให้ชานุรู้สึกรำคาญอยู่บ่อยครั้ง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นอชิก็ได้แต่ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ไป และแม้ว่าอชิจะเรียกขานชานุเหมือนเพื่อน แต่แท้จริงแล้วชานุแก่กว่าอชิอยู่สองปีได้ ทว่าอชิค่อนข้างเรียนเร็ว จึงเรียนรองจากชั้นของชานุอยู่แค่ชั้นปีเดียว
เครื่องแบบในการมาเรียนของที่นี่กำหนดให้นุ่งผ้านุ่งทั้งหญิงและชายเพื่อความเรียบร้อย นอกจากนั้นแล้วเครื่องแบบในการมาเรียนก็ไม่ได้กะเกณฑ์อะไรมาก อาจจะด้วยเหตุนี้จึงทำให้ความแตกต่างของเพศชายและหญิงมีการลดช่องว่างระหว่างลง อชิคิดถึงกางเกงผูกซึ่งเป็นเครื่องแบบเมื่อเธอยังเด็กซึ่งสวมใส่ได้สบาย คล้ายกับว่าเครื่องแบบที่เปลี่ยนไปเมื่อเธอโตขึ้นนั้นมีไว้เพื่อที่จะย้ำเตือนให้เราต้องรู้จักสำรวมมากขึ้น
ในวัยอย่างอชิถือเป็นวัยที่ใกล้ผู้ใหญ่แล้ว ปีหน้าต้องเริ่มการสอบเพื่อคัดเลือกเรียนต่อในระดับสูง ผู้คนในโลกใหม่นั้นจะมีช่วงวัยเยาว์ที่สั้น ช่วงวัยทำงานที่ยาวนาน ก่อนจะแก่ชราและตายลงดุจดอกไม้โรย ด้วยเหตุนี้เด็กสาวจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว
“อชิ”
ชายคนหนึ่งเอ่ยทัก ครั้นเด็กสาวหันไปเจอะก็เร่งค้อมศรีษะคำนับ
“สวัสดีค่ะอาจารย์”
“วันนี้ครูไม่มีคาบที่ต้องสอนเธอ แต่มีเรื่องอยากคุยด้วยนิดหน่อย”
อาจารย์อธิต หรืออาจารย์ที่ปรึกษาประจำห้องทอดมองเธอด้วยความเอ็นดู กระนั้นสีหน้าก็ยังแฝงความตึงเครียดอยู่ด้วยพอให้อชิสังเกตได้ อาจารย์ท่านนี้อายุอานามใกล้วัยชราแล้ว เรือนผมเริ่มมีสีขาวแซม แต่ความชราก็ไม่ได้พรากความกระตือรือร้นที่ยังคงมีอยู่เสมอในการอบรมลูกศิษ์อยู่เสมอ
“เรื่องผลการเรียนของเธอ” ผู้เป็นอาจารย์เปรย “จริงอยู่ว่ามันจัดว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดีมาก แต่ยังไม่เพียงพอสำหรับที่ที่เธออยากจะเรียนต่อหรอกนะ เธอยังต้องการการเรียนเสริม”
เด็กสาวไหวตัวเล็กน้อย เรื่องการเรียนเสริมค่อนข้างเป็นเรื่องที่ใหญ่โตสำหรับเธอ เนื่องจากว่าโดยปกติแล้วไม่ค่อยมีเด็กคนไหนต้องเรียนเสริม เพื่อนเธอสักคนก็ไม่เห็นจะมีใครคิดจะเรียนข้างนอกเพิ่มเติมแต่อย่างใด ด้วยความคิดนี้จึงทำให้อชิเริ่มจะกังวลขึ้นมา
“ประเดี๋ยวจะมีชั่วโมงแนะแนวให้เธออีกครั้ง ไม่ใช่ว่าเธอเรียนไม่ดีหรอกนะ แต่...” น้ำเสียงของอาจารย์ทอดลงนุ่มนวล เมื่อเห็นว่าลูกศิษย์ขมวดคิ้วยุ่ง “อาชีพที่เธอต้องการค่อนข้างจะพิเศษ”
“ไม่มีใครตั้งใจจะเรียนต่อที่เดียวกับหนูเลยหรือคะ”
อาจารย์ของเธอเงียบนิ่งไป...ครุ่นคิด
“ในสถาบันของเรา...ไม่มี”
จากนั้นอาจารย์ก็ปลีกตัวไปจัดการธุระอย่างอื่นต่อ ทิ้งให้เด็กสาวเดินเคว้งขึ้นบันไดไปยังห้องเรียนราวกับผีดิบ มีความคิดหลากหลายพุ่งเข้ามาในความคิดเธอ ทว่าเธอไม่อาจจัดการกับมันได้
“เฮ้ อชิ!!”
