เจาะลึก การพิจรณาคดีข่มขืม ในโลกอิสลามยุคปัจจุบัน

การข่มขืนในโลกปัจจุบันสั้นๆ และง่าย
ผู้ถูกข่มขืนคือเหยื่อ  ผู้ข่มขืนคือผู้กระทำผิดต้องถูกลงโทษ

แต่ในอีกโลกหนึ่ง  มีบางประเทศที่นับถือศาสนาอิสลามนั้น
มีการลงโทษเหยื่อ หรือ ผู้ถูกกระทำ โดยการโบยเหยื่อด้วยข้อหาผิดประเวณี
และ เสริมด้วยข้ออ้างอื่นๆเช่น แต่งตัวยั่วยวนจนถูกข่มขืน อยู่ในที่ๆทำให้ถูกข่มขืนโดยง่าย
ข้ออ้างทำนองนี้ ถูกพูดถึงในอินเดียด้วย จากกรณีสะเทือนขวัญล่าสุด ไม่แน่ใจว่า กลุ่มดังกล่าวเป็นมุสลิมหรือไม่
แต่ มีหลักการคิด ไปอย่างเอา ผู้หญิงเป็นศูนย์กลางของปัญหา

และผู้กระทำผิดหรือ ผู้ลงมือข่มขืนนั้นมักหลุดรอด เพราะ ไม่สามารถหาพยาน ในการชี้ขาดได้
เนื่องด้วยตุวล๊อกสำคัญ นั่นคือ ต้องมีพยานผู้ชายสี่คน ในการกล่าวหา

ยังไม่นับรวม การพิจรณาการปาหินของผู้กระทำชู้สาวอีก
ซึ่งมีบังคับใช้ในบางประเทศอย่าง ซูดาน โซมาเลีย ไนจีเรีย และ บูรไน
ทั้งยังมีความเเคลื่อนไหวอย่างแจ้งชัดในการผลักดัน เท่าที่มีโอกาสในการเพิ่มเติม
กฏหมายข้อนี้ในประเทศไทย

ความผิดเพี้ยนนี้ โดยเนื้อแท้แล้วเกิดจากหลักการศาสนาหรือไม่?
หรือเกิดจากสถาบันศาสนาหลักของทั้งโลก หรือ เกิดจากสถาบันศาสนาเพียงบางพื้นที่?
หรือเกิดจาก คนเพียงไม่กี่กลุ่ม? ผมไม่ทราบ

ในฐานะที่ผมเป็นมุสลิม ผมยอมรับว่า เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง
แต่มีการโต้แย้งกันเป็นวงกว้าง และ ไม่ใช่ทุกประเทศมุสลิมที่ยอมรับใน หลักการเหล่านี้



ดังแผนภาพจะเห็นว่า ตัวอักษรตัวแดง คือ ขั้นตอนเพิ่มเติม ที่อยู่นอกเหนืออัลกุรอาน
แต่ มุสลิมบางส่วนของโลก ยึดถือ ปฏิบัติ
ผมมองว่า ส่วนเหล่านี้ นั้นทำให้ หลักการใหญ่ของอัลกุรอานในการพิจรณาคดีการล่วงประเวณีนั่น
เสียหาย  ทั้งทำให้ กระบวนการพิจรณานั้น ขาดความเมตตา และ ขาดความหลักแหลมเฉียบคม
และ กลับทำให้ ระบบพิจรณา ทั้งระบบดูล้าหลังและโง่เขลา

จะไม่โง่เขลาได้อย่างไร "ถ้าระบบ กลับลงโทษเหยื่อ และ ผู้กระทำผิดกลับถูกปกป้อง ด้วยการหาชายสี่คนมาเป็นพยานไม่ได้"


ที่เห็นได้ชัดเจนคือ ในอัลกุรอาน ซูเราะห์อันนูรนั้น
ตลอดซูเราะห์ แม้ แจ้งชัดในการลงโทษด้วยการโบยผู้กระทำผิดที่จำนนด้วยหลักฐาน
ในขณะเดียวกันสิ่งที่เน้นอย่างมากคือ การปกป้อง การกล่าวหาหญิงบริสุทธ์ และ การนินาทาปล่อยข่าวลับหลังในเชิงกล่าวหาต่อหญิงบริสุทธิ์
ซึ่งถูกพูดถึงหลายครั้งตลอดซูเราะห์

การกล่าวหาว่าผู้หญิงคนหนึ่งนั้น ต้องใช้พยานอย่างน้อย 4 คน
และ การเป็นพยานเท็จ หรือ การนำเรื่องไปพูดทั้งๆที่ไม่มีหลักฐานนั้น จะถูกลงโทษด้วยการโบย
ตลอดอายะห์นั้น คือการปกป้อง การกล่าวหาหญิงบริสุทธิ์ ในขณะที่ทางออกของผู้กระทำผิดนั้น
ก็แจ้งชัด และ เหมาะสมตามความเมตตา

การโบยผู้หญิงที่ถูกข่มขืน จะเป็นไปตามเจตนารมย์ของซูเราะห์นี้ได้ยังไง?

อัลกุรอานนั้น ปกป้องหญิงบริสุทธิ์ และแจ้งวิธีการลงโทษ การจงใจล่วงประเวณีไว้อย่างชัดเจน
แต่ไม่ได้ มีการกล่าวถึงการถูกล่วงประเวณี แต่อย่างใด



เรื่องของเรา เราก็ต้องจัดการกันเอง ตามจารีตประเพณีท้องถิ่น
ซึ่งไม่ควรถูกล๊อกด้วยเงื่อนไขทางศาสนา เพื่อให้ การแก้ไขปัญหาเป็นปัจจุบัน
และ ด้วย เครื่องมือที่เป็นปัจจุบัน เช่น กระบวนการนิติวิทยาศาสตร์

นิติวิทยาศาสตร์ จะถูกใช้ได้อย่างไร ถ้า เงื่อนไขแรกคือ การหาพยานผู้ชายสี่คนมากล่าวหา ผู้ที่ลงมือกระทำ?

