บทที่ 1
http://ppantip.com/topic/31750722
ท้าบบทที่ 1
...แม่นางหมกฮวกแสร้งหันหน้าไปทางอื่น พลันรู้สึกนางกลับกลายเป็นตัวอะไร นางคล้ายกลับกลายเป็นแมงกุดจี่หน้าร้อน หรือแมงจินูนหน้าฝน รอผู้คนแคะพลิกฟื้นขึ้นมาเท่านั้น นางมีคุณค่าเพียงแค่นี้หรืออย่างไร
แต่แล้วคล้ายดั่งนึกอะไรออกมาได้ นางยืดอก ตะโกนดังๆว่า
“ใช่แล้ว ข้ากับคุณชายปลาร้า จะไปโรงเตี้ยมม่านรูดกัน”
ขอบคุณ
ทุกท่านที่แวะมาเยือน ปลาบปลึ้มดีใจจากใจ..และ กิ๊ฟน่ารักจาก
สมาชิกหมายเลข 868666 , คุณแม่ใจดี ถูกใจ, สมาชิกหมายเลข 1275182 ถูกใจริมแม่โขง ขำกลิ้ง, โค อัสดง ถูกใจ, turtle_cheesecake ขำกลิ้ง, กาปอมซ่า ถูกใจ, Susisiri ถูกใจ, Darasawan ถูกใจ, ปริยาธร ถูกใจ, kasareev ขำกลิ้ง, มาโซคิส ขำกลิ้ง, etc_chamon ขำกลิ้ง CAN LIVE ขำกลิ้ง
บทที่ 2........(ฟากฟั่งใจ)
โรงเตี๊ยมม่านรูด เป็นสถานที่เผินๆ ฟังคล้ายอันตรายที่สุด หากความจริงปลอดภัยที่สุด สถานที่รโหฐานเร้นลับที่สุดกลับเปิดเผยแจ่มแจ้งที่สุด
ท่านอาจยังไม่เข้าใจ ว่า ปลอดภัยเปิดเผยอย่างไร
โรงเตี๊ยมม่านรูด ความจริงคล้ายห้องพักชั้นเดียว อยู่ข้างถนน ผู้คนผ่านไปผ่านมาไม่ขาดสาย หน้าห้องพักมีผ้าดำปิดสนิท แต่ผ้าม่านพวกนี้จะถูกเปิดออกทันทีทันใดได้ทุกเมื่อ ! เปิดให้ผู้คนมองเข้ามาหรือชะโงกหน้ามามองในห้องได้ทุกเมื่อ
การเปิดม่านนี้ จะไม่มีผู้ใดกำหนดได้ ไม่อาจระบุเวลาที่เปิดและปิดได้ เพราะขึ้นอยู่กับผู้คนภายนอก
ผู้คนที่มาพัก ไม่มีโอกาสเลยว่า ม่านจะถูกเปิดเมื่อไร ดังนั้นผู้คนที่มาพักพาอาศัย ไม่อาจประมาทชะล่าใจเด็ดขาด จะต้องพร้อมเสมอสำหรับการถูกเปิดโปงห้องพักต่อประชาชนชาวโลก
นี่เป็นกฎของโรงเตี๊ยมม่านรูด กำหนดขึ้นเพื่อความปลอดภัยของผู้พักพาอาศัย
คนมาพักต้องรับรับกฎ กติกา อย่างไร้ข้อแม้ใดๆ ไม่เช่นนั้นถูกปรับเป็นเงินมากมาย
นี่คือความหมายที่แท้จริงของโรงเตี๊ยมม่านรูด คือสามารถถูกรูดให้เปิดออกได้ทุกเวลา โดยไม่สนใจความรู้สึกของคนมาพัก!
