ชวาลา ตอนที่ ๑๖ เด็กสาวผู้เเตกต่าง

กระทู้สนทนา
16
เด็กสาวผู้แตกต่าง


            เด็กสาวก้าวตามนารามาจนถึงหน้าห้องแห่งหนึ่ง ซึ่งเดาว่าด้านในเป็นจุดเทเลพอร์ตที่หญิงสาวพูดถึง อชิมีคำถามมากมายอยู่เต็มหัว หากแต่ในยามนี้ไม่มีอะไรสำคัญมากไปกว่าการได้เทเลพอร์ตเป็นครั้งแรก เธอรู้สึกตื่นเต้น และสงสัยเต็มกำลังว่าความรู้สึกที่เรากำลังจะได้ย้ายสสารไปยังอีกที่หนึ่งนั้นเป็นอย่างไร
            “พอเข้าไปแล้ว ส่งรหัสที่ฉันจดให้ไปตามนี้นะ” นาราบอก
            ประตูถูกเลื่อนเปิดออกโดยนารา เด็กสาวเดินตามนาราเข้าไปข้างในพร้อมกับกวาดตามองรอบด้าน รอบตัวของเธอในตอนนี้ประกอบไปด้วยผนังสีขาวเรียบลื่นทั้งสี่ด้าน เพดานด้านบนและพื้นล่างใต้ฝ่าเท้าก็เป็นลักษณะเช่นเดียวกัน ให้ความรู้สึกราวกับได้เข้ามาอยู่ในห้วงเวลาอันว่างเปล่า
            หลังจากที่เด็กสาวกวาดตาจนครบรอบ ก็พบว่านาราพิมนาราลงไปเสร็จพอดี เหลือแต่เธอซึ่งเพิ่งจะเริ่มลงมือพิมตามลงไปในนัลบ้าง หัวใจเต้นรัว พิมพ์ผิดพิมพ์ถูกจนต้องลบแก้ใหม่ไปสองรอบ รหัสที่นาราให้มานั้นเป็นเพียงรหัสง่ายๆ ประกอบไปด้วยตัวเลขและตัวอักษรเรียงมั่วๆ ใช้เวลาไม่นานก็พิมพ์เสร็จ หากแต่เด็กสาวยังรีรอที่จะกดส่ง
            “เธอไปก่อนเลยจ้ะ”
            อชิลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหลับตาปี๋แล้วลงมือส่งรหัสไป
            ความรู้สึกทั้งหมดเกิดขึ้นและจบลงในชั่วพริบตา เหมือนถูกโยนลงไปในพื้นน้ำที่เย็นจัดแล้วโผล่พ้นขึ้นมาสูดอากาศ ช่วงระหว่างนั้นอชิรู้สึกราวกับว่าลมหายใจได้ถูกริดคืนไป
            เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกที เธอก็พบว่าเธอยังคงอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมสีขาวเช่นเดิม
            …หากแต่ไม่ใช่ที่แห่งเดิมอีกต่อไป
            เด็กสาวหันหน้าไปทางด้านข้าง พบว่านารายืนอยู่ข้างๆ ในตำแหน่งเดิม และส่งยิ้มมาให้แก่เธอ

            อชิยังตกอยู่ในความมึนงงจนกระทั่งเธอได้เดินออกมาจากร้านอาหาร แม้จะเป็นร้านอาหารเช่นเดียวกันแต่เป็นคนละร้าน ด้วยโครงสร้างร้านที่ต่างออกไป ลูกค้าที่ต่างออกไป เจ้าของร้านที่เป็นคนละคนกับที่ซึ่งก่อนเธอจะเดินทางมาด้วยการเทเลพอร์ต และเมื่อเธอพ้นบริเวณร้านออกมา ก็ดูราวกับโลกได้เปลี่ยนไป
            ขณะนี้เธอกำลังอยู่ที่เขต 12
            “เราทำอย่างนั้นได้ยังไงคะ”
            เด็กสาวหันไปถามนารา สีหน้ายังดูราวกับว่าตกอยู่ในความทึ่งไม่หาย อชิเคยได้อ่านเรื่องเทเลพอร์ตมามาก เคยได้ฟังมาบ้าง และเคยเห็นจากนาราครั้งหนึ่งที่ห้องสมุด ถึงกระนั้นเมื่อได้มาสัมผัสกับตัวก็ยังคงอดทึ่งอยู่ไม่ได้
            “เราไม่ได้ย้ายที่ เพียงแต่เราเคลื่อนที่ใช่มั้ยคะ”  อชิถามซ้ำ
            “ใช่จ้ะ” นารายิ้มอย่างพึงพอใจ “เธอเคยได้ยินเรื่องแทคีออนมั้ย เรามีการค้นพบแทคีออนมาตั้งแต่ก่อนที่โลกเก่าจะล่มสลายแล้ว อันที่จริงต้องบอกว่าเทคโนโลยีที่เรามีมาจนทุกวันนี้ก็ล้วนแต่เป็นมรดกจากโลกเก่า”
            “พี่นาราหมายถึง…อนุภาคที่เคลื่อนที่ได้เร็วกว่าแสง?”