เด็กสาวสะดุ้ง หันไปทำหน้าเหรอหราใส่คนเรียก
“อ้าว มาตั้งแต่เมื่อไหร่ธีมา”
“เธอเหม่อนะ” เพื่อนหญิงของเธอทำน้ำเสียงตำหนิ ก่อนจะเริ่มไล่เรียงซักถาม “คิ้วก็ผูกกันจะเป็นโบอยู่แล้ว มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกันแน่”
เด็กสาวถอนหายใจ
“เรื่องที่ที่ฉันจะเรียนต่อ อาจารย์อธิตบอกว่าฉันควรจะต้องเรียนเสริม”
คราวนี้ธีมาอุทานออกมาเสียงดังจนคนทั้งห้องต้องหันมามอง ร้อนให้อชิต้องยิ้มแหยๆ แล้วโบกไม้โบกมือแสดงท่าที่ว่าไม่มีอะไร
“หาคนเก่งเท่าเธอนี่ยากแล้วนะอชิ! แล้วเธอก็เป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ผ่านผลทดสอบบุคลิกภาพด้านนี้ด้วย”
ท้ายประโยคธีมาเริ่มลดเสียงลงจนเกือบกระซิบ เมื่อเห็นว่าเด็กสาวทำท่าจุ๊ปากด้วยสายตาตำหนิ อันที่จริงแล้วอชิไม่ได้เก่งอะไรมากมายหรอก อาศัยว่าเป็นคนมีเป้าหมายจึงได้พยายามทำให้ได้เท่านั้นเอง ถึงกระนั้นก็ยังมีคนที่เหนือกว่าอย่างเช่นหัวหน้าห้องคนที่อยู่ตรงหน้าเธอนี่ไง
“ก็เธอไง”
“แต่ฉันไม่ผ่านผลทดสอบทางบุคลิคภาพแบบเธอ”
“ก็เธอไม่ได้สนใจด้านนี้”
อชิแย้งอย่างรวดเร็ว ไม่รู้ว่ากลายมาเป็นการถกเถียงกันตั้งแต่เมื่อไหร่
“ฟังนะอชิ การที่เธอต้องเรียนเพิ่มหมายได้หมายความว่าความสามารถของเธอมีไม่พอ แม้แต่พ่อแม่ของฉันยังพูดเลยว่าคุณสมบัติของเธอเพียบพร้อม อาจจะขาดอะไรอีกนิดหน่อยซึ่งอาจารย์ธนิตกำลังหาทางสนับสนุนเธออยู่”
เห็นเพื่อนเธอพูดด้วยท่าทางจริงจังขนาดนี้ อชิก็ได้แต่พยักหน้าลงอย่างจำยอม อันที่จริงแล้วเธอไม่ได้กลัวเรื่องว่าตัวเองมีความสามารไม่พอเท่าไหร่ เพราะใจหนึ่งเธอก็ยังไม่ได้มุ่งมั่นขนาดนั้น กลับกลายเป็นว่าการได้เจอนารานั้นทำให้เธอรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาเสียด้วยซ้ำ
‘รู้ไหมว่านักประวัติศาสตร์เป็นหนึ่งในอาชีพที่มักจะถูกล่า’
ใช่..อชิใฝ่ฝันจะเรียนประวัติศาสตร์ หากแต่เธอยังไม่แน่ใจนักว่าตนเองต้องการจะใช้ชีวิตในอนาคตโดยทำอาชีพนี้จริงๆ อีกอย่างคือเธอยังไม่ค่อยรู้อะไรเกี่ยวกับมันมาก จากประสบการณ์รอบตัวของเธอแล้วคือนักประวัติศาสตร์มักจะเป็นบุคคลที่ค่อนข้างลึกลับ พวกเขาไม่ค่อยเปิดเผยตัวตนไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม
เธอเคยปรึกษาเรื่องนี้กับแม่ ทว่าแม่ของเธอกลับเห็นด้วยง่ายๆ ราวกับรู้อยู่แล้วว่าเธอต้องการอะไร กลายเป็นพ่อของเธอเสียอีกที่มีท่าทีคัดค้าน ถึงกระนั้นก็เลือกที่จะพยายามไม่แสดงออกมาให้เธอเห็น
“อืม...ช่วงนี้ฉันมีแต่เรื่องให้ตั้งสติไม่ทัน” เด็กสาวว่าเบาๆ
“อชิ” เสียงของเด็กหนุ่มคนหนึ่งเอ่ยขัดขึ้นมาทักเธอกลางวงสนทนา เวลานี้อชิชักจะหลอนเวลามีคนเรียก “อาจารย์ธนิตเรียกเธอไปพบที่ห้องแนะแนว”
เด็กสาวสะดุ้งเล็กน้อย ลอบหันไปสบตากับธีมา
“เราค่อยคุยกัน”
ธีมาบอก ขณะแย้มรอยยิ้มให้กำลังใจ
ชวาลา ตอนที่ ๒ ชั่วโมงแนะแนว และการหายตัวไปของปานภพ
ชั่วโมงแนะแนว และการหายตัวไปของปานภพ
น้ำเย็นๆ ไหลเอื่อยจากฝักบัวทำให้เด็กสาวสดชื่น และรู้สึกตื่นเต็มตา อชิอาบน้ำด้วยอากัปกิริยาไม่เร่งร้อน เนื่องจากทั้งบ้านมีห้องสำหรับอาบน้ำอยู่ห้องเดียวแยกอยู่นอกตัวบ้าน อชิจึงมักจะป้องกันความวุ่นวายด้วยการตื่นแต่เช้ามาชิงอาบน้ำก่อนเพื่อที่เธอจะได้ใช้เวลากับความสะอาดส่วนตัวอย่างเต็มที่
น้ำจากฝักบัวหยุดไหลลง จังหวะเดียวกับที่หยดน้ำไหลหยดลงเรือนผมสีดำ กระทบบ่าเล็ก อชิคว้าผ้ามาพันตัวไว้ ก่อนจะเอื้อมหยิบผืนเล็กอีกผืนมาคลุมบ่ารองน้ำซึ่งหยดจากเรือนผมไว้ไม่ให้เปียกพื้น แล้วจึงเดินกลับไปที่ห้องด้วยว่าลืมเสื้อผ้าไว้ข้างบน จริงๆ แล้วอชิค่อนข้างเป็นเด็กขี้อายแม้แต่กับคนที่บ้าน แต่เนื่องจากบ้านของเธอค่อนข้างเป็นพื้นที่ส่วนตัว รวมทั้งเวลานี้ก็ยังไม่มีใครตื่นนอน เธอจึงไม่รู้สึกขัดเขินเท่าไหร่
เมื่อเข้ามาถึงห้อง เด็กสาวจัดแจงหยิบชุดที่จะใส่ ก่อนที่สายตาพลันไปสะดุดกับเจ้าของปัญหาซึ่งเธอวางไว้บริเวณโต๊ะเครื่องแป้ง มันค่อนข้างจะโดดเด่นเพราะคำว่าโต๊ะเครื่องแป้งของเธอนั้นมีแต่แป้งวางอยู่จริงๆ พอดีกับที่แสงภายในห้องกระทบกับผิวโลหะจนสะท้อนมาเตะตาเธอจนได้ อชิจึงอดไม่ได้ที่จะเดินไปดูมัน
‘ชะ...วาลา...’