คุณชายปลาร้าเดินนำหน้าอย่างอาจหาญ แม้ว่าทุกฝีก้าวคล้ายกำลังเหยียบย่ำลงบนหัวใจของตนเอง ไฉนคนที่มันรักกลับไม่รัก... คนที่มันหลงรักมันกลับไม่รัก.. คนที่มันไม่รักกลับสามารถเดินตามมันมา คนไม่รักกลับเป็นฝ่ายพาหัวใจของนางสนิทแนบติดตามมา ในขณะหัวใจของมันกลับติดปีกโผผินโบยบินออกไป
มันเพียงหวังให้หัวใจของมันปลิดปลิวไปตกลงในครกของแม่นางส้มตำ ยินยอมให้หัวใจถูกสาก้าตำจนแหลกละเอียดเป็นผุยผง เพียงหวังว่า..ความเจ็บปวดบางอย่างบางทีอาจต้องใช้ความเจ็บปวดที่รุนแรงมากกว่า..มากำราบบรรเทาเบาบาง..พอเจ็บปวดถึงระดับหนึ่งหวังว่าจะกลับกลายเป็นชาด้าน เข้าทำนอง เจ็บสุดยอดคืนสู่สามัญ
ในห้องเล็กมีโต๊ะตัวหนึ่งหนึ่ง มีเตียงนอนขนาดสองคนนอนเคียงเตียงหนึ่ง มีชาป้านหนึ่ง โคมไฟไม่ได้จุดดวงหนึ่ง ที่แปลกประหลาดคือไม่มีหลังคาปกคลุม สามารถมองเห็นท้องฟ้าชัดเจน เหมาะสำหรับการนอนดูดาวชมจันทร์สุดบรรยาย
แม่นางหมกฮวกกวาดตามองไปรอบๆ อย่างตื่นตะลึง นางยังไม่เคยเข้ามาในสถานที่แบบนี้มาก่อนเลยในชีวิต นางเองก็มิทราบใจของตนเองว่าเหตุใดจึงยอมพกหัวใจของตัวเองติดตามบุรุษหนุ่มผู้นี้เข้ามาอย่างไม่ลังเล นางเพียงทราบใจของตนเองว่าหลงรักบุรุษผู้มานี้มาเนิ่นนานลึกซึ้ง คุณชายผู้นี้ไม่หล่อเหลาราวเทพบุตร หากคนคิดจะรัก ย่อมมิจำเป็นต้องหล่อลากไส้หรือสวยลากตับ ความรู้สิ่งดีๆ ที่มีต่อกันชักนำก้าวพ้นสิ่งเหล่านี้ไปหมดสิ้น
รักคือรัก..ยังจะมีอะไรมากมายฟุ่มเฟือยมากกว่านี้ สิ่งที่มากกว่านี้เป็นเพียงการปรุงแต่งขยายสาขากิ่งก้านความรัก แก่นแท้รักคือรักเท่านั้น
รักโดยไม่ทราบเหตุผลที่แท้จริง รักกระทั่งบางคืนหลับฝันว่าได้เดินเกี่ยวก้อยประคองกันเดินไปตามทุ่งบุปผาแสนงดงามตระการตา สัมผัสความอบอุ่นแห่งรักและลมหายใจแห่งฝัน เพียงพลิกฟื้นลืมตาจากความฝันสิ่งสวยงาม ภาพฝันพลันลบเลือนกระชากหายหาย ไม่อาจดิ้นรนไขว่คว้าความฝันนั้นกลับมาอีกตลอดกาล ได้เพียงนอนน้ำตาคลอหล่นบนที่นอน
อดีตกาล ความฝัน และความทรงจำ มีหลายอย่างคล้ายกัน หนึ่งที่คล้ายกันคือเป็นสิ่งที่ไม่อาจจับต้องแก้ไขอะไรได้.. ไร้ตัวตน.. ห่างไกลออกไปทุกทีในกระแสเวลาอันโหดร้าย
นางแหงนหน้ามองท้องฟ้าซึ่งเริ่มมืดครึ้มลงแล้ว
“จะมืดแล้วนะ”
นางเพียงเกริ่นลอยๆ มือกำแน่นลมหายใจไม่เป็นจังหวะ ยืนนิ่งไม่อาจเคลื่อนไหวไปมาโดยพละการ อาจไม่เข้าใจอะไรมากมาย แต่เข้าใจเพียงเรื่องเดียวว่ากำลังอยู่กับคนรักเพียงลำพังก็เกินพอแล้ว
คุณชายปลาร้าลอบถอนใจ เริ่มคิดแล้วว่าเรื่องราวแบบนี้ถูกต้องหรือไม่
คุณชายปลาร้าพลันรู้สึกว่าความจริงแล้วความมืดหนักอึ้งในจิตใจตัวเองมีมากกว่า จึงเดินไปจุดโคมไฟอย่างเงียบงัน แสงไฟสว่างวับแวมลูบไล้ผนังห้องวูบไหวราวเพิ่งถูกปลุกขึ้นมาจากความมืดมน
อึดใจนั้นทั้งคู่ราวถูกสาปกะทันหัน วาจาที่คิดว่าจะเปล่งออกมากลับค้างคา.. เรื่องราวมากมายคิดกล่าวออกบอกเล่าล้วนชะงักงัน ..กระทั่งสบตากันยังไม่อาจหาญ ...หรือนี่เป็นมนต์ขลังของโรงเตี๊ยมม่านรูดอันลี้ลับพิสดาร
ทันใดนั้นเอง ม่านสีดำซึ่งเปิดสนิทด้านหน้าห้องพลันถูกเปิดออก แสงตะเกียงโคมไฟสาดส่องเจิดจ้าเข้ามาในห้อง พร้อมเสียงร้องประสานพร้อมเพรียง ทำให้ทั้งสองสะดุ้งสุดตัวด้วยความตกใจ
“ตุ๊ง แช่....”