            “ใช่ เราเคลื่อนที่มาอย่างรวดเร็วด้วยการเดินทางผ่านตัวกลางที่มีความเร็วกว่าแสงอย่างแทคิออน”
            อชิพยักหน้าน้อยๆ พร้อมกับจดจำข้อมูลที่เพิ่งจะได้ยินมาเอาไว้
            “ระหว่างนี้เราจะเดินคุยกันไปจนถึงบ้านของหมอทัศนัย อยู่ไม่ไกลจากนี้หรอก อชิมีอะไรก็ถามมาได้เลยนะ ฉันรู้ตัวดีว่าทำได้ที่เป็นผู้ปกครองและครูของเธอได้แย่มาก”
            “หนูเข้าใจค่ะ ว่าพี่นารามีเรื่องต้องทำ”
             ชั่ววูบหนึ่งเด็กสาวเกือบจะห้ามปากตัวเองเอาไว้ไม่ทันแล้วถามเรื่องพ่อของเธอขึ้นมา หากแต่เพราะเรื่องของคาวานยังจำเป็นต้องเก็บเอาไว้เป็นความลับ เธอจึงทำได้เพียงแต่อดทนรอ และเชื่อใจในตัวของคาวาน
            ถึงกระนั้นเธอก็ไม่คิดจะรอเพียงอย่างเดียว เธอจะหาทางทำอะไรสักอย่าง แต่ไม่ใช่การถามนาราออกไปตรงๆ ตอนนี้แน่
อชิลอบถอนหายใจ และเริ่มต้นถามอย่างอื่นแทน
            “พี่นารา…มีเรื่องหนึ่งที่หนูไม่เข้าใจ ในเมื่อเรามีเทคโนโลยีที่ทำได้ขนาดนี้ แต่ทำไมหลายๆ คนถึงทำราวกับว่าเทคโนโลยีพวกนี้ไม่มีอยู่ล่ะคะ พวกเราเราใช้ไฟกันน้อยมาก และพึ่งพาตะเกียงที่ให้แสงไฟไม่มาก”
            “เพราะโครงการยูโทเปียจำเป็นต้องดำเนินไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป” นาราตอบเรียบๆ “จริงอยู่ว่าเรามีความรู้มากพอที่จะสร้างสิ่งประดิษฐ์ซึ่งให้ความสะดวกมากมายแก่ทุกคน แต่เพราะการล่มสลายของโลกเก่า ประชากรโลกใหม่จึงเหลือแค่เพียงหยิบมือเมื่อเทียบกับโลกเก่า ด้วยกำลังคนและทรัพยากรที่มีจำกัด…เรามีเทคโนโลยีให้พึ่งพาเพียงแต่พอเพียง”
            “อีกอย่างหนึ่งคือเทคโนโลยีเป็นสาเหตุที่ทำให้โลกเก่าล่มสลาย เมื่อเราเหลือรอดมา และได้รับอนุญาตให้เริ่มต้นใหม่ เราจึงจำเป็นจะต้องคิดทำทุกอย่างอย่างรอบคอบ”
            เด็กสาวจมดิ่งลงไปในความคิดของตัวเอง เธอจินตนาการถึงภาพที่ทุกอย่างรอบตัวเธอล้วนแต่เต็มไปด้วยสิ่งสะดวกสบาย เธอมีความรู้สึกหวาดกลัวต่อภาพนั้นอยู่ลึกๆ หากแต่ลึกลงไปอีกนั้น…เธอคิดว่าเธอฝันถึงมัน
            อชิรู้ดี เธอถูกย้ำเตือนมาตลอดว่าเทคโนโลยีนั้นเป็นดาบสองคม มีทั้งคุณประโยชน์และโทษอนันต์ ตัวเธอเองพึงพอใจกับชีวิตประจำวันทุกอย่างในตอนนี้ดี โลกรอบด้านเธอล้วนแต่สวยงาม และปราศจากสิ่งโหดร้าย แต่ทำไมเทคโนโลยีจึงต้องเป็นเรื่องลับที่ใครก็พากันไม่เอ่ยถึง และการกำจัดผู้คนจึงเป็นไปอย่างง่ายดายโดยที่ไม่มีใครต่อต้าน
