"นี่! ไม่ใส่เสื้อก่อนอุ้มยัยปลายวะ!" ชายหนุ่มหน้ามนยืนกอดอกกลั้วขำลั่นห้องในเชิงต่อว่า แต่ใบหน้ากลับมีรอยยิ้มที่จับผิดเพื่อนได้ จากนั้นโยนเสื้อไปให้
รัตนะรับเสื้อที่กำลังลอยมาตกใส่หน้า นำมาสวม แล้วตอบกลับ "เสียงดังจริงโว้ย ข้างนอกคนยิ่งเยอะๆ อยู่ กู...ก็ซัดซะเต็มข้อ เห็นเสื้อฟ้าๆ เสาเหล็กขาว ๆ ก็นึกว่าประตูอยู่ทางนั้น ตอนนี้...อย่าพึ่งด่ากู ดูยัยปลายก่อน”
“ถามจริงๆ เคืองปลายขนาดนั้น”
“ใช่ที่ไหน ต่อให้โกรธกว่านี้ กูก็ไม่ทำผู้หญิงให้บาดเจ็บหรอก”
หนึ่งปีที่ผ่านมา สองคนนี้เคืองกันก็จริง ส่วนใหญ่เป็นการกลั่นแกล้งกันทางสิ่งของ และก็แกล้งในขอบเขต พอให้อีกฝ่ายโมโหแค้นใจเท่านั้น ยังไม่เคยถึงขั้นลงไม้ลงมือทำร้ายร่างกายกันเลย เพราะต่างฝ่ายต่างรู้ดีว่ามันไม่ใช่นิสัยของคนที่ได้รับการสั่งสอนมาอย่างดี อาจรุกรามไปถึงขั้นการเลี้ยงดูของบุพการีจะพลอยเสื่อมเสียทั้งตระกูลเอาได้
ศุภรักษ์กระตุกยิ้ม กวาดตามองรอบห้องดูกลุ่มคนตามบานหน้าต่าง แล้วพูดก่อกวนต่อด้วยเสียงที่เบาลง “แน่ใจ...กูรู้ว่าเคืองปลาย ที่ปล่อยลมจักรยานวันก่อน ได้จังหวะเตะบอลอัดใส่ ไม่เนียนเลยนะ”
กัปตันทีมฟุตบอลยืนเท้าสะเอว ลูบคางขบคิด เหตุไฉนถึงยิงพลาดเป้าได้ ประตูฟุตบอลกับสแตนด์สีฟ้าอยู่กันคนละทิศแทบตั้งฉากกัน ในสมองคิดทบทวนอย่างมึนตึง พยาบาลสาวเริ่มเดินออกมาเป็นคนแรกจากบริเวณเตียงคนไข้หญิง โดยมีชายร่างเล็กสันทัดและฐิตินันท์เดินตามหลัง ผู้คนภายนอกที่พอมองเห็นการเคลื่อนไหวภายใน ก็เริ่มส่งข่าวบอกต่อกันจนเกิดเสียงอื้ออึ่งรอบอาคาร
สาวผมบ๊อบประบ่าถลึงตาใส่รัตนะแล้วเดินสะบัดๆ ไปปิดม่านหน้าต่างให้มิดชิดกว่าเดิม ก่อนรูดม่านก็เหลือกตาใส่พวกที่ติดอยู่ขอบหน้าต่างเป็นเชิงเตือนว่าให้...เลิกเผือกได้แล้ว ส่วนพยาบาลสาวเมื่อเห็นคนทำผิดยืนหัวโด่ จึงรีบสาวเท้าไปยืนตรงหน้า แล้วแหงนหน้าขึ้นด้วยสายตาโกรธและผิดหวัง
"ใครที่ไหนเขาบ้าฟุตบอลอย่างเธอ พึ่งบริจาคเลือดไปตอนบ่ายสี่ แล้วไปซ้อมฟุตบอลต่อเลยเนี้ยนะ ไม่สลบก็ดีเท่าไรแล้ว..." หล่อนบ่นเสียงดัง อยากด่าผู้ช่วยพยาบาลที่ไม่ประมาณตน ทั้งๆ ที่เรื่องสุขภาพหลังการถ่ายเลือดควรมีความรู้มากกว่าคนทั่วไป แต่นี่กลับกลายมาเป็นเสียเอง ความผิดข้อนี้ทำให้ห้องพยาบาลด่างพร้อยว่าไม่มีองค์ความรู้แม่นยำ
ด้วยเงื่อนไขระหว่างทั้งสามคน รัตนะต้องมาเป็นผู้ช่วยห้องพยาบาลในช่วงบ่าย ตั้งแต่ปีที่แล้ว พอโดนบ่นก็หลุบตามองร่างบนเตียง แต่ก็ไม่วายแอบขี้เล่นไปกับเพื่อน
"ก็สลบนี่ครับ"
ดีที่ฐิตินันท์มัวแต่ไปเก็บม่านตามขอบหน้าต่าง หากได้ยินประโยคนี้ รัตนะมีหวังโดนชกท้องเข้าไปอักหนึ่ง
มือเล็กวาดเร็วไปตบที่หัวรัตนะหนึ่งโป้กทันที "นี่แนะ! ยังจะเล่นอีก!" จากนั้นเดินไปยืนข้างเตียงปลายนภาเปลี่ยนน้ำเสียงตามภาพที่เห็นด้วยความเวทนา "ผู้หญิงสวยน่ารัก ตัวบางๆ โดนลูกฟุตบอลอัดซะเต็มแรง น่าสงสารจังเลย..."
