ชวาลา
ครั้งหนึ่งเคยมีคนบอกกับเธอว่า ‘โลกใบใหม่ได้ผ่านการชำระล้าง’
ณ ตอนนั้นเด็กหญิงฟังแล้วเพียงแต่สงสัยว่าโลกคืออะไร
‘เขา’ ตอบว่า ที่ที่เธอยืนอยู่นั่นไง คือโลก
ทุกสิ่งที่เธอมองเห็นรอบตัวนั่นไง คือโลก
..ต่อจากนั้นมาสิบปี เด็กหญิงจึงสงสัย เกี่ยวกับความหมายทั้งหมดนั้น
ครั้งหนึ่งเธอเคยถูกสั่งห้าม ‘ไม่ว่าอย่างไรก็อย่าไป’
หญิงสาวเพียงใช้สายตาตอบกลับ
1
กล่องหนึ่งใบ
หน้ากระดาษถูกพลิกผ่าน มือบางกดน้ำหนักลงบนหน้าหนังสือ ไล่นิ้วตามแต่ละบรรทัด ก่อนที่เจ้าของจะเอียงคอเล็กน้อยยามที่ปลายนิ้วหยุดลงที่รูปภาพหนึ่งซึ่งเด่นชัดอยู่บนกระดาษสีเหลืองอ่อน เป็นภาพขาวดำของชายคนหนึ่งในชุดที่ดูแปลกตา เสื้อของเขามีการติดกระดุมเรียงยาวตั้งแต่คอเสื้อจนถึงชายซึ่งเด็กสาวไม่คุ้นนักกับเสื้อผ้าชนิดที่มีกระดุมมาก
เด็กสาวอยู่ในเสื้อแบบสวม สีเขียวอมฟ้าอ่อน กางเกงขายาวสีน้ำตาลเข้มจนเกือบดำแบบผูกมีลวดลายปักไว้สวยงาม ชุดแบบที่คนในรูปใส่เธอมักจะได้เห็นชุดประเภทนี้ในหนังสือต้องห้าม ทุกครั้งที่ได้เห็นเธอมักจะรู้สึกรำคาญตาผสมปนเปกับชื่นชมอย่างอธิบายได้ยาก
เนื้อความเขียนถึงเขาดุจปีศาจ ผู้ที่กำเนิดมาจากขุมนรกแห่งโลกเก่า อะไรต่อมิอะไรซึ่งเธอไม่ค่อยเข้าใจนัก เด็กสาวเพียงเห็นว่าเขามีใบหน้าทั่วไปคล้ายคนธรรมดาเช่นเธอ ดูไม่ออกว่าเป็นคนใจร้ายหรือใจดี
“เล่มนั้นออกจะยากไปสำหรับเธอนะ”
ผู้หญิงแปลกหน้าคนหนึ่งเอ่ยทัก เธอสวมใส่แว่นตาทรงกลมเรียบๆ อย่างที่นิยมใส่กันทั่วไป ใบหน้าสวยเก๋คิ้วโก่งเป็นวงพระจันทร์ ริมฝีปากรูปกระจับ ดวงตาหวานคมมีแววแจ่มใส ลักษณะโดยรวมคาดเดาถึงอายุได้ยาก และแต่งตัวดีตามยุคสมัย เด็กสาวเห็นเธอคนนี้อยู่บ่อยครั้ง จึงเรียกได้ว่าแม้แปลกหน้าแต่ก็ไม่ใช่แปลกตา
“สนใจคาวานเหรอ” เธอชี้ เมื่อเห็นเด็กสาวมีสีหน้าฉงน “นั่นไง คนในรูปนั้น”
เด็กสาวก้มลงมองหนังสือในมือ ไล่ระดับสายตาลงมาที่ตัวอักษรขนาดเล็กใต้รูป เป็นภาษาแปลกๆ ซึ่งเธออ่านไม่ออก มีตัวเลขบ่งบอกวันที่ต่อท้าย
…ชื่อของเขาออกเสียงว่าคาวานนี่เอง เธอคิด
“คาวานหมายถึงอะไรครับ”
เธอใช้คำลงท้ายว่าครับซึ่งบ่งบอกถึงเพศชาย เนื่องจากแม่ของเธอได้สั่งเอาไว้เด็ดขาดว่าเวลาเข้ามายังห้องสมุดแห่งนี้ให้โกงอายุเพิ่มมาเท่ากับที่ ’กฎ’ ได้จำกัดไว้ ในส่วนของขนาดตัวนั้นเด็กสาวค่อนข้างตัวสูงกว่ามาตรฐานเด็กทั่วไปในวัยเดียวกันจึงไม่ใช่ปัญหา แต่ในส่วนของใบหน้าแม่ของเธอใช้ฝีมือจัดการตกแต่งเพิ่มอีกให้อีกนิด ทั้งยังกำชับนักหนาว่าอย่าให้ใครจดจำตัวจริงของเธอได้อย่างเด็ดขาด
“ไม่รู้สิ ฉันก็อยากรู้ อาจจะเป็นชื่อแบบที่ไม่มีความหมายก็ได้”
“เธอชื่ออะไร”
หญิงสาวจับจ้องเธออย่างสนอกสนใจ ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ข้างๆ ราวกับว่าเคยสนิทสนมกันมาก่อน เด็กสาวไม่ค่อยคุ้นเคยกับท่าทีแบบนี้นัก อันที่จริงต้องบอกว่าเธอไม่ค่อยคุ้นเคยกับการอยู่ใกล้กับผู้ใหญ่ที่นอกเหนือจากคนในครอบครัว
“อชิฮะ”
เธอตอบ ก่อนจะเอียงคอเล็กน้อยเป็นเชิงถามว่า แล้วคุณ...?