            ทั้งหลายทั้งหมดนี้คือเรื่องที่ล้วนแต่ทำให้เธออึดอัดคับข้องใจ
            “ถึงเธออยากมีอยากได้เครื่องประดิษฐ์ที่อำนวยความสะดวกแก่เธอเท่าไหร่ เธอก็ไม่มีอำนาจพอจะตัดสินใจเกี่ยวกับมันหรอกอชิ” นาราเอ่ยขึ้นราวกับอ่านใจเธออก
            “…เพราะทุกอย่างขึ้นอยู่กับกฏ”
            อชิกระซิบแผ่ว ความเศร้าลึกแผ่ซ่านเข้ามาในใจ
            “ไม่ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับผู้คุมกฏ” เด็กสาวหันมองนารา “วันนี้เธอจะได้รู้ ว่าเสรีภาพความเป็นมนุษย์ของเรา ถูกพวกเงาช่วงชิงไปเท่าไหร่”

            นาราพาเด็กสาวเดินเรื่อยมาจนถึงบริเวณหน้าบ้านหลังหนึ่ง เป็นบ้านไม้รั้วขาว ขนาดกลางใกล้เคียงกับบ้านอื่นในละแวก แม้ว่าจะค่อนข้างแยกตัวออกมาไกลจากบ้านหลังอื่นก็ตาม  หลังจากที่นารากดกริ่งเรียก ไม่นานชายคนหนึ่งในวัยกลางคนก็เดินออกมาต้อนรับ ชั่ววินาทีแรกที่อชิได้เห็นชายเจ้าของบ้านเพิ่งเดินออกมาอยู่ไกลลิบๆ เธอนึกถึงเทวาขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ
            ชายวัยกลางคนเดินออกมาเปิดประตูรั้วให้พร้อมกับเชื้อเชิญให้เข้ามาในบ้านด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เขาดูคล้ายกับเทวา หากแต่มากวัยกว่า ผิวขาวกว่า ไม่ได้ใส่แว่นตา และเรือนผมสั้นไม่จัดทรง กระทั่งบรรยากาศรอบตัวก็ดูจะอบอุ่นและผ่อนคลายกว่า
            “ว่าแล้วเธอจะต้องมาเวลานี้” เจ้าของบ้านเอ่ยทักพร้อมรอยยิ้ม “ต้องมาสายจากเวลานัดนิดๆ ตามปกติของเธอ”
            หากไม่เพราะรอยยิ้มและน้ำเสียงที่ดูสบายๆ อชิคงเข้าใจว่าอีกฝ่ายกำลังตำหนิพี่นาราอยู่กลายๆ แต่จากที่เห็นดูเหมือนเขาเพียงแค่จะแสดงข้อสังเกตมากกว่า เด็กสาวมัวแต่ลอบสังเกตชายวัยกลางคนจนไม่ทันตั้งตัวเมื่อเขาเป็นฝ่ายเหลียวมองมา เจ้าของบ้านส่งยิ้มใจดีให้แก่อชิ
            “อชิจ๊ะ นี่หมอทัศนัย” นาราบอก
            “สวัสดีค่ะ”
            “ยินดีที่ได้เจอเธอนะ” หมอทัศนัยว่า “ได้เจอลูกชายฉันหรือยัง…เทวาน่ะ”
            อชิพยักหน้ารับโดยไม่แปลกใจแม้แต่น้อยที่ได้รู้ว่าหมอทัศนัยเป็นพ่อของอาจารย์เทวา ก่อนที่เธอจะฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าการตอบโดยพยักหน้านั้นเป็นการเสียมารยาท