ดวงหน้าเล็กจิ้มลิ้มหลุบตามองร่างนักเรียนสาว เห็นใบหน้าสวยใสหลับตาซึม มีเส้นผมดำสยายดุจเส้นไหมปิดบังอยู่ครึ่งหน้า มือของหล่อนจึงยื่นไปลูบหัวทุยเบาๆ ด้วยความสงสาร พร้อมมองสำรวจเรือนร่างเฟ้นหาร่องรอยบาดแผลฟกช้ำอื่น กลัวหลุดรอดสายตา มืออีกข้างคอยกวัดแกว่งสำลีซับแอมโมเนียที่ปลายจมูก
ฐิตินันท์เมื่อปิดม่านจนครบ เดินมายืนข้างพยาบาลประจำห้องดูใบหน้าเพื่อนแล้วสงสาร พูดอะไรไม่ออก ได้แต่ขบกรามแน่นนึกอยากต่อยรัตนะแก้แค้นแทนเพื่อน แต่รัตนะก็ตัวสูงเกินไป จึงได้แต่มองด้วยสายตาขวางดั่งคมมีด
โค้ชฟุตบอลเดินมาสัมทับที่ด้านข้างพยาบาลสาวอีกคน "หมอหนึ่งธิดาครับ ครูว่า...เราควรทำยังไงกันดี ถ้าหนูปลายไม่ฟื้นง่าย หน้าก็มีรอยแดงช้ำ...” แล้วตวัดตาแข็งไปยังคนทำผิดตะเบ็งเสียง “...พ่อแม่หนูปลายโวยแน่ ลูกสาวทั้งคนต้องมาเสียโฉมเพราะเอ็ง นายรัตนะ!"
ประโยคหลังโค้ชฟุตบอลพูดหนักแน่นชัดเจนคล้ายครูฝึกทหาร หวังกดดันรัตนะให้แสดงความรับผิดชอบต่อความผิดที่ได้กระทำไปทั้งตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม เป็นสิ่งที่เขาพร่ำสอนอย่างเข้มงวดมาโดยตลอด หากทุกคนในทีมทำอะไรผิดพลาดไป ไม่ว่าจะในหรือนอกสนาม มันคือสปิริตนักกีฬาอันภาคภูมิใจที่ควรรักษาไว้
"เดี๋ยวแจ๊สโทรเองค่ะครูแดง ในสถานการณ์แบบนี้ พยาบาลพูด...น่าเชื่อถือกว่าค่ะ" ว่าแล้วก็ถอยฉากออกทันที ต้องการปลีกตัวออกจากครูหนุ่มร่างเล็กที่ยืนใกล้หล่อนเกินไป แล้วหยิบโทรศัพท์ที่วางไว้บนโต๊ะทำงาน
‘ครูแดง’ เป็นชายร่างเล็กสันทัด มีความสูงไม่ถึงมาตรฐานชายไทย ผิวกร้านดำแดง เจ้าของฉายา ‘จังซี่ แดง’ ไม่ใช่ ‘เมซซี่ เจ’ อดีตนักฟุตบอลทีมชาติผู้มีบุคลิกละม้ายคล้ายต้นฉบับ อีกทั้งเป็นหนุ่มอีสาน จนคนในโรงเรียนอดไม่ได้แอบตั้งฉายาให้ ชื่อนี้จึงดูเข้ากันดี
หนึ่งธิดาเดินกลับมา เปลี่ยนมายืนข้างนักเรียนผมหน้าม้าแทน ถามคนยืนข้าง รอกดหมายเลข "ฟาง...พี่ขอเบอร์พ่อแม่ของปลายหน่อยสิ"
ขณะที่สาวน้อยแว่นกลมจะขยับปาก มีมือเรียวขาวซีดจับที่ข้อมือเล็กของหนึ่งธิดา
ทุกสายตาหันไปที่ใบหน้าคนบนเตียง ปลายนภาลืมตาได้เพียงครึ่งดวง ดวงตายังสั่นระริกมองมาที่หนึ่งธิดา
"อย่าพึ่งโทรนะคะ เดี๋ยวพ่อปลายไม่ให้ซ้อมเชียร์กันพอดี" เสียงสั่นเทาอยู่แค่ในลำคอพยายามฝืนพูด แต่ทุกคนก็ได้ยินชัด