“ชื่อแปลกนะ อชิฮะ เป็นคนเขตอื่นหรือ” เด็กสาวเร่งส่ายหน้า
“อชิเฉยๆ ครับ มาจากอชิระ”
หญิงสาวนิ่งมองอชิอย่างครุ่นคิด เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะเปลี่ยนเป็นยิ้มจางๆ อาการทั้งหมดนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และเด็กสาวไม่อาจคาดเดาถึงความคิดของเธอได้เลย
“ฉันชื่อนารา”
โดยปกติแล้วเด็กที่เกิดมาพ่อแม่จะตั้งชื่อให้สองชื่อ เพื่อที่เมื่อพวกเขาโตขึ้นจะได้เลือกชื่อใดชื่อหนึ่งใช้ หากเป็นคนที่สนิทสนมกันทั่วไปก็จะเรียกกันด้วยชื่อใดชื่อหนึ่งจากสองชื่อนี้ แต่ถ้าสนิทกันมากขึ้นก็จะมีชื่อเล่นอีกที ซึ่งในบางครั้งชื่อเล่นกับชื่อจริงจะเป็นชื่อเดียวกันอย่างอชิ
เด็กสาวนั้นมีชื่อหนึ่งว่าอชิจริงๆ แต่ไม่ได้มาจากอชิระตามที่บอก ส่วนอีกชื่อของเธอคือชวาลา แม้ว่าเธอจะยังไม่ถึงวัยที่เลือกชื่อแล้ว แต่ดูเหมือนว่าคนรอบตัวของเธอจะคุ้นชินกับชื่ออชิมากกว่า
ครั้งหนึ่งอชิเคยถามพ่อว่าทำไมโตขึ้นมาถึงมีแค่ชื่อเดียว พ่อของเธอทำหน้างงๆ ก่อนจะตอบมาประมาณว่าประชากรโลกใหม่เรามีไม่มาก ชื่อเดียวก็พอแล้วไม่ค่อยซ้ำกันหรอก ก่อนจะเปรยขึ้นมาว่า…นี่คือกฎที่เปลี่ยนแปลงมาเป็นประเพณี แม้ยกเลิกกฏไปแล้วพวกเราก็ยังคงปฏิบัติตามกันเรื่อยมาตามความเคยชิน
“คุณนาราเคยอ่านเล่มนี้หรือครับ”
“อืม ฉันสนใจในประวัติของคาวาน หนังสือแต่ละเล่มเขียนถึงเขาแตกต่างกันไปจนฉันสรุปเรื่องราวของเขาได้ยาก”
“คุณเป็นนักประวัติศาสตร์?”
เด็กสาวลองถามดู เธอมักจะเห็นนารามายืมหนังสือเกี่ยวกับประวัติศาสตร์อยู่เสมอ จึงเป็นเรื่องชินตาสำหรับเธอที่จะได้เห็นผู้หญิงคนนี้ในห้องสมุด และอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เธอคิดว่าหญิงสาวเป็นนักประวัติศาสตร์ก็ด้วยเหตุว่าอาชีพนี้เป็นหนึ่งในไม่กี่อาชีพที่ได้รับสิทธิ์ให้เข้ามาที่ ‘ห้องสมุดต้องห้าม’ แห่งนี้ได้
“ใกล้เคียงจ้ะ” เธอยิ้ม “ฉันเป็นอาจารย์สอนประวัติศาสตร์”
อชินิ่งงันไปครู่หนึ่ง จึงจะรู้สึกตัวแล้วค้อมศรีษะลงเล็กน้อยเพื่อให้ความเคารพ
“ผมชอบประวัติศาสตร์”
เสียงดัดห้าวของเด็กสาวส่งผ่านความกระแสกระตือรือร้นออกมาอย่างชัดเจน ดวงตาสีดำนิลของเธอทอประกายสดใสดุจดวงดาว วินาทีนั้นนาราเผลอมองลึกเข้าไปในดวงตาคู่นั้นราวกับถูกอำนาจบางอย่างดึงเข้าไป ก่อนที่ดวงดาวจะหายไป เหลือแต่เพียงความสงบนิ่ง
“รู้ไหมว่านักประวัติศาสตร์เป็นหนึ่งในอาชีพที่มักจะถูกล่า” คำว่าล่าของเธอนั้นก้องกังวานอย่างประหลาด ชั่วเวลานั้นหัวใจของเด็กสาวเต้นโครม “นี่ข้อมูลของฉัน มีหมายเลขติดต่ออยู่”
หญิงสาวหยิบยื่นสิ่งที่เรียกกันว่ากล่อง ขนาดเท่าเล็บที่ปลายนิ้วให้กับเธอ กล่องคือสิ่งที่ใช้เก็บข้อมูลทั้งหลายทั้งมวลแตกต่างกันไป อชิรับมันไว้แม้ว่าจะยังรู้สึกงุนงง
“ผม...”