            “เคยเจออยู่ครั้งสองครั้งค่ะ”
            “ได้คุยกันบ้างไหม”
            เด็กสาวลังเลที่จะตอบ เธอไม่แน่ใจว่าบทสนทนาโต้ตอบระหว่างเธอกับอาจารย์เทวานั้นจะมากพอที่จะบอกว่า ‘คุยกัน’ ได้ แต่ดูเหมือนว่าหมอทัศนัยจะเข้าใจ
            “เอาล่ะ ตามเข้าไปด้านในก่อนแล้วกัน ที่จริงแล้วฉันว่าพวกเราควรจะรีบร้อนให้มากกว่านี้ มีหลายเรื่องที่ฉันต้องบอกกับเธอหลังจากที่เราทำการตรวจเรียบร้อยแล้ว”
            หมอทัศนัยเดินพาพวกเขาเข้าไปในตัวบ้าน และเลยผ่านห้องรับแขกไป ก่อนที่พวกเขาจะหยุดยืนโดนหันหน้าเข้ากำแพงอันว่างเปล่าซึ่งเป็นทางตันปราศจากประตู แล้วหมอทัศนัยก็ได้สร้างความประหลาดใจให้แก่เธอโดยเขาได้ยกพื้นไม้ขึ้น เขาเพิ่งจะยกส่วนหนึ่งของพื้นขึ้น และได้เผยให้เห็นประตูลับภายใต้แผ่นไม้นั่น
            “ที่จริงแต่ก่อนเป็นช่องบันไดให้เดินลงไปได้เลย แต่ดูเหมือนว่าบางทีพวกเงาก็มีมาตรการสุ่มตรวจอยู่เหมือนกัน ฉันเลยต้องหาอะไรมาปิดๆ เผื่อไว้ ถ้าเราเดินลงไปตามทางนี้ก็จะเจอที่ที่ฉันจะใช้ตรวจเธอ”
            ชายวัยกลางคนอธิบายให้ฟังโดยที่ไม่ทันได้หันมาเห็นสีหน้างงงวยของเด็กสาวเลยด้วยซ้ำ เขาเพียงแต่คอยอธิบายให้เธอฟังอย่างใส่ใจ
            “คุณรออยู่ข้างนอกก่อนนะนารา ผมชงชาเตรียมไว้ให้แล้ว”
            หมอทัศนัยหันมาบอกนาราราวกับว่านี่เป็นเรื่องปกติที่ได้ตกลงกันมาอยู่แล้ว เด็กสาวเกือบจะเข้าใจเช่นนั้นหากไม่ทันได้สังเกตสีหน้าขุ่นเคืองของนาราที่เผยออกมาเพียงเสี้ยววินาที
            ชายวัยกลางคนดึงประตูขึ้นเปิดออก เผยให้เห็นบันไดทอดยาวลงไปสู่พื้นชั้นด้านล่าง เด็กสาวจ้องมองช่องทางนั้น ก่อนจะเหลียวมองนาราอย่างไม่สบายใจนัก เธอรู้สึกอึดอัดที่จะต้องเดินลงไปตามทางแคบๆ กับคนที่เธอเพิ่งจะรู้จัก แม้ว่าเขาจะอยู่ในฐานะที่เธอสามารถไว้วางใจได้ก็ตาม
            “ฉันจะรออยู่นี่นะ”
            นาราบอก รอยยิ้มหวานยังคงน่ามอง
            “มาเถอะอชิ”
            หมอทัศนัยว่า หลังจากที่เขาก้าวนำไปตามบันไดได้ขั้นสองขั้นแล้ว เด็กสาวหันกลับมามองเขา บอกตัวเองว่าทุกอย่างจะต้องเรียบร้อย ก่อนจะก้าวตามไปโดยมีนารายืนมองคนทั้งคู่จากเบื้องหลัง
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่