สองสาวขยับตัวไปประคองร่างบอบบางเอาหมอนรองไว้ที่หัวเตียงเพื่อให้เอนหลังได้ถนัด หนึ่งธิดาอยากซักถามอาการทางสมอง จึงขับไสหนุ่มๆ ออกไปรอที่โถงห้องด้านหน้า จากนั้นรูดม่านรอบเตียงปิดมิดชิดตรวจดูอาการ
ปกติแล้วเวลามีคนป่วยมาที่ห้องพยาบาล รัตนะจะเป็นผู้ช่วยให้กับพยาบาลสาว แต่คนไข้ตอนนี้เป็นปลายนภาซึ่งรัตนะเป็นผู้ก่อเหตุ คงไม่เป็นการดีหากให้เขาเข้าไปช่วย หนึ่งธิดากับรัตนะพอสบตากันก็พอรู้ความหมายของอีกฝ่ายโดยไม่ต้องเอ่ยปาก รัตนะจึงมายืนรออยู่กับศุภรักษ์และครูแดง
อึดใจใหญ่ เสียงรูดม่านดังขึ้น สามหนุ่มที่ยืนมองอย่างลุ้นๆ ก็หันไปจับที่เตียงคนไข้ พยาบาลประจำอาคารและเพื่อนสนิทคนไข้เดินประคองร่างเพรียวบางอย่างระมัดระวัง ก้าวแรกพอพ้นห้องออกมา
“ฟาง พี่ฝากปลายไว้ก่อน” หนึ่งธิดาหน้าแปรเปลี่ยนเป็นเครียดขรึมเดินเร็วไปที่รัตนะ ฝามือเล็กบางฟาดเร็วไปตบกะโหลกหนุ่มร่างสูงเสียงดังสอง-สามทีอย่างโมโห "นี่ดูสิ! นอกจากหน้ามีรอยยี่ห้อลูกฟุตบอลแล้ว ข้อมือน้องเค้ายังเคล็ดอีก ดีนะที่ไม่หัก!"
เมื่อพูดชี้เป้า สามหนุ่มต่างวัยก็มองไปที่จุดเดียวกัน บริเวณหน้าผากเหนือคิ้วซ้ายเล็กน้อย มีรอยยี่ห้อฟุตบอลเป็นรูปดาวห้าแฉกเด่นชัด แม้พวกเขายืนห่างปลายนภา 2-3 เมตรก็ยังเห็น แทนที่หนุ่มๆ จะสงสารหน้าสวยๆ แต่ต้องกลั้นขำอมมันเอาไว้ พยายามเบือนหน้าหนีไปทางอื่น แต่ก็อดเผลอมาดูรอยบนหน้าผากไม่ได้ อะไรมันจะเหมาะเจาะไปโดนตรงยี่ห้อลูกฟุตบอล หากโดนส่วนอื่นๆ อย่างมากก็เป็นรอยแดงช้ำทั่วไป มาถึงตอนนี้สิ่งที่กลั้นเอาไว้มันเกือบทะลักออกมาจนรู้สึกปวดกราม ครั้นอยากจะหัวเราะออกมาให้มันแล้วๆ ก็ไม่กล้า เพราะสายตาของปลายนภานั้นมองแรง โกรธรัตนะที่สุดเท่าที่เคยทำกันมา มือสองข้างกำขยี้ขากางเกงตัวเองไว้แน่นระบายความโกรธ
รัตนะรู้ตัวดีว่าเป็นความผิดของตน แต่ต้องกลั้นหัวเราะเอาไว้ซึ่งมันก็ใกล้จะระเบิดออกมาเต็มที จึงตัดสินใจในทันใด วิ่งเร็วปรื๋อกระแทกประตูออกไปข้างนอกฝ่าผู้คนที่ยืนล้อมอาคาร มุ่งตรงไปยังห้องน้ำรวม เห็นอ่างล้างหน้ารีบเปิดน้ำให้เต็ม น้ำก็ดันไหลช้าอ้อยอิ่งผิดเวลา
ทุกคนที่อยู่ภายนอกนึกว่ารัตนะวิ่งหนีความผิดเสียดื้อๆ
เมื่อน้ำไหลช้า จึงจ้วงตักเอาน้ำในห้องส้วมมาเทเสริม พอน้ำเต็ม จึงมุดหน้าลงไประเบิดสิ่งที่อัดอั้นไว้จนฟองในน้ำแตกฟอดๆ พอรู้สึกตัวว่าเริ่มปลอดโปร่งโล่งขึ้นมาก ก็วิ่งเร็วฝ่าฝูงคนในขณะที่เสื้อผ้าเปียกน้ำไปทั้งตัว ผู้คนยิ่งมองยิ่งสงสัย ต่างเดากันไปเองว่ารัตนะคงเครียดหนักเลยต้องเอาน้ำมาล้างตัว