เด็กสาวลังเล เธอไม่อาจให้กล่องข้อมูลแก่นาราได้ การมีตัวตนของเธอที่ห้องสมุดต้องห้ามแห่งนี้นั้นจำต้องเป็นความลับ
แม้ว่าการได้รู้จักนาราอาจจะไม่ใช่เรื่องดีสำหรับตัวเธอ ทว่าเด็กสาวกลับรู้สึกสนใจในตัวนักประวัติศาสตร์เหลือเกิน เธอไม่เคยเห็นใครสนใจในตัวคาวานมากอย่างนี้มาก่อน อชิรู้ดีว่าการปล่อยให้ความอยากรู้อยากเห็นมีมากกว่าเหตุผลนั้นอันตราย
...หากเธอก็ยังคงเป็นเพียงเด็ก
“ไม่เป็นไร ประเดี๋ยวฉันคงต้องไปก่อน” เธอแย้มรอยยิ้มใจดี สายตาภายใต้เลนส์แว่นทอดมองมาอย่างอ่อนโยน “แล้วเจอกันอีกอชิ รักษาตัวด้วย”
คำลาจากหญิงสาวค่อนข้างให้ความรู้สึกแปลกหู ทั้งฟังคล้ายจะไม่มีอะไรทั้งแฝงความนัยอยู่ในที
...ร่างของนาราเลือนหายไป อชิยืนมองตะลึงงัน
เทเลพอร์ต...
หากเธอไม่เคยเห็นกับตามาก่อนคงหวิดจะเป็นลมไปด้วยความตื่นตระหนก แต่ถึงกระนั้นนาราก็ไม่น่านำมาใช้ต่อหน้าต่อตาเธออย่างนี้ไม่ใช่หรือ เพราะมันเป็นสิ่งที่ค่อนข้างจะต้องทำเป็นความลับ…อชิขมวดคิ้วให้กับความคิดของตนเองขณะที่พยายามกลับมาตั้งสติอยู่กับการเดินลงบันได
เด็กสาวเพิ่งจะเดินลงมาจากชั้นหกซึ่งเป็นชั้นบนสุดของหอสมุด ที่นี่เป็นที่แห่งเดียวที่มีข้อมูลเกี่ยวกับคาวานให้เธออ่าน เด็กสาวไม่เข้าใจในตัวเองนักว่าด้วยเหตุใดเพียงแค่ได้เห็นรูปภาพของเขาเพียงครั้งเดียว และข้อความด่าทอชายคนนี้ผ่านหนังสือเล่มอื่นโดยบังเอิญ ถึงได้ทำให้เธอต้องดิ้นรนจะศึกษาเรื่องของเขาเพิ่มเติมด้วย อชิเหลือบมองหนังสือเล่มเดิมในมือ หน้าปกของมันเขียนไว้ว่า ‘ลับ-โลกเก่า’ ก่อนที่เธอจะเก็บใส่ลงในกระเป๋าอย่างแน่นหนา เด็กสาวตัดสินใจยืมหนังสือเล่มสือเล่มนี้มาอ่านต่อแม้ว่านาราจะเพิ่งบอกอยู่ว่ายากไปก็ตาม
การคิดอะไรเพลินๆ ทำให้เวลาผ่านไปเร็วอย่างน่าประหลาด กว่าจะรู้สึกตัวเธอก็เดินออกมาจากบริเวณหอสมุดแล้ว เมื่อพ้นหอสมุดมาก็ดุจได้พบอีกโลก ไม่มีสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่อีกต่อไป รอบตัวเธอมีเพียงบ้านเรือนขนาดเล็กเมื่อเทียบกับหอสมุดที่มีขนาดใหญ่โดดเด่นเป็นสง่าตั้งอยู่ที่เดียว ต้นไม้รอบตัวมีสีเขียวอ่อนแก่แซมเหลืองสลับกันไป ให้ความรู้สึกร่มรื่น รวมถึงงานประติมากรรมเล็กๆ น้อยๆ ที่ประดับตกแต่งตามทางยังคงให้ความรู้สึกที่ดียามมองอยู่เสมอ
เด็กสาวในตอนนี้ได้กลับกลายเป็นเด็กสาวอย่างแท้จริง หลังจากเปลี่ยนแปลงข้อมูลของเส้นผม จากเรือนผมที่เคยสั้นเป็นรองทรงก็ยาวเลยต้นคอลงมา ผิวที่ดูคล้ำแดดของเด็กผู้ชายก็กลับกลายเป็นผิวขาวละเอียด และเมื่อลบการตกแต่งด้วยข้อมูลบนใบหน้าออกก็เผยให้เห็นแก้มแดงระเรื่อ ริมฝีรูปกระจับ และดวงตาคู่ที่ทอประกายสดใสอยู่เสมอ
...มีเสียงฝีเท้าซ้อนดังขึ้นมา
อชิหันมอง เห็นเพียงลูกสุนัขตัวหนึ่ง
“เธอ...?”
