ชวาลา ตอนที่ ๔ ชั่วโมงแรกของการเรียนพิเศษ

กระทู้สนทนา

4
ชั่วโมงแรกของการเรียนพิเศษ


            อชิหยุดยืนอยู่ตรงรั้วโลหะขนาดใหญ่บริเวณหน้าโรงเรียนซึ่งขณะนี้ปิดกั้นไว้อย่างแน่นหนาต่างจากวันธรรมดาซึ่งจะเปิดกว้างไว้ ก่อนจะตัดสินใจกลับไปเข็นจักรยานแล้วเดินเลี่ยงมาทางประตูเล็กที่อยู่ถัดไป หลังจากที่ทำการเข็นจักรยานผ่านเข้ามาจอดด้านในบริเวณโรงเรียนได้สำเร็จ เธอจึงหงายข้อมือขึ้นมาดูตัวเลขที่บ่งบอกถึงวันเวลา  แล้วก็พบว่ายังเหลือเวลาอีกครึ่งชั่วโมงกว่า
            บรรยากาศภายในโรงเรียนในวันหยุดนั้นเงียบสงบจนถึงขั้นวังเวง มองไปแล้วไม่เห็นแม้กระทั่งอาจารย์ แต่มีเจ้าหน้าที่ทำงานอยู่สองสามคน ครั้นพอเด็กสาวเดินมาถึงหน้าอาคารเรียนแล้วพบว่ายังเหลือเวลาอีกพอสมควรจึงตัดสินใจแบกกระติดน้ำไปเติมจากตู้น้ำของโรงเรียน เผื่อกันเวลาคอแห้งขณะเรียน ก่อนจะจัดการตัวเองด้วยการไปทำธุระส่วนตัวที่ห้องน้ำให้เรียบร้อยด้วยไม่รู้ว่าจะต้องเรียนนานแค่ไหน
            จากนั้นก่อนจึงเวลานัดได้สิบนาที อชิก็พาตัวเองมายืนมึนอยู่หน้าห้อง 4ก. เรียบร้อยแล้ว เด็กสาวลองเคาะประตูเล็กน้อยเพื่อเป็นมารยาท หากแต่เมื่อพบว่าภายในห้องยังว่างเปล่า เธอจึงเปิดประตูออกแล้วเข้าไปนั่งรอด้านในด้วยความสงบเสงี่ยม
            เด็กสาวหงายข้อมือขึ้นมาดูอีกครั้ง ตัวเลขบอกเวลาสิบโมงเป๊ะ
            ...ประตูเลื่อนเปิดออก
            “สวัสดีค่ะอาจารย์”
            อชิรีบค้อมศรีษะลง
            “สวัสดี มานานหรือยัง”
            อาจารย์เจตน์ทักทายกลับ ขณะพาร่างที่กำลังแบกหนังสือมานั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามอชิ โดยเปิดประตูทิ้งไว้เพื่อป้องกันความเป็นส่วนตัวจนเกินไป
            “เพิ่งมาถึงค่ะ ”
            “ตามจริงแล้วคนสอนเธอไม่ใช่ครูหรอก แต่ตอนนี้อาจารย์ท่านนั้นติดธุระอยู่เขตอื่น จึงเป็นครูที่รับหน้าที่มาแทน เพื่อที่จะอธิบายให้เธอมีความเข้าใจขั้นต้นกับการเรียนประวัติศาสตร์มากขึ้นด้วย”
            “ค่ะ”
           เด็กสาวพยักหน้า อาจารย์เจตน์จึงเริ่มอธิบายต่อ
           “ก่อนอื่นแนะนำตัวก่อนว่าครูจบประวัติศาสตร์มาก่อน แต่เลือกที่จะเรียนคุรุต่อแล้วมาทำงานเป็นอาจารย์แทน”
           “ทำไมล่ะคะ”
           อชิอดถามไม่ได้ หากอาจารย์เจตน์เพียงจ้องมองเธอนิ่งๆ ก้มลงจัดแจงหนังสือบนโต๊ะ ก่อนจะเริ่มตอบคำถามของเธอด้วยท่าทีคล้ายไม่ใส่ใจ
           “ครูชอบการเป็นอาจารย์มากกว่า”
            “งานของนักประวัติศาสตร์เป็นยังไงบ้างคะ” เธอซักต่ออย่างอดไม่ได้
            “ค้นคว้าและพิสูจน์ความจริงในอดีตของยุคก่อนที่จะถึงยุคปัจจุบันของเรา รวมไปถึงโลกของเราในอดีต หรือโลกเก่า หน้าที่ของนักประวัติศาสตร์คือใช้ข้อมูลหรือความรู้ที่ได้มาทำงานร่วมกับนักจิตวิทยาหรือนักวิทยาศาสตร์อีกทีในกรณีที่เลือกจะทำด้านวิชาการ เธอพอจะรู้ใช่ไหมว่าโลกเก่าจบลงด้วยการล่มสลาย”