ผู้คนนับสิบคน ทั้งบุรุษสตรี ทารกผู้เฒ่า หลายหลายสาขาอาชีพพากันยืนเรียงรายเต็มหน้าห้องพัก หลายคนถือโคมไฟแกว่งไกวสว่างกระจ่าง สายตาจับจ้องมายังคนทั้งคู่ด้วยสายตาเป็นประกาย
“พวกเขาไม่ได้ทำอะไรกัน....” ชายผู้หนึ่งพูดขึ้นดังๆ และมีเสียงพูดต่อเนื่องเซ็งแซ่
“ท่านคิดว่าพวกเขาจะทำอะไรกัน”
“ข้าคิดว่าพวกเขาอาจกำลังเป่ายิ้งฉุบกัน”
“ท่านบังอาจทะลึ่ง”
“เป่ายิ้งฉุบมีที่ใด ทะลึ่ง ท่านต่างหาก บังอาจคิดทะลึ่งล่วงหน้า..ลามกอนาจาร..นิสัยไม่ดี”
คุณชายปลาร้ากำหมัดแน่นสีหน้าแปรเปลี่ยนไปมา หากในที่สุดพลันสงบเยือกเย็นลง กฎข้อหนึ่งของโรงเตี๊ยมคือ ห้ามมิให้คนมาพำนักพักพิงพูดจาโต้ตอบกับท่านผู้ชมดูโดยเด็ดขาด โรงเตี๊ยมแห่งนี้พักแบบไม่คิดเงิน เพียงต้องทำตามกฎเท่านั้น
รายได้ของทางโรงเตี๊ยมได้มาจากการเก็บเงินจากท่านผู้ชม ซึ่งเดินไปมาตามถนนไม่ขาดสายเนื่องเพราะอีกฟากถนนเป็นแหล่งขายสินค้ามากมายโต้รุ่งอรุณ ผู้คนบนถนนสามารถเปิดม่านเข้ามาดูคนในห้องได้ทุกเวลาโดยเสียค่าดูชม มีกฎว่าดูได้... วิจารณ์ได้... แต่ห้ามพูดจาโต้ตอบกับคนในห้องพักโดยเด็ดขาด
คนที่ค้นคิดห้องพักแบบนี้ขึ้นมา ย่อมไม่ธรรมดา คล้ายทราบว่าคนเรายิ่งปิดยิ่งอยากเปิด บางทีก็อยากปิดสิ่งที่ควรเปิด ทำให้ถนนสายนี้เป็นที่เลื่องลือ กลายเป็นจุดขายอย่างหนึ่งของเมืองอย่างไม่น่าเชื่อ
รอจนม่านรูดปิดเข้า เมื่อครบเวลา คุณชายปลาร้าจึงฝืนยิ้ม หันไปบอกกับคนร่วมห้องว่า
“มันเป็นกฎของที่นี่”
“ข้าพอได้ยินได้ฟังมาบ้าง นับว่าเป็นการฝึกจิตวิธีหนึ่ง”
แม่นางหมกฮวกให้ความเห็นตามที่เคยได้ยินได้ฟังมา และเพิ่งฉุกใจคิดในบางเรื่องพลันเอ่ยว่า
“มีโต๊ะ แต่ไม่มีเก้าอี้ หมายความว่าอย่างไรกัน”
“หมายความว่า ทางโรงเตี๊ยมต้องการให้เรายืนคุยกัน หรือไม่ก็นอนคุยกัน”
คนฟังมีสีหน้าแดงระเรื่อทันที เพราะนางไม่เคยนอนคุยกับบุรุษใดมาก่อน นางปฏิบัติตามวิถีทางธรรมเนียมอย่างเคร่งครัด หากไฉนวันนี้ถึงกับเดินตามบุรุษผู้นี้มาในสถานที่แห่งนี้ได้
“ไม่จำเป็นต้องนอน นั่งก็ได้”
ในที่สุดนางก็พบทางออก จึงเดินไปอีกฟากฝั่งของเตียงนอน นั่งขอบเตียงให้ดูเป็นตัวอย่าง ประกายตาบ่งบอกความยุ่งยากใจของอีกฝ่ายลดลงทันที ใช่แล้ว... ถึงจะเป็นเตียงก็หาใช่ว่ามีไว้นอนเท่านั้น เตียงสามารถนั่งได้โดยไม่ผิดศีลธรรมและจรรยาบรรณที่ดี ไม่ขัดต่อมโนธรรมของตนเอง
“ตุ้ง แช่......”