‘ชวาลา...’
วูบหนึ่งที่โสตประสาทของอชิแว่วได้ยินเสียงกระซิบเรียกดุจเสียงของลมพัดผ่าน เธอเหลือบมองนอกหน้าต่าง วางกล่องโลหะลงอย่างเบามือ ก่อนจะกลับไปสวมใส่เสื้อผ้าราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
หากเธอรู้สึกติดใจนัก ที่ผิวโลหะซึ่งควรจะเย็บเยียบ....เธอกลับรู้สึกไปเองว่ามันมีไออุ่น
“เฮ้! อชิ”
เสียงหนึ่งตะโกณเรียกเธอจากทางด้านล่าง ร้อนให้เด็กสาวต้องรีบสวมเสื้อสีเหลืองอ่อนเข้าทีหัว จัดแจงเครื่องแต่งกายสักพักจึงจะชะโงกหัวออกไปนอกหน้าต่างได้
“ชานุ!”
เธอโบกมือตอบพร้อมกับรอยยิ้มกว้าง แม้จะเห็นว่าสีหน้าของเพื่อนเธอนั้นบอกบุญไม่รับเท่าไหร่
“ฉันเรียกเธอตั้งนาน เสร็จหรือยัง”
“หา?”
เด็กสาวกระพริบตา รู้ว่าชานุคงตำหนิอะไรเธอสักอย่าง แต่ก็ยังคงตอบกลับไปไม่ถูกอยู่ดี
“เสร็จหรือยางงงงง!!”
คนรออยู่ด้านล่างตระโกณซ้ำอีกครั้งด้วยเริ่มจะหงุดหงิด อชิมักจะทำเป็นใจเย็นอยู่เรื่อย นี่เป็นครั้งแรกที่เด็กสาวปล่อยให้ต้องเรียกนานขนาดนี้ ซึ่งอันที่จริงแล้วจะไปโทษอชิก็ไม่ได้ เพราะปกติแล้วคนแรกที่จะได้ยินเสียงเรียกของชานุนั้นมักจะเป็นปานภพพ่อของเธอ จากนั้นพ่อของเธอจึงจะมาเร่งเธอแทนอีกที
ทว่าในวันนี้พ่อของเธอไม่อยู่ อันเป็นเรื่องผิดวิสัยซึ่งเด็กสาวจะได้รู้ต่อจากนี้
“เสร็จแล้วๆ จะลงไปเดี๋ยวนี้!”
อชิตะโกณตอบ ก่อนจะเร่งคว้ากระเป๋าสะพายที่ทำด้วยผ้ากับพวงกุญแจ แล้วเดินออกไปอย่างห้องอย่างรวดเร็ว
...กล่องโลหะยังคงวางนิ่งอยู่ที่เดิม
“พ่อคะ!”