            “ค่ะ”
            “ประวัติศาสตร์มีอยู่เพื่อว่าไม่ให้พวกเราเลือกทางเดินที่ผิดเหมือนมนุษย์โลกเก่า” อาจารย์เจตน์ยิ้มที่ปาก หากแต่นัยน์ตาแฝงความเคร่งเครียด “และถ้าเธอเลือกประวัติศาสตร์ด้านวิทยาการโลกเก่า...เตรียมใจไว้เลยว่าเธออาจได้รู้ในสิ่งที่มากกว่านักวิทยาศาสตร์ทั่วไปเสียอีก”
            “ทำไมล่ะค่ะ ถ้าอย่างนั้นแล้วนักประวัติศาสตร์ต่างกันยังไงกับนักวิทยาศาสตร์”
            “ในการเรียนประวัติศาสตร์ ก่อนอื่นเธอจะต้องเรียนรู้ภาษาสากลของโลกเก่า และวิทยาศาสตร์พื้นฐานก็จริง...แต่สิ่งที่อาชีพสองกลุ่มนี้แตกต่างกันนั้นครูว่าค่อนข้างจะเห็นชัดอยู่นะ อย่างเช่นเธออาจจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับการทำงานของเทคโนโลยีที่เธอไม่คุ้นเคยเช่นเดียวกับคนเรียนวิทยาศาสตร์ก็จริง แต่เธอจะไม่สามารถทำอะไรกับมันได้เลย ในขณะที่นักวิทยาศาสตร์มีหน้าที่จะต้องพัฒนามันต่อไป ดังนั้นสิ่งที่ต่างกันก็คือวิธีการนำสิ่งที่เรียนไปใช้”
            อชิมีสีหน้างุนงง หากผู้เป็นอาจารย์กลับไม่แปลกใจอะไร ด้วยว่าเรื่องบางเรื่องต้องอาศัยการค่อยๆ เรียนรู้ไปหรือได้สัมผัสด้วยตนเองจึงจะเข้าใจ
            “รู้ไหมว่าเพราะอะไรคนเรียนประวัติศาสตร์จึงมีน้อย” เด็กสาวส่ายหน้า ผู้เป็นอาจารย์ขยับยิ้มก่อนอธิบายเพิ่ม “เพราะว่าประวัติศาสตร์ยังไม่มีความจำเป็นกับมนุษย์โลกใหม่ขนาดนั้น การได้รับรู้ถึงความรุ่งเรืองในอดีตรังแต่จะทำให้เกิดกิเลศ และนำไปสู่ความผิดพลาดในอดีต ด้วยเหตุนี้ในการทดสอบทางบุคลิคภาพจึงต้องมีความเข้มงวดอย่างยิ่ง เราต้องเลือกคนที่ไม่มีแนวโน้มว่าจะหลงผิด”
            “มีอีกเรื่องที่เธอต้องรู้ไว้”
            น้ำเสียงที่หนักแน่น แฝงไปด้วยความเคร่งเครียด และสายตาที่เต็มไปด้วยลับลมคมในของอาจารย์เจตน์ทำให้เด็กสาวแทบจะหยุดลมหายใจเพื่อรอฟัง
            “ผู้คุมกฎระดับสูง แท้จริงแล้วไม่ได้มาจากคนเรียนนิติ...” น้ำเสียงของอาจารย์ขาดช่วงไปด้วยความลังเล ก่อนจะกลับมาย้ำชัดอีกครั้ง ”แต่เป็นคนเรียนประวัติศาสตร์ในระดับสูง หรือคนเรียนนิติแล้วไปต่อด้านประวัติศาสตร์เท่านั้น”
            ราวกับว่าเด็กสาวตกอยู่ในความงงงัน
            “ทำไม...”
            ถ้าเช่นนั้น...แท้จริงแล้วความรู้ประวัติศาสตร์สำคัญหรือไม่สำคัญกับโลกใหม่กันแน่
            ช่างเกินกว่าที่เด็กสาวจะเข้าใจ

            เสียงเคาะประตูดังขึ้น...
            …ประตูเลื่อนออกเปิดทาง
            หญิงสาวคนหนึ่งเดินเข้ามาปรากฏกายในห้องท่ามกลางสายตาของอชิที่หันไปมองอย่างสงสัย และอาจารย์เจตน์ซึ่งเบิกตากว้างเพียงเล็กน้อย ก่อนจะปรับสีหน้าราบเรียบตามปกติ ท่ามกลางความตะลึงงันชั่วครู่ เธอยกมือขึ้นมาทัดผมไว้ที่หลังหูด้วยอาการไม่เร่งร้อน
            “ครับ?”