เสียงร้องประสานเสียงดังเซ็งแซ่ขึ้น แม่นางหมกฮวกกระโดดลงจากเตียงมายืนด้วยความตกใจ ในขณะที่คุณชายปลาร้ากระโดดไปนั่งขอบเตียงอีกด้านด้วยความตกใจเช่นกัน แต่ม่านดำหน้าห้องยังคงปิดสนิท
“ใจเย็นๆ” คุณชายเอ่ยหลังจากระงับสติอารมณ์ลงได้
“ไม่ใช่ห้องเรา นั่นเป็นเสียงพวกรูดเปิดม่านห้องอื่นที่ประสบชะตากรรมแบบพวกเรา คนพวกนี้และพวกอื่นๆคงตระเวนเปิดม่านห้องพัก ตราบที่มีเงินในกระเป๋าจ่ายค่าเข้าชม”
นี่จึงนับว่าเป็นมนต์ขลังและพิสดารของโรงเตี๊ยมม่านรูด เป็นที่พำนัก ฝึกกายใจ เพื่อบรรลุธรรมะอะไรสักอย่าง หาใช่เรื่องเหลวไหลเลวร้ายไม่ คนทานทนอยู่ถึงรุ่งเช้านับว่าขั้นเทพจริงๆ
ในที่สุด ปีกม่านแห่งราตรีกาลก็มาเยือนเต็มที่ ท้องฟ้าเริ่มปรากฏหมู่ดาวพราวแพรวกระพริบไหว คืนนี้มีเสี้ยวจันทร์คล้ายเสี้ยวใจของใครบางคน ทั้งเสี้ยวจันทร์และเสี้ยวใจคล้ายคมมีดโค้งคมกริบบาดใจบาดความรู้สึกส่วนลึก สองคนสองฟากฝั่งเตียง สองใจยังไม่ประสาน ทั้งคู่นั่งหันหลังให้กัน ส่วนหัวใจเล่า....อยู่คนละฟากฝั่งหรือไม่
ทั้งคู่แหงนหน้ามองท้องฟ้า เป็นภาพขัดตาบาดใจพิกลพิสดาร
“ทำไมเราไม่นอนชมดาวดูเดือนกัน”
คุณชายปลาร้าเป็นฝ่ายเสนอแนะ เนื่องเพราะมันเริ่มเมื่อยคอแล้ว หากมิอาจแสดงความอ่อนแอออกมาปรากฏ
“ข้ากลัวตุ้งแช่....”
นับเป็นเหตุผลที่ใช้ได้เลยทีเดียว ต่อให้นักฆ่าถือดาบกุมกระบี่ถาโถมเข้ามา ยังไม่น่าตื่นตกใจเท่าตุ้งแช่...นักฆ่าถาโถมเข้ามายังสามารถกรีดมือวาดเท้าเตะออกต่อยกลับต้านรับโต้ตอบ ทว่า พวกตุ้งแช่มาเปิดม่านชนิดมิอาจคาดคำนวณ ทำได้เพียงเบิ่งตามอง ไม่อาจอาละวาดโต้ตอบอะไรได้ นับว่าขุ่นแค้นแสนทรมานสาหัสสากรรจ์ แต่นั่นล่ะ คือวิถีทางฝึกจิตของสถานที่แห่งนี้
“เราเพียงนอนชมดาวดูเดือนเคลื่อนคล้อย มีหมอนข้างกางกั้น ตุ๊งแช่ อย่างไรก็ไม่น่ากลัว เนื่องเพราะพวกเราไม่ได้ทำอะไร”
หมอนข้างใบใหญ่วางกางกั้นกายกั้นใจ มั่นคงยิ่งกว่าภูผาหินแกร่งปราการใด
ทั้งสองตกลงใจนอนลงคนละฟากฝั่ง เตียงฟากฝั่งใจ ยังไม่ทันลงนิ่งสนิทดี ผ้าม่านก็ถูกเปิดออกอีกครั้ง พร้อมแสงสว่างจากตะเกียงโบราณ
“ตุ้ง....แช่.....”