เสียงฝีเท้านั้นหนักเกินกว่าจะเป็นเพียงฝีเท้าของสุนัข มันคือเสียงของพื้นรองเท้ายามกระทบกับพื้นดิน ทว่าเด็กสาวมองไม่เห็นใครอีกแล้วจึงหันกลับมาให้ความสนใจกับเจ้าลูกหมาที่มองเธอด้วยความนิ่งสงบเสียจนผิดวิสัยของสัตว์ทั่วไป มีบางสิ่งที่สะดุดตาเธอถูกคาบไว้ในปาก เป็นกล่องสีเหลี่ยมผืนผ้าหนาขนาดหนังสือบางๆ เล่มหนึ่ง ใช้วัสดุโลหะสีขาวมันวาวซึ่งเธอไม่คุ้นตา มันมีลักษณะเรียบง่าย แต่เมื่อสังเกตดีๆ จึงเห็นว่ามีลวดลายแปลกตาฉลุโดยรอบอย่างพิถีพิถัน และมีตัวอักษรที่เธออ่านไม่ออกกำกับไว้สั้นๆ บนกล่อง
เด็กสาวเป็นคนช่างสังเกต จึงรับรู้ในรายละเอียดของสิ่งที่เห็นอย่างรวดเร็ว ก่อนที่เธอจะต้องแปลกใจอีกครั้งเมื่อลูกสุนัขตรงหน้าวางกล่องโลหะลงบนพื้นอย่างนิ่มนวล
...และวิ่งหายลับไป
“เดี๋ยวสิ!”
เธอร้อง เกือบจะออกตัววิ่งตามไปแล้วแต่ก็หยุดตัวเองได้ทันเพราะคิดว่าในเมื่อมันวิ่งหายลับไปเสียขนาดนั้น เธอจะไปวิ่งตามยังไงให้ถูกทางล่ะ
แล้วจะเอายังไง...กับกล่องเจ้าปัญหานี่?
อชิเม้มริมฝีปาก คิ้วขมวดยุ่ง ใจหนึ่งก็นึกอยากจะทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เสียเหลือเกิน ยิ่งว่ามันดูจะเป็นของสำคัญอีกด้วย แต่ด้วยนิสัยที่ไม่อาจยอมให้สิ่งที่สะดุดตาถูกปล่อยทิ้งไว้ก็ดึงให้เธอรู้สึกอยากจะเก็บมันขึ้นมาให้ได้ กว่าจะรู้สึกตัวเธอก็เผลอไผลเก็บมันขึ้นมาเสียแล้ว
ทีนี้ล่ะ...ยุ่งจริง! มันมาอยู่ในมือเธออย่างนี้จะตัดใจทิ้งไปก็คงทำไม่ลงแน่ เด็กสาวนิ่งคิดก่อนจะตัดสินใจพยายามเปิดมันออกดูของข้างในเผื่อว่าจะมีอะไรบ่งบอกว่าเธอควรทำอย่างไรกับมันต่อ ทว่ากล่องนั้นปิดแน่นเสียเหลือเกิน อชิออกแรงแล้วออกแรงอีกก็ยังไม่แง้มออกแม้สักนิด จึงลองพลิกกลับดูเผื่อจะจับให้ถนัดขึ้น พลันสายตาก็ไปสะดุดอยู่กับข้อความบางอย่างที่เขียนไว้บนกล่องเป็นภาษาของเธอด้วยลายมือหวัดๆ
‘เก็บไว้ที่ชวาลา’
อาจจะเป็นชวาลี ชาลาวัน ชวีลันก็ได้...เด็กสาวเริ่มลนลานด้วยพยายามเลี่ยงปัญหาสุดชีวิต ข้อความนี้ทำให้เธอถึงกับแทบจะถือมันเอาไว้ไม่อยู่ราวกับว่ามีของร้อนอยู่ในมือ แต่ถึงกระนั้นความรู้สึกของเธอก็เตือนลั่นว่ามันระบุถึงตัวเธออย่างแน่นอน ข้อความนั้นชัดเจนว่าเป็นชวาลา...หรือเธอควรจะเก็บมันไว้กับตัวจริงๆ
แล้วทำไม...ถึงต้องเป็น ‘เธอ’
“โธ่!”
อชิร้อง เม้มริมฝีปากอีกครั้งขณะที่พยายามแก้ปัญหาด้วยการพยายามเอานิ้วถูๆ ที่ข้อความนั้นเผื่อว่ามันจะเลือนหายไปจะได้วางกลับลงที่เดิม ทว่าเมื่อไม่เป็นดังหวังเธอก็ตัดใจเก็บมันใส่ลงในกระเป๋า
...หนักอึ้ง!