พอกลับเข้ามาในห้องพยาบาลที่ทุกคนกำลังหน้าดำคร่ำเครียด โดยเฉพาะพวกผู้หญิงที่มองมาอย่างไม่วางตา ส่วนพวกผู้ชายรัตนะเดาไม่ออกว่าผ่านจุดนั้นมาได้อย่างไร เพราะเขาเองก็แทบแย่ ในสภาพเปียกปอนอีกทั้งดวงตาที่แดงก่ำ ปลายนภา ฐิตินันท์และครูแดงนึกไปในทางเดียวกันว่า รัตนะคงแอบไปร้องไห้เสียใจมา แต่ต้องการรักษาฟอร์มจึงหลบไปคนเดียว ทำให้คลายความโกรธลงได้บางส่วน มีแต่ศุภรักษ์และหนึ่งธิดาที่รู้นิสัยรัตนะดีว่าไปทำอะไรมา ศุภรักษ์จึงเบือนหน้าหนีแอบไปหัวเราะคิกๆ ส่วนหนึ่งธิดาก็ส่ายหน้าหน่ายอย่างเอือมระอา
ร่างสูงพอได้ปล่อยของที่อั้นไว้ ความสำนึกผิดก็วิ่งเข้ามาแทนที่ ก้มหน้าลงต่ำมือลูบหัวตัวเองรู้สึกผิดและอาย ซ้ำยังโดนพี่พยาบาลตบหัวต่อหน้าคนอื่น จึงเดินหน้าหงอยๆ ไปหาปลายนภาที่มีคนช่วยยืนประคองตัว ตาโตคู่งามตอนนี้เหลือกจนแทบถลนออกจากเบ้า ประกายตาคล้ายมีดพวยพุ่งออกมาสิบๆ เล่ม ปลายนภาอยากระเบิดความแค้นออกมา แต่ก็ไม่มีเรี่ยวแรงมากพอ ได้แต่พูดออกมาอย่างยากลำบาก
“นาย...นาย...นายนี่มัน...”
รัตนะสู้รังสีอาฆาตไม่ไหวหลบตาไปทางอื่น รู้ตัวว่าต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ทำ จึงเดินเข้าไปหาอีกก้าวเพื่อขอโทษอย่างเป็นทางการ ขณะก้มโค้งยกมือไหว้ขอโทษด้วยความสำนึกผิดอย่างจริงใจ ร่างใหญ่ก็ล้มฮวบทันที เหมือนตุ๊กตายางที่ถูกปล่อยลมออกอย่างฉับพลัน โชคดีที่มีผู้ชายอยู่ในห้องพยาบาล ไม่งั้นคงเอาร่างใหญ่ของรัตนะไม่ขึ้น จะให้พวกไทยมุงด้านนอกเข้ามาช่วยก็ดูจะวุ่นวายเกินไป
ผ่านไปอีกประมาณครึ่งชั่วโมง รัตนะเริ่มได้สติ ลืมตาแล้วขยับตัวขึ้นนั่ง
หนึ่งธิดาเห็นอาการไม่สู้ดีของเด็กในสังกัดและน้องนักเรียนหญิง จึงเดินไปปรึกษาโค้ชฟุตบอล
"ครูแดงค่ะหนูว่า เอารถกระบะของครูมาจอดไว้ที่หน้าห้องนี้เถอะค่ะ เด็กสองคนนี้คงกลับบ้านเองไม่ได้แล้วล่ะ คนหนึ่งก็เจ็บข้อมือขี่มอ’ไซค์กลับบ้านเองไม่ได้...” แล้วเหลือบไปมองรัตนะอย่างเซ็งๆ ค่อยแค่นเสียงพูดเหนื่อยๆ “อีกคนก็อย่าพึ่งบ้าพลังอวดดีปั่นจักรยานกลับบ้าน เดี๋ยวก็หน้ามืดลงข้างทางไปอีก”
สาวหน้าเล็กปลายตาชี้นำไปทางหน้าต่างแต่ละบาน “เด็กสมัยนี้ทำตัวอย่างกับเป็นนักข่าว ดูสิยังออกันอยู่เต็ม นี่กะจะถ่ายรูปลงโซเชียลกันรัวๆ แน่"
ศุภรักษ์ยิ้มมั่นใจหัวเราะออกมา "เอางี้ ผมมีแผน..."