แม่นางส้มตำ.....บทที่ 2(ฝั่งฟากใจ)
http://ppantip.com/topic/31750722
ท้าบบทที่ 1
...แม่นางหมกฮวกแสร้งหันหน้าไปทางอื่น พลันรู้สึกนางกลับกลายเป็นตัวอะไร นางคล้ายกลับกลายเป็นแมงกุดจี่หน้าร้อน หรือแมงจินูนหน้าฝน รอผู้คนแคะพลิกฟื้นขึ้นมาเท่านั้น นางมีคุณค่าเพียงแค่นี้หรืออย่างไร
แต่แล้วคล้ายดั่งนึกอะไรออกมาได้ นางยืดอก ตะโกนดังๆว่า
“ใช่แล้ว ข้ากับคุณชายปลาร้า จะไปโรงเตี้ยมม่านรูดกัน”
ขอบคุณ ทุกท่านที่แวะมาเยือน ปลาบปลึ้มดีใจจากใจ..และ กิ๊ฟน่ารักจาก
สมาชิกหมายเลข 868666 , คุณแม่ใจดี ถูกใจ, สมาชิกหมายเลข 1275182 ถูกใจริมแม่โขง ขำกลิ้ง, โค อัสดง ถูกใจ, turtle_cheesecake ขำกลิ้ง, กาปอมซ่า ถูกใจ, Susisiri ถูกใจ, Darasawan ถูกใจ, ปริยาธร ถูกใจ, kasareev ขำกลิ้ง, มาโซคิส ขำกลิ้ง, etc_chamon ขำกลิ้ง CAN LIVE ขำกลิ้ง
บทที่ 2........(ฟากฟั่งใจ)
โรงเตี๊ยมม่านรูด เป็นสถานที่เผินๆ ฟังคล้ายอันตรายที่สุด หากความจริงปลอดภัยที่สุด สถานที่รโหฐานเร้นลับที่สุดกลับเปิดเผยแจ่มแจ้งที่สุด
ท่านอาจยังไม่เข้าใจ ว่า ปลอดภัยเปิดเผยอย่างไร
โรงเตี๊ยมม่านรูด ความจริงคล้ายห้องพักชั้นเดียว อยู่ข้างถนน ผู้คนผ่านไปผ่านมาไม่ขาดสาย หน้าห้องพักมีผ้าดำปิดสนิท แต่ผ้าม่านพวกนี้จะถูกเปิดออกทันทีทันใดได้ทุกเมื่อ ! เปิดให้ผู้คนมองเข้ามาหรือชะโงกหน้ามามองในห้องได้ทุกเมื่อ
การเปิดม่านนี้ จะไม่มีผู้ใดกำหนดได้ ไม่อาจระบุเวลาที่เปิดและปิดได้ เพราะขึ้นอยู่กับผู้คนภายนอก
ผู้คนที่มาพัก ไม่มีโอกาสเลยว่า ม่านจะถูกเปิดเมื่อไร ดังนั้นผู้คนที่มาพักพาอาศัย ไม่อาจประมาทชะล่าใจเด็ดขาด จะต้องพร้อมเสมอสำหรับการถูกเปิดโปงห้องพักต่อประชาชนชาวโลก
นี่เป็นกฎของโรงเตี๊ยมม่านรูด กำหนดขึ้นเพื่อความปลอดภัยของผู้พักพาอาศัย
คนมาพักต้องรับรับกฎ กติกา อย่างไร้ข้อแม้ใดๆ ไม่เช่นนั้นถูกปรับเป็นเงินมากมาย
นี่คือความหมายที่แท้จริงของโรงเตี๊ยมม่านรูด คือสามารถถูกรูดให้เปิดออกได้ทุกเวลา โดยไม่สนใจความรู้สึกของคนมาพัก!