ทั้งหนังสือต้องห้าม ทั้งของประหลาด! เด็กสาวถลกชายกางเกงออกตัววิ่งอย่างคนหนีปัญหาไปทางจักรยานที่จอดไว้ ก่อนจะหายตัวไปจากจุดเกิดเหตุเสียอย่างนั้น
ชวาลา ตอนที่ ๑ กล่องหนึ่งใบ
ครั้งหนึ่งเคยมีคนบอกกับเธอว่า ‘โลกใบใหม่ได้ผ่านการชำระล้าง’
ณ ตอนนั้นเด็กหญิงฟังแล้วเพียงแต่สงสัยว่าโลกคืออะไร
‘เขา’ ตอบว่า ที่ที่เธอยืนอยู่นั่นไง คือโลก
ทุกสิ่งที่เธอมองเห็นรอบตัวนั่นไง คือโลก
..ต่อจากนั้นมาสิบปี เด็กหญิงจึงสงสัย เกี่ยวกับความหมายทั้งหมดนั้น
ครั้งหนึ่งเธอเคยถูกสั่งห้าม ‘ไม่ว่าอย่างไรก็อย่าไป’
หญิงสาวเพียงใช้สายตาตอบกลับ
กล่องหนึ่งใบ
หน้ากระดาษถูกพลิกผ่าน มือบางกดน้ำหนักลงบนหน้าหนังสือ ไล่นิ้วตามแต่ละบรรทัด ก่อนที่เจ้าของจะเอียงคอเล็กน้อยยามที่ปลายนิ้วหยุดลงที่รูปภาพหนึ่งซึ่งเด่นชัดอยู่บนกระดาษสีเหลืองอ่อน เป็นภาพขาวดำของชายคนหนึ่งในชุดที่ดูแปลกตา เสื้อของเขามีการติดกระดุมเรียงยาวตั้งแต่คอเสื้อจนถึงชายซึ่งเด็กสาวไม่คุ้นนักกับเสื้อผ้าชนิดที่มีกระดุมมาก
เด็กสาวอยู่ในเสื้อแบบสวม สีเขียวอมฟ้าอ่อน กางเกงขายาวสีน้ำตาลเข้มจนเกือบดำแบบผูกมีลวดลายปักไว้สวยงาม ชุดแบบที่คนในรูปใส่เธอมักจะได้เห็นชุดประเภทนี้ในหนังสือต้องห้าม ทุกครั้งที่ได้เห็นเธอมักจะรู้สึกรำคาญตาผสมปนเปกับชื่นชมอย่างอธิบายได้ยาก
เนื้อความเขียนถึงเขาดุจปีศาจ ผู้ที่กำเนิดมาจากขุมนรกแห่งโลกเก่า อะไรต่อมิอะไรซึ่งเธอไม่ค่อยเข้าใจนัก เด็กสาวเพียงเห็นว่าเขามีใบหน้าทั่วไปคล้ายคนธรรมดาเช่นเธอ ดูไม่ออกว่าเป็นคนใจร้ายหรือใจดี
“เล่มนั้นออกจะยากไปสำหรับเธอนะ”
ผู้หญิงแปลกหน้าคนหนึ่งเอ่ยทัก เธอสวมใส่แว่นตาทรงกลมเรียบๆ อย่างที่นิยมใส่กันทั่วไป ใบหน้าสวยเก๋คิ้วโก่งเป็นวงพระจันทร์ ริมฝีปากรูปกระจับ ดวงตาหวานคมมีแววแจ่มใส ลักษณะโดยรวมคาดเดาถึงอายุได้ยาก และแต่งตัวดีตามยุคสมัย เด็กสาวเห็นเธอคนนี้อยู่บ่อยครั้ง จึงเรียกได้ว่าแม้แปลกหน้าแต่ก็ไม่ใช่แปลกตา
“สนใจคาวานเหรอ” เธอชี้ เมื่อเห็นเด็กสาวมีสีหน้าฉงน “นั่นไง คนในรูปนั้น”
เด็กสาวก้มลงมองหนังสือในมือ ไล่ระดับสายตาลงมาที่ตัวอักษรขนาดเล็กใต้รูป เป็นภาษาแปลกๆ ซึ่งเธออ่านไม่ออก มีตัวเลขบ่งบอกวันที่ต่อท้าย
…ชื่อของเขาออกเสียงว่าคาวานนี่เอง เธอคิด
“คาวานหมายถึงอะไรครับ”
เธอใช้คำลงท้ายว่าครับซึ่งบ่งบอกถึงเพศชาย เนื่องจากแม่ของเธอได้สั่งเอาไว้เด็ดขาดว่าเวลาเข้ามายังห้องสมุดแห่งนี้ให้โกงอายุเพิ่มมาเท่ากับที่ ’กฎ’ ได้จำกัดไว้ ในส่วนของขนาดตัวนั้นเด็กสาวค่อนข้างตัวสูงกว่ามาตรฐานเด็กทั่วไปในวัยเดียวกันจึงไม่ใช่ปัญหา แต่ในส่วนของใบหน้าแม่ของเธอใช้ฝีมือจัดการตกแต่งเพิ่มอีกให้อีกนิด ทั้งยังกำชับนักหนาว่าอย่าให้ใครจดจำตัวจริงของเธอได้อย่างเด็ดขาด
“ไม่รู้สิ ฉันก็อยากรู้ อาจจะเป็นชื่อแบบที่ไม่มีความหมายก็ได้”
“เธอชื่ออะไร”
หญิงสาวจับจ้องเธออย่างสนอกสนใจ ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ข้างๆ ราวกับว่าเคยสนิทสนมกันมาก่อน เด็กสาวไม่ค่อยคุ้นเคยกับท่าทีแบบนี้นัก อันที่จริงต้องบอกว่าเธอไม่ค่อยคุ้นเคยกับการอยู่ใกล้กับผู้ใหญ่ที่นอกเหนือจากคนในครอบครัว
“อชิฮะ”
เธอตอบ ก่อนจะเอียงคอเล็กน้อยเป็นเชิงถามว่า แล้วคุณ...?