            อาจารย์เจตน์เอ่ยขึ้นมาเพื่อกระตุ้นให้ผู้บุกรุกแนะนำตัวเองเสียที ในขณะที่เด็กสาวเมื่อได้พิจารณาใบหน้าของผู้มาใหม่อย่างถี่ถ้วนแล้วถึงกับต้องตกตะลึงยิ่งกว่าเดิม
            “นาราค่ะ อาจารย์เจตน์”
            เธอยกยิ้มที่มุมปากยามจ้องมองอาจารย์เจตน์ ขณะที่ปรายตามามองเด็กสาวเพียงเล็กน้อย หากแต่ประกายตานั้นวาววับ
            “ขอโทษด้วยนะคะที่มาขัดจังหวะ แต่ฉันอยากจะมารับหน้าที่ต่อเอง”
            “อ้อ...ครับ”
            ท่าทีของอาจารย์เจตน์ยังคงดูสงบนิ่งเฉกเช่นเดิม ทว่าเมื่ออชิมองลอดเข้าไปในแววตาของอาจารย์ซึ่งกำลังก้มหน้าก้มตาจัดหนังสืออยู่นั้น เธอกลับเห็นร่องรอยของความไม่พึงใจ ครั้นอชิพอได้ลองมาทวนคิดอีกทีก็เห็นว่าการกระทำของนารานั้นจัดว่าค่อนข้างจะไม่ไว้หน้าอาจารย์เจตน์เลยทีเดียว
            “ขอโทษอาจารย์ด้วยจริงๆ นะคะ”
            นาราย้ำอีกครั้ง ในขณะที่อาจารย์เจตน์ยังคงไม่สบตาเธอ และมีสมาธิจดจ่ออยู่กับการจัดแจงกระแทกเหล่าหนังสือในมือสองสามครั้งลงกับโต๊ะให้เสมอกันก่อนจะลุกขึ้นยืน แล้วจึงจ้องมองกลับมาที่นาราพร้อมกับส่งยิ้มเล็กน้อยอย่างมีมารยาท
            “ไม่เป็นไรครับ...อชิ” อาจารย์หันมาเรียกเธอ “อาจารย์นาราคือคนที่รับหน้าที่มาสอนพิเศษเธอ ในทีแรกอาจารย์นาราติดธุระครูจึงมาสอนแทน แต่หลังจากนี้เธอจะต้องเรียนกับอาจารย์นารา”
            นาราจ้องมาทางอชิพร้อมกับส่งรอยยิ้มงดงามมาให้ ทว่าสายตาหลังเลนส์แว่นกรอบกลมนั้นกลบทำให้เด็กสาวรู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ
            “สวัสดีค่ะอาจารย์”
            อชิลุกขึ้นตามอาจารย์เจตน์บ้าง ก่อนจะค้อมศรีษะลงเพื่อทำความเคารพเมื่อนึกขึ้นมาได้ โดยพยายามหลีกเลี่ยงที่จะสบตากับหญิงสาว
            “ขอบคุณมากนะคะอาจารย์”
            นาราละสายตาจากอชิแล้วหันไปกล่าวขอบคุณอาจารย์เจตน์ซึ่งมีท่าทีว่ากำลังจะเดินออกไป อาจารย์เจตน์ชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้ารับแล้วเดินจากไป
            “ฝากด้วยครับ”
            นี่คือประโยคทิ้งท้าย...
            ก่อนเสียงประตูจะเลื่อนปิดลง
            “...อชิ”
            หญิงสาวเกริ่นขึ้นมาท่ามกลางความเงียบงัน ค่อยๆ หันมามองเด็กสาวอย่างแช่มช้า อชิถึงกลับยืนตัวแข็งด้วยรู้ดีว่านารานั้นจำเธอได้ นับตั้งครั้งแรกที่ได้สบตากันอชิก็ตระหนักได้ในทันทีว่าหญิงสาวสามารถจดจำเธอได้ทั้งที่การปลอมตัวของเธอในห้องสมุดวันนั้นไม่ได้มีอะไรผิดพลาด  หากแต่ด้วยเหตุผลบางประการ ….
            หญิงสาวที่เธอเคยเข้าใจว่าแปลกหน้าเมื่อครั้งนั้น กลับรู้ว่าเธอเป็นใคร
            “กลับบ้านกัน”
            “ค่ะ...ห้ะ?”