คุณชายปลาร้าเดินนำหน้าอย่างอาจหาญ แม้ว่าทุกฝีก้าวคล้ายกำลังเหยียบย่ำลงบนหัวใจของตนเอง ไฉนคนที่มันรักกลับไม่รัก... คนที่มันหลงรักมันกลับไม่รัก.. คนที่มันไม่รักกลับสามารถเดินตามมันมา คนไม่รักกลับเป็นฝ่ายพาหัวใจของนางสนิทแนบติดตามมา ในขณะหัวใจของมันกลับติดปีกโผผินโบยบินออกไป
มันเพียงหวังให้หัวใจของมันปลิดปลิวไปตกลงในครกของแม่นางส้มตำ ยินยอมให้หัวใจถูกสาก้าตำจนแหลกละเอียดเป็นผุยผง เพียงหวังว่า..ความเจ็บปวดบางอย่างบางทีอาจต้องใช้ความเจ็บปวดที่รุนแรงมากกว่า..มากำราบบรรเทาเบาบาง..พอเจ็บปวดถึงระดับหนึ่งหวังว่าจะกลับกลายเป็นชาด้าน เข้าทำนอง เจ็บสุดยอดคืนสู่สามัญ
ในห้องเล็กมีโต๊ะตัวหนึ่งหนึ่ง มีเตียงนอนขนาดสองคนนอนเคียงเตียงหนึ่ง มีชาป้านหนึ่ง โคมไฟไม่ได้จุดดวงหนึ่ง ที่แปลกประหลาดคือไม่มีหลังคาปกคลุม สามารถมองเห็นท้องฟ้าชัดเจน เหมาะสำหรับการนอนดูดาวชมจันทร์สุดบรรยาย
แม่นางหมกฮวกกวาดตามองไปรอบๆ อย่างตื่นตะลึง นางยังไม่เคยเข้ามาในสถานที่แบบนี้มาก่อนเลยในชีวิต นางเองก็มิทราบใจของตนเองว่าเหตุใดจึงยอมพกหัวใจของตัวเองติดตามบุรุษหนุ่มผู้นี้เข้ามาอย่างไม่ลังเล นางเพียงทราบใจของตนเองว่าหลงรักบุรุษผู้มานี้มาเนิ่นนานลึกซึ้ง คุณชายผู้นี้ไม่หล่อเหลาราวเทพบุตร หากคนคิดจะรัก ย่อมมิจำเป็นต้องหล่อลากไส้หรือสวยลากตับ ความรู้สิ่งดีๆ ที่มีต่อกันชักนำก้าวพ้นสิ่งเหล่านี้ไปหมดสิ้น
รักคือรัก..ยังจะมีอะไรมากมายฟุ่มเฟือยมากกว่านี้ สิ่งที่มากกว่านี้เป็นเพียงการปรุงแต่งขยายสาขากิ่งก้านความรัก แก่นแท้รักคือรักเท่านั้น
รักโดยไม่ทราบเหตุผลที่แท้จริง รักกระทั่งบางคืนหลับฝันว่าได้เดินเกี่ยวก้อยประคองกันเดินไปตามทุ่งบุปผาแสนงดงามตระการตา สัมผัสความอบอุ่นแห่งรักและลมหายใจแห่งฝัน เพียงพลิกฟื้นลืมตาจากความฝันสิ่งสวยงาม ภาพฝันพลันลบเลือนกระชากหายหาย ไม่อาจดิ้นรนไขว่คว้าความฝันนั้นกลับมาอีกตลอดกาล ได้เพียงนอนน้ำตาคลอหล่นบนที่นอน
อดีตกาล ความฝัน และความทรงจำ มีหลายอย่างคล้ายกัน หนึ่งที่คล้ายกันคือเป็นสิ่งที่ไม่อาจจับต้องแก้ไขอะไรได้.. ไร้ตัวตน.. ห่างไกลออกไปทุกทีในกระแสเวลาอันโหดร้าย
นางแหงนหน้ามองท้องฟ้าซึ่งเริ่มมืดครึ้มลงแล้ว
“จะมืดแล้วนะ”
นางเพียงเกริ่นลอยๆ มือกำแน่นลมหายใจไม่เป็นจังหวะ ยืนนิ่งไม่อาจเคลื่อนไหวไปมาโดยพละการ อาจไม่เข้าใจอะไรมากมาย แต่เข้าใจเพียงเรื่องเดียวว่ากำลังอยู่กับคนรักเพียงลำพังก็เกินพอแล้ว
คุณชายปลาร้าลอบถอนใจ เริ่มคิดแล้วว่าเรื่องราวแบบนี้ถูกต้องหรือไม่
คุณชายปลาร้าพลันรู้สึกว่าความจริงแล้วความมืดหนักอึ้งในจิตใจตัวเองมีมากกว่า จึงเดินไปจุดโคมไฟอย่างเงียบงัน แสงไฟสว่างวับแวมลูบไล้ผนังห้องวูบไหวราวเพิ่งถูกปลุกขึ้นมาจากความมืดมน
อึดใจนั้นทั้งคู่ราวถูกสาปกะทันหัน วาจาที่คิดว่าจะเปล่งออกมากลับค้างคา.. เรื่องราวมากมายคิดกล่าวออกบอกเล่าล้วนชะงักงัน ..กระทั่งสบตากันยังไม่อาจหาญ ...หรือนี่เป็นมนต์ขลังของโรงเตี๊ยมม่านรูดอันลี้ลับพิสดาร
ทันใดนั้นเอง ม่านสีดำซึ่งเปิดสนิทด้านหน้าห้องพลันถูกเปิดออก แสงตะเกียงโคมไฟสาดส่องเจิดจ้าเข้ามาในห้อง พร้อมเสียงร้องประสานพร้อมเพรียง ทำให้ทั้งสองสะดุ้งสุดตัวด้วยความตกใจ
“ตุ๊ง แช่....”