“ชื่อแปลกนะ อชิฮะ เป็นคนเขตอื่นหรือ” เด็กสาวเร่งส่ายหน้า
“อชิเฉยๆ ครับ มาจากอชิระ”
หญิงสาวนิ่งมองอชิอย่างครุ่นคิด เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะเปลี่ยนเป็นยิ้มจางๆ อาการทั้งหมดนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และเด็กสาวไม่อาจคาดเดาถึงความคิดของเธอได้เลย
“ฉันชื่อนารา”
โดยปกติแล้วเด็กที่เกิดมาพ่อแม่จะตั้งชื่อให้สองชื่อ เพื่อที่เมื่อพวกเขาโตขึ้นจะได้เลือกชื่อใดชื่อหนึ่งใช้ หากเป็นคนที่สนิทสนมกันทั่วไปก็จะเรียกกันด้วยชื่อใดชื่อหนึ่งจากสองชื่อนี้ แต่ถ้าสนิทกันมากขึ้นก็จะมีชื่อเล่นอีกที ซึ่งในบางครั้งชื่อเล่นกับชื่อจริงจะเป็นชื่อเดียวกันอย่างอชิ
เด็กสาวนั้นมีชื่อหนึ่งว่าอชิจริงๆ แต่ไม่ได้มาจากอชิระตามที่บอก ส่วนอีกชื่อของเธอคือชวาลา แม้ว่าเธอจะยังไม่ถึงวัยที่เลือกชื่อแล้ว แต่ดูเหมือนว่าคนรอบตัวของเธอจะคุ้นชินกับชื่ออชิมากกว่า
ครั้งหนึ่งอชิเคยถามพ่อว่าทำไมโตขึ้นมาถึงมีแค่ชื่อเดียว พ่อของเธอทำหน้างงๆ ก่อนจะตอบมาประมาณว่าประชากรโลกใหม่เรามีไม่มาก ชื่อเดียวก็พอแล้วไม่ค่อยซ้ำกันหรอก ก่อนจะเปรยขึ้นมาว่า…นี่คือกฎที่เปลี่ยนแปลงมาเป็นประเพณี แม้ยกเลิกกฏไปแล้วพวกเราก็ยังคงปฏิบัติตามกันเรื่อยมาตามความเคยชิน
“คุณนาราเคยอ่านเล่มนี้หรือครับ”
“อืม ฉันสนใจในประวัติของคาวาน หนังสือแต่ละเล่มเขียนถึงเขาแตกต่างกันไปจนฉันสรุปเรื่องราวของเขาได้ยาก”
“คุณเป็นนักประวัติศาสตร์?”
เด็กสาวลองถามดู เธอมักจะเห็นนารามายืมหนังสือเกี่ยวกับประวัติศาสตร์อยู่เสมอ จึงเป็นเรื่องชินตาสำหรับเธอที่จะได้เห็นผู้หญิงคนนี้ในห้องสมุด และอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เธอคิดว่าหญิงสาวเป็นนักประวัติศาสตร์ก็ด้วยเหตุว่าอาชีพนี้เป็นหนึ่งในไม่กี่อาชีพที่ได้รับสิทธิ์ให้เข้ามาที่ ‘ห้องสมุดต้องห้าม’ แห่งนี้ได้
“ใกล้เคียงจ้ะ” เธอยิ้ม “ฉันเป็นอาจารย์สอนประวัติศาสตร์”
อชินิ่งงันไปครู่หนึ่ง จึงจะรู้สึกตัวแล้วค้อมศรีษะลงเล็กน้อยเพื่อให้ความเคารพ
“ผมชอบประวัติศาสตร์”
เสียงดัดห้าวของเด็กสาวส่งผ่านความกระแสกระตือรือร้นออกมาอย่างชัดเจน ดวงตาสีดำนิลของเธอทอประกายสดใสดุจดวงดาว วินาทีนั้นนาราเผลอมองลึกเข้าไปในดวงตาคู่นั้นราวกับถูกอำนาจบางอย่างดึงเข้าไป ก่อนที่ดวงดาวจะหายไป เหลือแต่เพียงความสงบนิ่ง
“รู้ไหมว่านักประวัติศาสตร์เป็นหนึ่งในอาชีพที่มักจะถูกล่า” คำว่าล่าของเธอนั้นก้องกังวานอย่างประหลาด ชั่วเวลานั้นหัวใจของเด็กสาวเต้นโครม “นี่ข้อมูลของฉัน มีหมายเลขติดต่ออยู่”
หญิงสาวหยิบยื่นสิ่งที่เรียกกันว่ากล่อง ขนาดเท่าเล็บที่ปลายนิ้วให้กับเธอ กล่องคือสิ่งที่ใช้เก็บข้อมูลทั้งหลายทั้งมวลแตกต่างกันไป อชิรับมันไว้แม้ว่าจะยังรู้สึกงุนงง
“ผม...”