นิยาย : แกล็งเธอจนเผลอรัก (2. ตกที่สูง)
รัตนะรับเสื้อที่กำลังลอยมาตกใส่หน้า นำมาสวม แล้วตอบกลับ "เสียงดังจริงโว้ย ข้างนอกคนยิ่งเยอะๆ อยู่ กู...ก็ซัดซะเต็มข้อ เห็นเสื้อฟ้าๆ เสาเหล็กขาว ๆ ก็นึกว่าประตูอยู่ทางนั้น ตอนนี้...อย่าพึ่งด่ากู ดูยัยปลายก่อน”
“ถามจริงๆ เคืองปลายขนาดนั้น”
“ใช่ที่ไหน ต่อให้โกรธกว่านี้ กูก็ไม่ทำผู้หญิงให้บาดเจ็บหรอก”
หนึ่งปีที่ผ่านมา สองคนนี้เคืองกันก็จริง ส่วนใหญ่เป็นการกลั่นแกล้งกันทางสิ่งของ และก็แกล้งในขอบเขต พอให้อีกฝ่ายโมโหแค้นใจเท่านั้น ยังไม่เคยถึงขั้นลงไม้ลงมือทำร้ายร่างกายกันเลย เพราะต่างฝ่ายต่างรู้ดีว่ามันไม่ใช่นิสัยของคนที่ได้รับการสั่งสอนมาอย่างดี อาจรุกรามไปถึงขั้นการเลี้ยงดูของบุพการีจะพลอยเสื่อมเสียทั้งตระกูลเอาได้
ศุภรักษ์กระตุกยิ้ม กวาดตามองรอบห้องดูกลุ่มคนตามบานหน้าต่าง แล้วพูดก่อกวนต่อด้วยเสียงที่เบาลง “แน่ใจ...กูรู้ว่าเคืองปลาย ที่ปล่อยลมจักรยานวันก่อน ได้จังหวะเตะบอลอัดใส่ ไม่เนียนเลยนะ”
กัปตันทีมฟุตบอลยืนเท้าสะเอว ลูบคางขบคิด เหตุไฉนถึงยิงพลาดเป้าได้ ประตูฟุตบอลกับสแตนด์สีฟ้าอยู่กันคนละทิศแทบตั้งฉากกัน ในสมองคิดทบทวนอย่างมึนตึง พยาบาลสาวเริ่มเดินออกมาเป็นคนแรกจากบริเวณเตียงคนไข้หญิง โดยมีชายร่างเล็กสันทัดและฐิตินันท์เดินตามหลัง ผู้คนภายนอกที่พอมองเห็นการเคลื่อนไหวภายใน ก็เริ่มส่งข่าวบอกต่อกันจนเกิดเสียงอื้ออึ่งรอบอาคาร
สาวผมบ๊อบประบ่าถลึงตาใส่รัตนะแล้วเดินสะบัดๆ ไปปิดม่านหน้าต่างให้มิดชิดกว่าเดิม ก่อนรูดม่านก็เหลือกตาใส่พวกที่ติดอยู่ขอบหน้าต่างเป็นเชิงเตือนว่าให้...เลิกเผือกได้แล้ว ส่วนพยาบาลสาวเมื่อเห็นคนทำผิดยืนหัวโด่ จึงรีบสาวเท้าไปยืนตรงหน้า แล้วแหงนหน้าขึ้นด้วยสายตาโกรธและผิดหวัง
"ใครที่ไหนเขาบ้าฟุตบอลอย่างเธอ พึ่งบริจาคเลือดไปตอนบ่ายสี่ แล้วไปซ้อมฟุตบอลต่อเลยเนี้ยนะ ไม่สลบก็ดีเท่าไรแล้ว..." หล่อนบ่นเสียงดัง อยากด่าผู้ช่วยพยาบาลที่ไม่ประมาณตน ทั้งๆ ที่เรื่องสุขภาพหลังการถ่ายเลือดควรมีความรู้มากกว่าคนทั่วไป แต่นี่กลับกลายมาเป็นเสียเอง ความผิดข้อนี้ทำให้ห้องพยาบาลด่างพร้อยว่าไม่มีองค์ความรู้แม่นยำ
ด้วยเงื่อนไขระหว่างทั้งสามคน รัตนะต้องมาเป็นผู้ช่วยห้องพยาบาลในช่วงบ่าย ตั้งแต่ปีที่แล้ว พอโดนบ่นก็หลุบตามองร่างบนเตียง แต่ก็ไม่วายแอบขี้เล่นไปกับเพื่อน
"ก็สลบนี่ครับ"
ดีที่ฐิตินันท์มัวแต่ไปเก็บม่านตามขอบหน้าต่าง หากได้ยินประโยคนี้ รัตนะมีหวังโดนชกท้องเข้าไปอักหนึ่ง
มือเล็กวาดเร็วไปตบที่หัวรัตนะหนึ่งโป้กทันที "นี่แนะ! ยังจะเล่นอีก!" จากนั้นเดินไปยืนข้างเตียงปลายนภาเปลี่ยนน้ำเสียงตามภาพที่เห็นด้วยความเวทนา "ผู้หญิงสวยน่ารัก ตัวบางๆ โดนลูกฟุตบอลอัดซะเต็มแรง น่าสงสารจังเลย..."