เด็กสาวเคาะห้องเรียก เมื่อไม่มีเสียงตอบกลับมาแสดงว่าพ่อของเธอคงไม่ได้อยู่ด้านในห้อง ทว่าครั้นเด็กสาวเดินลงบันไดมาข้างล่าง...ก็ยังคงไม่พบใครอยู่ดี
...ที่ห้องน้ำก็ไม่มี หรือจะออกไปแล้ว? เด็กสาวขมวดคิ้วยุ่ง เพราะเรื่องนี้จัดว่าเป็นเรื่องที่ค่อนข้างผิดปกติสำหรับเธอ เนื่องจากทุกครั้งที่พ่อของเธอจะไปไหนหรือออกนอกบ้าน ก็มักจะบอกให้เธอรู้ก่อนเสมอ หรือถ้าเร่งด่วนจริงๆ ก็จะแปะโน๊ตบอกไว้
อชิส่ายหัวเล็กน้อย ปัดความสงสัยออกไป ก่อนจะเร่งวิ่งออกไปหาชานุซึ่งรอเธออยู่นานแล้ว
“ยังไม่สายเสียหน่อย”
เด็กสาวยิ้มทะเล้น เมื่อเห็นว่าเพื่อนของเธอยืนหน้าบึ้งรออยู่
“แฟนฉันมาด้วยวันนี้”
ชานุเฉลย ขณะโบ้ยหน้าไปทางรั้วด้านนอก พอเด็กสาวมองตามก็พบว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งยืนรออยู่จริงๆ เพียงเท่านี้อชิก็เข้าใจอย่างกระจ่างแจ้งถึงสาเหตุที่เพื่อนของเธอหัวเสียขนาดนี้
“อ้อออ!” เด็กสาวส่งเสียงล้อเลียน “ถ้าเธอบอกแต่แรกนะ ฉันจะรีบพุ่งมาเหมือนเทเลพอร์ตเลย”
“ยังจะเล่น ใครเขาเอาเรื่องเทเลพอร์ตมาพูดเล่นๆ ”
ชานุดุ ในขณะที่ตัวเด็กสาวเองก็เพิ่งจะนึกได้ว่าตัวเองพลั้งปากด้วยความคะนองมากไป หรืออาจจะเป็นเพราะเมื่อวานเธอเพิ่งจะได้เห็นการเทเลพอร์ตมากับตาก็ได้
“เธอไปหาแฟนเธอเถอะ เดี๋ยววันนี้ฉันจะขี่จักรยานตามอยู่ด้านหลัง”
เด็กสาวยังคงทำทะเล้นกลบเกลื่อนด้วยการยักคิ้ว หากในใจเธอในยามนี้นั้นวิ่งไปถึงโรงเรียนแล้ว เธอคิดถึงเพื่อนคนสนิทของเธอ เป็นคนเดียวที่เธอไว้วางใจจะเล่าทุกเรื่องให้ฟัง ยิ่งตอนนี้มีหลายเรื่องเหลือเกินที่อัดอั้นอยู่ข้างใน
เมื่อเดินทางมาถึงโรงเรียน ชานุกับแฟนสาวของเขาก็ขอแยกตัวไปยังชั้นเรียนอื่น เธอกับชานุนั้นเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่สมัยยังเด็ก ด้วยเหตุนี้ที่บ้านของเธอจึงไว้วางใจในตัวชานุให้คอยดูแลกัน และวานให้ชานุซึ่งบ้านอยู่ใกล้เดินทางไปเรียนพร้อมกันกับอชิ ซึ่งในเรื่องนี้ออกจะทำให้ชานุรู้สึกรำคาญอยู่บ่อยครั้ง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นอชิก็ได้แต่ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ไป และแม้ว่าอชิจะเรียกขานชานุเหมือนเพื่อน แต่แท้จริงแล้วชานุแก่กว่าอชิอยู่สองปีได้ ทว่าอชิค่อนข้างเรียนเร็ว จึงเรียนรองจากชั้นของชานุอยู่แค่ชั้นปีเดียว