เด็กสาวลังเล เธอไม่อาจให้กล่องข้อมูลแก่นาราได้ การมีตัวตนของเธอที่ห้องสมุดต้องห้ามแห่งนี้นั้นจำต้องเป็นความลับ
แม้ว่าการได้รู้จักนาราอาจจะไม่ใช่เรื่องดีสำหรับตัวเธอ ทว่าเด็กสาวกลับรู้สึกสนใจในตัวนักประวัติศาสตร์เหลือเกิน เธอไม่เคยเห็นใครสนใจในตัวคาวานมากอย่างนี้มาก่อน อชิรู้ดีว่าการปล่อยให้ความอยากรู้อยากเห็นมีมากกว่าเหตุผลนั้นอันตราย
...หากเธอก็ยังคงเป็นเพียงเด็ก
“ไม่เป็นไร ประเดี๋ยวฉันคงต้องไปก่อน” เธอแย้มรอยยิ้มใจดี สายตาภายใต้เลนส์แว่นทอดมองมาอย่างอ่อนโยน “แล้วเจอกันอีกอชิ รักษาตัวด้วย”
คำลาจากหญิงสาวค่อนข้างให้ความรู้สึกแปลกหู ทั้งฟังคล้ายจะไม่มีอะไรทั้งแฝงความนัยอยู่ในที
...ร่างของนาราเลือนหายไป อชิยืนมองตะลึงงัน
เทเลพอร์ต...
หากเธอไม่เคยเห็นกับตามาก่อนคงหวิดจะเป็นลมไปด้วยความตื่นตระหนก แต่ถึงกระนั้นนาราก็ไม่น่านำมาใช้ต่อหน้าต่อตาเธออย่างนี้ไม่ใช่หรือ เพราะมันเป็นสิ่งที่ค่อนข้างจะต้องทำเป็นความลับ…อชิขมวดคิ้วให้กับความคิดของตนเองขณะที่พยายามกลับมาตั้งสติอยู่กับการเดินลงบันได
เด็กสาวเพิ่งจะเดินลงมาจากชั้นหกซึ่งเป็นชั้นบนสุดของหอสมุด ที่นี่เป็นที่แห่งเดียวที่มีข้อมูลเกี่ยวกับคาวานให้เธออ่าน เด็กสาวไม่เข้าใจในตัวเองนักว่าด้วยเหตุใดเพียงแค่ได้เห็นรูปภาพของเขาเพียงครั้งเดียว และข้อความด่าทอชายคนนี้ผ่านหนังสือเล่มอื่นโดยบังเอิญ ถึงได้ทำให้เธอต้องดิ้นรนจะศึกษาเรื่องของเขาเพิ่มเติมด้วย อชิเหลือบมองหนังสือเล่มเดิมในมือ หน้าปกของมันเขียนไว้ว่า ‘ลับ-โลกเก่า’ ก่อนที่เธอจะเก็บใส่ลงในกระเป๋าอย่างแน่นหนา เด็กสาวตัดสินใจยืมหนังสือเล่มสือเล่มนี้มาอ่านต่อแม้ว่านาราจะเพิ่งบอกอยู่ว่ายากไปก็ตาม
การคิดอะไรเพลินๆ ทำให้เวลาผ่านไปเร็วอย่างน่าประหลาด กว่าจะรู้สึกตัวเธอก็เดินออกมาจากบริเวณหอสมุดแล้ว เมื่อพ้นหอสมุดมาก็ดุจได้พบอีกโลก ไม่มีสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่อีกต่อไป รอบตัวเธอมีเพียงบ้านเรือนขนาดเล็กเมื่อเทียบกับหอสมุดที่มีขนาดใหญ่โดดเด่นเป็นสง่าตั้งอยู่ที่เดียว ต้นไม้รอบตัวมีสีเขียวอ่อนแก่แซมเหลืองสลับกันไป ให้ความรู้สึกร่มรื่น รวมถึงงานประติมากรรมเล็กๆ น้อยๆ ที่ประดับตกแต่งตามทางยังคงให้ความรู้สึกที่ดียามมองอยู่เสมอ
เด็กสาวในตอนนี้ได้กลับกลายเป็นเด็กสาวอย่างแท้จริง หลังจากเปลี่ยนแปลงข้อมูลของเส้นผม จากเรือนผมที่เคยสั้นเป็นรองทรงก็ยาวเลยต้นคอลงมา ผิวที่ดูคล้ำแดดของเด็กผู้ชายก็กลับกลายเป็นผิวขาวละเอียด และเมื่อลบการตกแต่งด้วยข้อมูลบนใบหน้าออกก็เผยให้เห็นแก้มแดงระเรื่อ ริมฝีรูปกระจับ และดวงตาคู่ที่ทอประกายสดใสอยู่เสมอ
...มีเสียงฝีเท้าซ้อนดังขึ้นมา
อชิหันมอง เห็นเพียงลูกสุนัขตัวหนึ่ง
“เธอ...?”