ดวงหน้าเล็กจิ้มลิ้มหลุบตามองร่างนักเรียนสาว เห็นใบหน้าสวยใสหลับตาซึม มีเส้นผมดำสยายดุจเส้นไหมปิดบังอยู่ครึ่งหน้า มือของหล่อนจึงยื่นไปลูบหัวทุยเบาๆ ด้วยความสงสาร พร้อมมองสำรวจเรือนร่างเฟ้นหาร่องรอยบาดแผลฟกช้ำอื่น กลัวหลุดรอดสายตา มืออีกข้างคอยกวัดแกว่งสำลีซับแอมโมเนียที่ปลายจมูก
ฐิตินันท์เมื่อปิดม่านจนครบ เดินมายืนข้างพยาบาลประจำห้องดูใบหน้าเพื่อนแล้วสงสาร พูดอะไรไม่ออก ได้แต่ขบกรามแน่นนึกอยากต่อยรัตนะแก้แค้นแทนเพื่อน แต่รัตนะก็ตัวสูงเกินไป จึงได้แต่มองด้วยสายตาขวางดั่งคมมีด
โค้ชฟุตบอลเดินมาสัมทับที่ด้านข้างพยาบาลสาวอีกคน "หมอหนึ่งธิดาครับ ครูว่า...เราควรทำยังไงกันดี ถ้าหนูปลายไม่ฟื้นง่าย หน้าก็มีรอยแดงช้ำ...” แล้วตวัดตาแข็งไปยังคนทำผิดตะเบ็งเสียง “...พ่อแม่หนูปลายโวยแน่ ลูกสาวทั้งคนต้องมาเสียโฉมเพราะเอ็ง นายรัตนะ!"
ประโยคหลังโค้ชฟุตบอลพูดหนักแน่นชัดเจนคล้ายครูฝึกทหาร หวังกดดันรัตนะให้แสดงความรับผิดชอบต่อความผิดที่ได้กระทำไปทั้งตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม เป็นสิ่งที่เขาพร่ำสอนอย่างเข้มงวดมาโดยตลอด หากทุกคนในทีมทำอะไรผิดพลาดไป ไม่ว่าจะในหรือนอกสนาม มันคือสปิริตนักกีฬาอันภาคภูมิใจที่ควรรักษาไว้
"เดี๋ยวแจ๊สโทรเองค่ะครูแดง ในสถานการณ์แบบนี้ พยาบาลพูด...น่าเชื่อถือกว่าค่ะ" ว่าแล้วก็ถอยฉากออกทันที ต้องการปลีกตัวออกจากครูหนุ่มร่างเล็กที่ยืนใกล้หล่อนเกินไป แล้วหยิบโทรศัพท์ที่วางไว้บนโต๊ะทำงาน
‘ครูแดง’ เป็นชายร่างเล็กสันทัด มีความสูงไม่ถึงมาตรฐานชายไทย ผิวกร้านดำแดง เจ้าของฉายา ‘จังซี่ แดง’ ไม่ใช่ ‘เมซซี่ เจ’ อดีตนักฟุตบอลทีมชาติผู้มีบุคลิกละม้ายคล้ายต้นฉบับ อีกทั้งเป็นหนุ่มอีสาน จนคนในโรงเรียนอดไม่ได้แอบตั้งฉายาให้ ชื่อนี้จึงดูเข้ากันดี
หนึ่งธิดาเดินกลับมา เปลี่ยนมายืนข้างนักเรียนผมหน้าม้าแทน ถามคนยืนข้าง รอกดหมายเลข "ฟาง...พี่ขอเบอร์พ่อแม่ของปลายหน่อยสิ"
ขณะที่สาวน้อยแว่นกลมจะขยับปาก มีมือเรียวขาวซีดจับที่ข้อมือเล็กของหนึ่งธิดา
ทุกสายตาหันไปที่ใบหน้าคนบนเตียง ปลายนภาลืมตาได้เพียงครึ่งดวง ดวงตายังสั่นระริกมองมาที่หนึ่งธิดา
"อย่าพึ่งโทรนะคะ เดี๋ยวพ่อปลายไม่ให้ซ้อมเชียร์กันพอดี" เสียงสั่นเทาอยู่แค่ในลำคอพยายามฝืนพูด แต่ทุกคนก็ได้ยินชัด