เครื่องแบบในการมาเรียนของที่นี่กำหนดให้นุ่งผ้านุ่งทั้งหญิงและชายเพื่อความเรียบร้อย นอกจากนั้นแล้วเครื่องแบบในการมาเรียนก็ไม่ได้กะเกณฑ์อะไรมาก อาจจะด้วยเหตุนี้จึงทำให้ความแตกต่างของเพศชายและหญิงมีการลดช่องว่างระหว่างลง อชิคิดถึงกางเกงผูกซึ่งเป็นเครื่องแบบเมื่อเธอยังเด็กซึ่งสวมใส่ได้สบาย คล้ายกับว่าเครื่องแบบที่เปลี่ยนไปเมื่อเธอโตขึ้นนั้นมีไว้เพื่อที่จะย้ำเตือนให้เราต้องรู้จักสำรวมมากขึ้น
ในวัยอย่างอชิถือเป็นวัยที่ใกล้ผู้ใหญ่แล้ว ปีหน้าต้องเริ่มการสอบเพื่อคัดเลือกเรียนต่อในระดับสูง ผู้คนในโลกใหม่นั้นจะมีช่วงวัยเยาว์ที่สั้น ช่วงวัยทำงานที่ยาวนาน ก่อนจะแก่ชราและตายลงดุจดอกไม้โรย ด้วยเหตุนี้เด็กสาวจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว
“อชิ”
ชายคนหนึ่งเอ่ยทัก ครั้นเด็กสาวหันไปเจอะก็เร่งค้อมศรีษะคำนับ
“สวัสดีค่ะอาจารย์”
“วันนี้ครูไม่มีคาบที่ต้องสอนเธอ แต่มีเรื่องอยากคุยด้วยนิดหน่อย”
อาจารย์อธิต หรืออาจารย์ที่ปรึกษาประจำห้องทอดมองเธอด้วยความเอ็นดู กระนั้นสีหน้าก็ยังแฝงความตึงเครียดอยู่ด้วยพอให้อชิสังเกตได้ อาจารย์ท่านนี้อายุอานามใกล้วัยชราแล้ว เรือนผมเริ่มมีสีขาวแซม แต่ความชราก็ไม่ได้พรากความกระตือรือร้นที่ยังคงมีอยู่เสมอในการอบรมลูกศิษ์อยู่เสมอ
“เรื่องผลการเรียนของเธอ” ผู้เป็นอาจารย์เปรย “จริงอยู่ว่ามันจัดว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดีมาก แต่ยังไม่เพียงพอสำหรับที่ที่เธออยากจะเรียนต่อหรอกนะ เธอยังต้องการการเรียนเสริม”
เด็กสาวไหวตัวเล็กน้อย เรื่องการเรียนเสริมค่อนข้างเป็นเรื่องที่ใหญ่โตสำหรับเธอ เนื่องจากว่าโดยปกติแล้วไม่ค่อยมีเด็กคนไหนต้องเรียนเสริม เพื่อนเธอสักคนก็ไม่เห็นจะมีใครคิดจะเรียนข้างนอกเพิ่มเติมแต่อย่างใด ด้วยความคิดนี้จึงทำให้อชิเริ่มจะกังวลขึ้นมา
“ประเดี๋ยวจะมีชั่วโมงแนะแนวให้เธออีกครั้ง ไม่ใช่ว่าเธอเรียนไม่ดีหรอกนะ แต่...” น้ำเสียงของอาจารย์ทอดลงนุ่มนวล เมื่อเห็นว่าลูกศิษย์ขมวดคิ้วยุ่ง “อาชีพที่เธอต้องการค่อนข้างจะพิเศษ”
“ไม่มีใครตั้งใจจะเรียนต่อที่เดียวกับหนูเลยหรือคะ”
อาจารย์ของเธอเงียบนิ่งไป...ครุ่นคิด
“ในสถาบันของเรา...ไม่มี”
จากนั้นอาจารย์ก็ปลีกตัวไปจัดการธุระอย่างอื่นต่อ ทิ้งให้เด็กสาวเดินเคว้งขึ้นบันไดไปยังห้องเรียนราวกับผีดิบ มีความคิดหลากหลายพุ่งเข้ามาในความคิดเธอ ทว่าเธอไม่อาจจัดการกับมันได้
“เฮ้ อชิ!!”