เสียงฝีเท้านั้นหนักเกินกว่าจะเป็นเพียงฝีเท้าของสุนัข มันคือเสียงของพื้นรองเท้ายามกระทบกับพื้นดิน ทว่าเด็กสาวมองไม่เห็นใครอีกแล้วจึงหันกลับมาให้ความสนใจกับเจ้าลูกหมาที่มองเธอด้วยความนิ่งสงบเสียจนผิดวิสัยของสัตว์ทั่วไป มีบางสิ่งที่สะดุดตาเธอถูกคาบไว้ในปาก เป็นกล่องสีเหลี่ยมผืนผ้าหนาขนาดหนังสือบางๆ เล่มหนึ่ง ใช้วัสดุโลหะสีขาวมันวาวซึ่งเธอไม่คุ้นตา มันมีลักษณะเรียบง่าย แต่เมื่อสังเกตดีๆ จึงเห็นว่ามีลวดลายแปลกตาฉลุโดยรอบอย่างพิถีพิถัน และมีตัวอักษรที่เธออ่านไม่ออกกำกับไว้สั้นๆ บนกล่อง
เด็กสาวเป็นคนช่างสังเกต จึงรับรู้ในรายละเอียดของสิ่งที่เห็นอย่างรวดเร็ว ก่อนที่เธอจะต้องแปลกใจอีกครั้งเมื่อลูกสุนัขตรงหน้าวางกล่องโลหะลงบนพื้นอย่างนิ่มนวล
...และวิ่งหายลับไป
“เดี๋ยวสิ!”
เธอร้อง เกือบจะออกตัววิ่งตามไปแล้วแต่ก็หยุดตัวเองได้ทันเพราะคิดว่าในเมื่อมันวิ่งหายลับไปเสียขนาดนั้น เธอจะไปวิ่งตามยังไงให้ถูกทางล่ะ
แล้วจะเอายังไง...กับกล่องเจ้าปัญหานี่?
อชิเม้มริมฝีปาก คิ้วขมวดยุ่ง ใจหนึ่งก็นึกอยากจะทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เสียเหลือเกิน ยิ่งว่ามันดูจะเป็นของสำคัญอีกด้วย แต่ด้วยนิสัยที่ไม่อาจยอมให้สิ่งที่สะดุดตาถูกปล่อยทิ้งไว้ก็ดึงให้เธอรู้สึกอยากจะเก็บมันขึ้นมาให้ได้ กว่าจะรู้สึกตัวเธอก็เผลอไผลเก็บมันขึ้นมาเสียแล้ว
ทีนี้ล่ะ...ยุ่งจริง! มันมาอยู่ในมือเธออย่างนี้จะตัดใจทิ้งไปก็คงทำไม่ลงแน่ เด็กสาวนิ่งคิดก่อนจะตัดสินใจพยายามเปิดมันออกดูของข้างในเผื่อว่าจะมีอะไรบ่งบอกว่าเธอควรทำอย่างไรกับมันต่อ ทว่ากล่องนั้นปิดแน่นเสียเหลือเกิน อชิออกแรงแล้วออกแรงอีกก็ยังไม่แง้มออกแม้สักนิด จึงลองพลิกกลับดูเผื่อจะจับให้ถนัดขึ้น พลันสายตาก็ไปสะดุดอยู่กับข้อความบางอย่างที่เขียนไว้บนกล่องเป็นภาษาของเธอด้วยลายมือหวัดๆ
‘เก็บไว้ที่ชวาลา’
อาจจะเป็นชวาลี ชาลาวัน ชวีลันก็ได้...เด็กสาวเริ่มลนลานด้วยพยายามเลี่ยงปัญหาสุดชีวิต ข้อความนี้ทำให้เธอถึงกับแทบจะถือมันเอาไว้ไม่อยู่ราวกับว่ามีของร้อนอยู่ในมือ แต่ถึงกระนั้นความรู้สึกของเธอก็เตือนลั่นว่ามันระบุถึงตัวเธออย่างแน่นอน ข้อความนั้นชัดเจนว่าเป็นชวาลา...หรือเธอควรจะเก็บมันไว้กับตัวจริงๆ
แล้วทำไม...ถึงต้องเป็น ‘เธอ’
“โธ่!”
อชิร้อง เม้มริมฝีปากอีกครั้งขณะที่พยายามแก้ปัญหาด้วยการพยายามเอานิ้วถูๆ ที่ข้อความนั้นเผื่อว่ามันจะเลือนหายไปจะได้วางกลับลงที่เดิม ทว่าเมื่อไม่เป็นดังหวังเธอก็ตัดใจเก็บมันใส่ลงในกระเป๋า
...หนักอึ้ง!
ทั้งหนังสือต้องห้าม ทั้งของประหลาด! เด็กสาวถลกชายกางเกงออกตัววิ่งอย่างคนหนีปัญหาไปทางจักรยานที่จอดไว้ ก่อนจะหายตัวไปจากจุดเกิดเหตุเสียอย่างนั้น