ผู้คนนับสิบคน ทั้งบุรุษสตรี ทารกผู้เฒ่า หลายหลายสาขาอาชีพพากันยืนเรียงรายเต็มหน้าห้องพัก หลายคนถือโคมไฟแกว่งไกวสว่างกระจ่าง สายตาจับจ้องมายังคนทั้งคู่ด้วยสายตาเป็นประกาย
“พวกเขาไม่ได้ทำอะไรกัน....” ชายผู้หนึ่งพูดขึ้นดังๆ และมีเสียงพูดต่อเนื่องเซ็งแซ่
“ท่านคิดว่าพวกเขาจะทำอะไรกัน”
“ข้าคิดว่าพวกเขาอาจกำลังเป่ายิ้งฉุบกัน”
“ท่านบังอาจทะลึ่ง”
“เป่ายิ้งฉุบมีที่ใด ทะลึ่ง ท่านต่างหาก บังอาจคิดทะลึ่งล่วงหน้า..ลามกอนาจาร..นิสัยไม่ดี”
คุณชายปลาร้ากำหมัดแน่นสีหน้าแปรเปลี่ยนไปมา หากในที่สุดพลันสงบเยือกเย็นลง กฎข้อหนึ่งของโรงเตี๊ยมคือ ห้ามมิให้คนมาพำนักพักพิงพูดจาโต้ตอบกับท่านผู้ชมดูโดยเด็ดขาด โรงเตี๊ยมแห่งนี้พักแบบไม่คิดเงิน เพียงต้องทำตามกฎเท่านั้น
รายได้ของทางโรงเตี๊ยมได้มาจากการเก็บเงินจากท่านผู้ชม ซึ่งเดินไปมาตามถนนไม่ขาดสายเนื่องเพราะอีกฟากถนนเป็นแหล่งขายสินค้ามากมายโต้รุ่งอรุณ ผู้คนบนถนนสามารถเปิดม่านเข้ามาดูคนในห้องได้ทุกเวลาโดยเสียค่าดูชม มีกฎว่าดูได้... วิจารณ์ได้... แต่ห้ามพูดจาโต้ตอบกับคนในห้องพักโดยเด็ดขาด
คนที่ค้นคิดห้องพักแบบนี้ขึ้นมา ย่อมไม่ธรรมดา คล้ายทราบว่าคนเรายิ่งปิดยิ่งอยากเปิด บางทีก็อยากปิดสิ่งที่ควรเปิด ทำให้ถนนสายนี้เป็นที่เลื่องลือ กลายเป็นจุดขายอย่างหนึ่งของเมืองอย่างไม่น่าเชื่อ
รอจนม่านรูดปิดเข้า เมื่อครบเวลา คุณชายปลาร้าจึงฝืนยิ้ม หันไปบอกกับคนร่วมห้องว่า
“มันเป็นกฎของที่นี่”
“ข้าพอได้ยินได้ฟังมาบ้าง นับว่าเป็นการฝึกจิตวิธีหนึ่ง”
แม่นางหมกฮวกให้ความเห็นตามที่เคยได้ยินได้ฟังมา และเพิ่งฉุกใจคิดในบางเรื่องพลันเอ่ยว่า
“มีโต๊ะ แต่ไม่มีเก้าอี้ หมายความว่าอย่างไรกัน”
“หมายความว่า ทางโรงเตี๊ยมต้องการให้เรายืนคุยกัน หรือไม่ก็นอนคุยกัน”
คนฟังมีสีหน้าแดงระเรื่อทันที เพราะนางไม่เคยนอนคุยกับบุรุษใดมาก่อน นางปฏิบัติตามวิถีทางธรรมเนียมอย่างเคร่งครัด หากไฉนวันนี้ถึงกับเดินตามบุรุษผู้นี้มาในสถานที่แห่งนี้ได้
“ไม่จำเป็นต้องนอน นั่งก็ได้”
ในที่สุดนางก็พบทางออก จึงเดินไปอีกฟากฝั่งของเตียงนอน นั่งขอบเตียงให้ดูเป็นตัวอย่าง ประกายตาบ่งบอกความยุ่งยากใจของอีกฝ่ายลดลงทันที ใช่แล้ว... ถึงจะเป็นเตียงก็หาใช่ว่ามีไว้นอนเท่านั้น เตียงสามารถนั่งได้โดยไม่ผิดศีลธรรมและจรรยาบรรณที่ดี ไม่ขัดต่อมโนธรรมของตนเอง
“ตุ้ง แช่......”