สองสาวขยับตัวไปประคองร่างบอบบางเอาหมอนรองไว้ที่หัวเตียงเพื่อให้เอนหลังได้ถนัด หนึ่งธิดาอยากซักถามอาการทางสมอง จึงขับไสหนุ่มๆ ออกไปรอที่โถงห้องด้านหน้า จากนั้นรูดม่านรอบเตียงปิดมิดชิดตรวจดูอาการ
ปกติแล้วเวลามีคนป่วยมาที่ห้องพยาบาล รัตนะจะเป็นผู้ช่วยให้กับพยาบาลสาว แต่คนไข้ตอนนี้เป็นปลายนภาซึ่งรัตนะเป็นผู้ก่อเหตุ คงไม่เป็นการดีหากให้เขาเข้าไปช่วย หนึ่งธิดากับรัตนะพอสบตากันก็พอรู้ความหมายของอีกฝ่ายโดยไม่ต้องเอ่ยปาก รัตนะจึงมายืนรออยู่กับศุภรักษ์และครูแดง
อึดใจใหญ่ เสียงรูดม่านดังขึ้น สามหนุ่มที่ยืนมองอย่างลุ้นๆ ก็หันไปจับที่เตียงคนไข้ พยาบาลประจำอาคารและเพื่อนสนิทคนไข้เดินประคองร่างเพรียวบางอย่างระมัดระวัง ก้าวแรกพอพ้นห้องออกมา
“ฟาง พี่ฝากปลายไว้ก่อน” หนึ่งธิดาหน้าแปรเปลี่ยนเป็นเครียดขรึมเดินเร็วไปที่รัตนะ ฝามือเล็กบางฟาดเร็วไปตบกะโหลกหนุ่มร่างสูงเสียงดังสอง-สามทีอย่างโมโห "นี่ดูสิ! นอกจากหน้ามีรอยยี่ห้อลูกฟุตบอลแล้ว ข้อมือน้องเค้ายังเคล็ดอีก ดีนะที่ไม่หัก!"
เมื่อพูดชี้เป้า สามหนุ่มต่างวัยก็มองไปที่จุดเดียวกัน บริเวณหน้าผากเหนือคิ้วซ้ายเล็กน้อย มีรอยยี่ห้อฟุตบอลเป็นรูปดาวห้าแฉกเด่นชัด แม้พวกเขายืนห่างปลายนภา 2-3 เมตรก็ยังเห็น แทนที่หนุ่มๆ จะสงสารหน้าสวยๆ แต่ต้องกลั้นขำอมมันเอาไว้ พยายามเบือนหน้าหนีไปทางอื่น แต่ก็อดเผลอมาดูรอยบนหน้าผากไม่ได้ อะไรมันจะเหมาะเจาะไปโดนตรงยี่ห้อลูกฟุตบอล หากโดนส่วนอื่นๆ อย่างมากก็เป็นรอยแดงช้ำทั่วไป มาถึงตอนนี้สิ่งที่กลั้นเอาไว้มันเกือบทะลักออกมาจนรู้สึกปวดกราม ครั้นอยากจะหัวเราะออกมาให้มันแล้วๆ ก็ไม่กล้า เพราะสายตาของปลายนภานั้นมองแรง โกรธรัตนะที่สุดเท่าที่เคยทำกันมา มือสองข้างกำขยี้ขากางเกงตัวเองไว้แน่นระบายความโกรธ
รัตนะรู้ตัวดีว่าเป็นความผิดของตน แต่ต้องกลั้นหัวเราะเอาไว้ซึ่งมันก็ใกล้จะระเบิดออกมาเต็มที จึงตัดสินใจในทันใด วิ่งเร็วปรื๋อกระแทกประตูออกไปข้างนอกฝ่าผู้คนที่ยืนล้อมอาคาร มุ่งตรงไปยังห้องน้ำรวม เห็นอ่างล้างหน้ารีบเปิดน้ำให้เต็ม น้ำก็ดันไหลช้าอ้อยอิ่งผิดเวลา
ทุกคนที่อยู่ภายนอกนึกว่ารัตนะวิ่งหนีความผิดเสียดื้อๆ
เมื่อน้ำไหลช้า จึงจ้วงตักเอาน้ำในห้องส้วมมาเทเสริม พอน้ำเต็ม จึงมุดหน้าลงไประเบิดสิ่งที่อัดอั้นไว้จนฟองในน้ำแตกฟอดๆ พอรู้สึกตัวว่าเริ่มปลอดโปร่งโล่งขึ้นมาก ก็วิ่งเร็วฝ่าฝูงคนในขณะที่เสื้อผ้าเปียกน้ำไปทั้งตัว ผู้คนยิ่งมองยิ่งสงสัย ต่างเดากันไปเองว่ารัตนะคงเครียดหนักเลยต้องเอาน้ำมาล้างตัว