เด็กสาวสะดุ้ง หันไปทำหน้าเหรอหราใส่คนเรียก
“อ้าว มาตั้งแต่เมื่อไหร่ธีมา”
“เธอเหม่อนะ” เพื่อนหญิงของเธอทำน้ำเสียงตำหนิ ก่อนจะเริ่มไล่เรียงซักถาม “คิ้วก็ผูกกันจะเป็นโบอยู่แล้ว มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกันแน่”
เด็กสาวถอนหายใจ
“เรื่องที่ที่ฉันจะเรียนต่อ อาจารย์อธิตบอกว่าฉันควรจะต้องเรียนเสริม”
คราวนี้ธีมาอุทานออกมาเสียงดังจนคนทั้งห้องต้องหันมามอง ร้อนให้อชิต้องยิ้มแหยๆ แล้วโบกไม้โบกมือแสดงท่าที่ว่าไม่มีอะไร
“หาคนเก่งเท่าเธอนี่ยากแล้วนะอชิ! แล้วเธอก็เป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ผ่านผลทดสอบบุคลิกภาพด้านนี้ด้วย”
ท้ายประโยคธีมาเริ่มลดเสียงลงจนเกือบกระซิบ เมื่อเห็นว่าเด็กสาวทำท่าจุ๊ปากด้วยสายตาตำหนิ อันที่จริงแล้วอชิไม่ได้เก่งอะไรมากมายหรอก อาศัยว่าเป็นคนมีเป้าหมายจึงได้พยายามทำให้ได้เท่านั้นเอง ถึงกระนั้นก็ยังมีคนที่เหนือกว่าอย่างเช่นหัวหน้าห้องคนที่อยู่ตรงหน้าเธอนี่ไง
“ก็เธอไง”
“แต่ฉันไม่ผ่านผลทดสอบทางบุคลิคภาพแบบเธอ”
“ก็เธอไม่ได้สนใจด้านนี้”
อชิแย้งอย่างรวดเร็ว ไม่รู้ว่ากลายมาเป็นการถกเถียงกันตั้งแต่เมื่อไหร่
“ฟังนะอชิ การที่เธอต้องเรียนเพิ่มหมายได้หมายความว่าความสามารถของเธอมีไม่พอ แม้แต่พ่อแม่ของฉันยังพูดเลยว่าคุณสมบัติของเธอเพียบพร้อม อาจจะขาดอะไรอีกนิดหน่อยซึ่งอาจารย์ธนิตกำลังหาทางสนับสนุนเธออยู่”
เห็นเพื่อนเธอพูดด้วยท่าทางจริงจังขนาดนี้ อชิก็ได้แต่พยักหน้าลงอย่างจำยอม อันที่จริงแล้วเธอไม่ได้กลัวเรื่องว่าตัวเองมีความสามารไม่พอเท่าไหร่ เพราะใจหนึ่งเธอก็ยังไม่ได้มุ่งมั่นขนาดนั้น กลับกลายเป็นว่าการได้เจอนารานั้นทำให้เธอรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาเสียด้วยซ้ำ
‘รู้ไหมว่านักประวัติศาสตร์เป็นหนึ่งในอาชีพที่มักจะถูกล่า’
ใช่..อชิใฝ่ฝันจะเรียนประวัติศาสตร์ หากแต่เธอยังไม่แน่ใจนักว่าตนเองต้องการจะใช้ชีวิตในอนาคตโดยทำอาชีพนี้จริงๆ อีกอย่างคือเธอยังไม่ค่อยรู้อะไรเกี่ยวกับมันมาก จากประสบการณ์รอบตัวของเธอแล้วคือนักประวัติศาสตร์มักจะเป็นบุคคลที่ค่อนข้างลึกลับ พวกเขาไม่ค่อยเปิดเผยตัวตนไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม
เธอเคยปรึกษาเรื่องนี้กับแม่ ทว่าแม่ของเธอกลับเห็นด้วยง่ายๆ ราวกับรู้อยู่แล้วว่าเธอต้องการอะไร กลายเป็นพ่อของเธอเสียอีกที่มีท่าทีคัดค้าน ถึงกระนั้นก็เลือกที่จะพยายามไม่แสดงออกมาให้เธอเห็น
“อืม...ช่วงนี้ฉันมีแต่เรื่องให้ตั้งสติไม่ทัน” เด็กสาวว่าเบาๆ
“อชิ” เสียงของเด็กหนุ่มคนหนึ่งเอ่ยขัดขึ้นมาทักเธอกลางวงสนทนา เวลานี้อชิชักจะหลอนเวลามีคนเรียก “อาจารย์ธนิตเรียกเธอไปพบที่ห้องแนะแนว”
เด็กสาวสะดุ้งเล็กน้อย ลอบหันไปสบตากับธีมา
“เราค่อยคุยกัน”
ธีมาบอก ขณะแย้มรอยยิ้มให้กำลังใจ