เสียงร้องประสานเสียงดังเซ็งแซ่ขึ้น แม่นางหมกฮวกกระโดดลงจากเตียงมายืนด้วยความตกใจ ในขณะที่คุณชายปลาร้ากระโดดไปนั่งขอบเตียงอีกด้านด้วยความตกใจเช่นกัน แต่ม่านดำหน้าห้องยังคงปิดสนิท
“ใจเย็นๆ” คุณชายเอ่ยหลังจากระงับสติอารมณ์ลงได้
“ไม่ใช่ห้องเรา นั่นเป็นเสียงพวกรูดเปิดม่านห้องอื่นที่ประสบชะตากรรมแบบพวกเรา คนพวกนี้และพวกอื่นๆคงตระเวนเปิดม่านห้องพัก ตราบที่มีเงินในกระเป๋าจ่ายค่าเข้าชม”
นี่จึงนับว่าเป็นมนต์ขลังและพิสดารของโรงเตี๊ยมม่านรูด เป็นที่พำนัก ฝึกกายใจ เพื่อบรรลุธรรมะอะไรสักอย่าง หาใช่เรื่องเหลวไหลเลวร้ายไม่ คนทานทนอยู่ถึงรุ่งเช้านับว่าขั้นเทพจริงๆ
ในที่สุด ปีกม่านแห่งราตรีกาลก็มาเยือนเต็มที่ ท้องฟ้าเริ่มปรากฏหมู่ดาวพราวแพรวกระพริบไหว คืนนี้มีเสี้ยวจันทร์คล้ายเสี้ยวใจของใครบางคน ทั้งเสี้ยวจันทร์และเสี้ยวใจคล้ายคมมีดโค้งคมกริบบาดใจบาดความรู้สึกส่วนลึก สองคนสองฟากฝั่งเตียง สองใจยังไม่ประสาน ทั้งคู่นั่งหันหลังให้กัน ส่วนหัวใจเล่า....อยู่คนละฟากฝั่งหรือไม่
ทั้งคู่แหงนหน้ามองท้องฟ้า เป็นภาพขัดตาบาดใจพิกลพิสดาร
“ทำไมเราไม่นอนชมดาวดูเดือนกัน”
คุณชายปลาร้าเป็นฝ่ายเสนอแนะ เนื่องเพราะมันเริ่มเมื่อยคอแล้ว หากมิอาจแสดงความอ่อนแอออกมาปรากฏ
“ข้ากลัวตุ้งแช่....”
นับเป็นเหตุผลที่ใช้ได้เลยทีเดียว ต่อให้นักฆ่าถือดาบกุมกระบี่ถาโถมเข้ามา ยังไม่น่าตื่นตกใจเท่าตุ้งแช่...นักฆ่าถาโถมเข้ามายังสามารถกรีดมือวาดเท้าเตะออกต่อยกลับต้านรับโต้ตอบ ทว่า พวกตุ้งแช่มาเปิดม่านชนิดมิอาจคาดคำนวณ ทำได้เพียงเบิ่งตามอง ไม่อาจอาละวาดโต้ตอบอะไรได้ นับว่าขุ่นแค้นแสนทรมานสาหัสสากรรจ์ แต่นั่นล่ะ คือวิถีทางฝึกจิตของสถานที่แห่งนี้
“เราเพียงนอนชมดาวดูเดือนเคลื่อนคล้อย มีหมอนข้างกางกั้น ตุ๊งแช่ อย่างไรก็ไม่น่ากลัว เนื่องเพราะพวกเราไม่ได้ทำอะไร”
หมอนข้างใบใหญ่วางกางกั้นกายกั้นใจ มั่นคงยิ่งกว่าภูผาหินแกร่งปราการใด
ทั้งสองตกลงใจนอนลงคนละฟากฝั่ง เตียงฟากฝั่งใจ ยังไม่ทันลงนิ่งสนิทดี ผ้าม่านก็ถูกเปิดออกอีกครั้ง พร้อมแสงสว่างจากตะเกียงโบราณ
“ตุ้ง....แช่.....”