พอกลับเข้ามาในห้องพยาบาลที่ทุกคนกำลังหน้าดำคร่ำเครียด โดยเฉพาะพวกผู้หญิงที่มองมาอย่างไม่วางตา ส่วนพวกผู้ชายรัตนะเดาไม่ออกว่าผ่านจุดนั้นมาได้อย่างไร เพราะเขาเองก็แทบแย่ ในสภาพเปียกปอนอีกทั้งดวงตาที่แดงก่ำ ปลายนภา ฐิตินันท์และครูแดงนึกไปในทางเดียวกันว่า รัตนะคงแอบไปร้องไห้เสียใจมา แต่ต้องการรักษาฟอร์มจึงหลบไปคนเดียว ทำให้คลายความโกรธลงได้บางส่วน มีแต่ศุภรักษ์และหนึ่งธิดาที่รู้นิสัยรัตนะดีว่าไปทำอะไรมา ศุภรักษ์จึงเบือนหน้าหนีแอบไปหัวเราะคิกๆ ส่วนหนึ่งธิดาก็ส่ายหน้าหน่ายอย่างเอือมระอา
ร่างสูงพอได้ปล่อยของที่อั้นไว้ ความสำนึกผิดก็วิ่งเข้ามาแทนที่ ก้มหน้าลงต่ำมือลูบหัวตัวเองรู้สึกผิดและอาย ซ้ำยังโดนพี่พยาบาลตบหัวต่อหน้าคนอื่น จึงเดินหน้าหงอยๆ ไปหาปลายนภาที่มีคนช่วยยืนประคองตัว ตาโตคู่งามตอนนี้เหลือกจนแทบถลนออกจากเบ้า ประกายตาคล้ายมีดพวยพุ่งออกมาสิบๆ เล่ม ปลายนภาอยากระเบิดความแค้นออกมา แต่ก็ไม่มีเรี่ยวแรงมากพอ ได้แต่พูดออกมาอย่างยากลำบาก
“นาย...นาย...นายนี่มัน...”
รัตนะสู้รังสีอาฆาตไม่ไหวหลบตาไปทางอื่น รู้ตัวว่าต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ทำ จึงเดินเข้าไปหาอีกก้าวเพื่อขอโทษอย่างเป็นทางการ ขณะก้มโค้งยกมือไหว้ขอโทษด้วยความสำนึกผิดอย่างจริงใจ ร่างใหญ่ก็ล้มฮวบทันที เหมือนตุ๊กตายางที่ถูกปล่อยลมออกอย่างฉับพลัน โชคดีที่มีผู้ชายอยู่ในห้องพยาบาล ไม่งั้นคงเอาร่างใหญ่ของรัตนะไม่ขึ้น จะให้พวกไทยมุงด้านนอกเข้ามาช่วยก็ดูจะวุ่นวายเกินไป
ผ่านไปอีกประมาณครึ่งชั่วโมง รัตนะเริ่มได้สติ ลืมตาแล้วขยับตัวขึ้นนั่ง
หนึ่งธิดาเห็นอาการไม่สู้ดีของเด็กในสังกัดและน้องนักเรียนหญิง จึงเดินไปปรึกษาโค้ชฟุตบอล
"ครูแดงค่ะหนูว่า เอารถกระบะของครูมาจอดไว้ที่หน้าห้องนี้เถอะค่ะ เด็กสองคนนี้คงกลับบ้านเองไม่ได้แล้วล่ะ คนหนึ่งก็เจ็บข้อมือขี่มอ’ไซค์กลับบ้านเองไม่ได้...” แล้วเหลือบไปมองรัตนะอย่างเซ็งๆ ค่อยแค่นเสียงพูดเหนื่อยๆ “อีกคนก็อย่าพึ่งบ้าพลังอวดดีปั่นจักรยานกลับบ้าน เดี๋ยวก็หน้ามืดลงข้างทางไปอีก”
สาวหน้าเล็กปลายตาชี้นำไปทางหน้าต่างแต่ละบาน “เด็กสมัยนี้ทำตัวอย่างกับเป็นนักข่าว ดูสิยังออกันอยู่เต็ม นี่กะจะถ่ายรูปลงโซเชียลกันรัวๆ แน่"
ศุภรักษ์ยิ้มมั่นใจหัวเราะออกมา "เอางี้ ผมมีแผน..."