            อชินิ่งอึ้ง จ้องมองนาราราวกับว่าหญิงสาวเพิ่งจะพูดในสิ่งที่แปลกประหลาดอย่างที่สุดออกมา
            “กลับไปพร้อมกันฉัน ตอนนี้ที่บ้านของเธอกำลังมาปัญหา ระหว่างทางฉันจะอธิบายให้เธอฟังเอง”
            เด็กสาวไม่มีทางเลือก นอกจากเร่งเก็บข้าวของแล้วเดินตามนาราออกไป...

            อชิเคยได้อ่านเจอมาว่าว่าโลกเก่ามีสิ่งที่เรียกว่า ‘รถยนต์’ เป็นพาหนะที่ทำให้การเดินทางในแต่ละครั้งเป็นไปอย่างรวดเร็วกว่าพาหนะของโลกใหม่มาก หากแต่ต้องไม่นับ ‘เทเลพอร์ต’ ซึ่งไม่ค่อยเป็นที่รู้จักในกลุ่มวัยของเธอนัก และมีผู้ใช้คือกลุ่มคนทำงานเพียงไม่กี่กลุ่ม เนื่องจากสังคมของเธอมีการปลูกฝังในเรื่องการพึ่งพาตัวเองให้ได้มากที่สุด เพื่อที่มนุษย์จะยังคงเป็นนายของเทคโนโลยี และไม่ตกเป็นทาสของมัน  
            ส่วนใหญ่แล้วพวกเรารักสงบ พึงพอใจในสถานที่ที่ตนเองอยู่ แต่ก็จะมีบางกลุ่มคนที่มีความเกี่ยวข้องด้านแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระหว่างเขต เช่นพวกศิลปิน กลุ่มคนเหล่านี้จะมีการเดินทางแลกเปลี่ยนอยู่บ่อยๆ ส่งผลให้ในความเรียบง่ายของเสื้อผ้าที่พวกเราสวมใส่ ก็จะมีลวดลายแปลกใหม่มาให้เห็นได้ตลอด  หรือแม้แต่ผลงานประติมากรรม จิตรกรรมก็มีความหลากหลายตามไปด้วย
            ด้วยเหตุนี้เด็กสาวจึงเติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่งดงาม และไม่คุ้นเคยกับเรื่องร้ายๆ ที่อาจเกิดขึ้น
            “มีปัญหาอะไรกันแน่คะ”
            เด็กสาวเริ่มร้อนรน เมื่อเห็นว่านาราไม่ยอมอธิบายอะไรให้ฟังเสียที
            “ขอฉันคิดเกี่ยวกับปัญหาที่มีตอนนี้ก่อน” นาราเงียบนิ่งไปครู่หนึ่ง “ยืมม้าทางโรงเรียนไปก่อนแล้วกัน  ขี่ม้าเป็นไหม”
            เด็กสาวส่ายหน้า นึกภาพของสัตว์ตัวโตๆ ท่าทางหยิ่งยะโสและชอบสะบัดหางไปมา...ก็เคยนึกอยากขี่อยู่หรอก แต่ไม่คิดว่าจะกะทันหันขนาดนี้ ถึงกระนั้นอชิก็ไม่มีทางเลือกนอกจากเดินตามหญิงสาวซึ่งเพิ่มความเร็วของฝีเท้าขึ้นทุกที           “นักพันธุศาสตร์เราทำงานดีนะ ม้าบางพันธุ์สมัยนี้วิ่งเร็วได้พอกันกับรถแล้วมั้ง”
            เธอไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่เรียกว่ารถนั้นเร็วขนาดไหน แต่เธอเคยเห็นพ่อของเธอขี่ม้าอยู่เมื่อครั้งสมัยยังเด็กๆ ก็ไม่รู้สึกว่าเร็วเท่าไหร่นัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อไม่ค่อยได้ใช้แล้วมันก็เริ่มกินๆ นอนๆ มากขึ้นจนดูไม่น่าจะขี่ไปไหนไกลได้ไหว
            หากแต่ภาพตรงหน้าที่เธอได้เห็นนั้นให้ความรู้สึกแตกต่างไปจากม้าที่บ้านของเธอพอสมควร ทั้งแววตาที่ดูฉลาดเฉลียว เรือนร่างสีน้ำตาลอ่อนที่ดูปราดเปรียวสูงใหญ่...แม้เด็กสาวจะคนเห็นม้าตัวนี้อยู่บ้างในโรงเรียน หากแต่เธอไม่เคยรู้สึกถึงความน่าเกรงขามเท่ากับเมื่อได้มามองในระยะใกล้เช่นนี้
            แล้วนาราก็ได้เปลี่ยนความคิดของอชิเกี่ยวกับสัตว์ที่เรียกว่าม้าไปเกือบหมด เมื่อเด็กสาวได้พิสูจน์แล้วกับคำพูดที่ว่า ‘นักพันธุศาสตร์เราทำงานดี’ นั้นดีขนาดไหน...
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่