ดังนั้นเมื่อไม่มีบางส่วนเลือกที่จะตรากฏหมายขึ้นมาจัดการกับปัญหาเหล่านี้
ตามจารีต ประเพณีท้องถิ่นที่มองมายังเหยือ และ ผู้กระทำผิด

ในขณะทีบางส่วนของโลกเลือกที่จะ ปรับปรุง วิถีของอัลกุรอาน ปรับปรุงหลักการศาสนา ให้เป็นไปตามที่ต้องการ
สุดท้ยผลออกมาเพียงความผิดเพี้ยน เพราะ ไม่สามารถแก้ไขได้ง่าย เนื่องจากถูกอ้างว่ามาจากพระเจ้า

ยังไม่นับรวมการฆ่า ผู้กระทำผิดฐานชู้สาวที่แต่งงานแล้ว ด้วยการปาหินอย่างย้อนแย้งอีก
ที่ย้อนแย้งนั้นก็เพราะ ในอัลกุรอาน ขนาดโทษฆ่าคนตาย ถ้าผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เช่น ภรรยา หรือ ลูกชาย ไม่เอาความ
ผู้กระทำก็ไม่โดนโทษประหาร  

แต่กลับกัน  ผู้ที่กระทำผิดฐานชู้สาวที่แต่งงานแล้ว กลับโดนปาหินตาย โดยไม่มีช่องทางออกใดๆให้เลยหรือ?

ความย้อนแย้งนี้ เกิดขึ้น สาเหตุหลักมาจาก หลักการเดียวกันคือ การต่อเติม การยึดจารีตประเพณี
และบันทึกท้องถิ่น ซึ่งอ้างว่าเป็นวิถีของศาสดา ซึ่งประเด็นนี้ ผมขอยังไม่พูดถึง

มีหลายประเทศ พยายามจะแก้ไขกฏหมายข้อนี้แต่ถูกต่อต้านอย่างหนัก
เพราะ กฏหมาย ข้อนี้ดันไปผูกไว้ว่าเป็นวจนะของพระเจ้า การยอมรับความผิดพลาดเพียงส่วนเดียว
หมายถึงการยอมรับ ความผิดพลาดทั้งระบบการบันทึก ซึ่งกลุ่มบุคคล บางส่วนย่อมยอมให้เกิดขึ้นไมไ่ด้

โลกอิสลามก็เรื่องหนึ่ง การดำเนินชีวิต ตัวเราก็เรื่องหนึ่ง

สุดท้าย
เราจำเป็นต้องฆ่า ผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว และ กระทำการชู้สาว
ตามบันทึกเล่มหนึ่งจริงๆหรือ นั่นเป็นคำถามที่ถูกถามอยู่ทั่วโลกต่อหลักการเหล่านี้ ?

เราได้ใคร่ครวญแล้วจริงๆหรือ?

สุดท้ายแท้จริงหลักการอิสลามไม่ใช่หมายถึงการปาหิน หรือไม่ปาหิน การลงโทษหรือไม่ลงโทษ
พระองค์ไม่ได้ให้ มนุษย์ตัดสิน หรือให้โทษแทนพระเจ้า ความผิดถูกทั้งหมด ล้วนกลับไปสู่พระองค์

แท้จริงหลักการอิสลามคือ การใคร่ครวญพิจรณา นั่นเป็นคำสั่งใช้ที่อยุ่ในอัลกุรอานอย่างชัดเจน และไร้ข้อโต้เถียง

การห้ามการใคร่ครวญพิจรณานั่น เท่ากับ การฝืนคำสั่งและ วจนะ ของพระองค์ ซึ่งจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย
สำหรับผู้ที่ประกาศตัวเป็นมุสลิม ซึ่งแปลว่าผู้ศิโรราบนั่นเอง
แต่ทุกวันนี้ มุสลิมหลายส่วนแม้แต่ในประเทศไทย กลับ "ห้าม" การใคร่ครวญ
ห้าม การตั้งคำถาม ห้ามการพยายามทำความเข้าใจ และ บังคับให้เชื่อตาม
ปราชญ์ ที่กลุ่มก้อนตัวเองเชิดชู โดย มองข้าม ความผิดพลาดที่แจ้งชัดของปราชญ์เหล่านั้น

อะไรคือ สายเชือกของ มุสลิม  "การใคร่ครวญตามวจนะ"
หรือ "การเชื่อฟัง" คำ คนที่เราไม่รุ้จักหน้า ไม่รุ้จักชีวิตส่วนตัว และเรียกว่า ปราชญ์


ขอให้ทุกท่านใคร่ครวญ

อ้างอิง​
[1]ซูเราะห์ อัลนูร
http://th.wikisource.org/wiki/%E0%B8%8B%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%B0%E0%B8%AB%E0%B8%BA%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B8%B9%E0%B8%A3
[2]สะท้อนกระบวนการคิดของมุสลิมไทยบางส่วนเหตุใดจึงยึดมั่น ในบันทึกศาสดา โดยไม่เชื่อเรื่องความผิดพลาดที่เป็นไปได้ http://ppantip.com/topic/31717982
[3]stoning  http://en.wikipedia.org/wiki/Stoning
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่