สิ่งที่มุสลิมเรียกกันว่า ฮาดีษนั้น,เป็นประเพณีต่างๆ ที่ถูกรวบรวมมาเป็นหนังสือ ซึ่งมุสลิมส่วนใหญ่เชื่อกันว่าเป็นเรื่องราว การสอนและการปฏบัติที่แท้จริงของท่านศาสดามูฮัมมัด, ซึ่งส่วนมากของฮาดีษเป็นเรื่องราวที่เป็นส่วนเกินของอัลกุรอาน,หรือไม่ก็ห่างไกลจากอัลกุรอานไปเลย, เรื่องราวของ ฮาดีษ นี้ บางส่วนก็ถูกอ้างว่าเป็นส่วนพิเศษของอัลกุรอานที่ อัลลอฮ์ ทรงบอกให้เฉพาะท่านศาสดามมูฮัมมัดทราบเท่านั้น, เรื่องในฮาดีษบางเรื่องก็ขัดกับบัญญัติ ของอัลกุรอาน บางครั้งหรือบ่อยครั้งที่ผู้รู้มุสลิมนำเอา ฮาดีษมาอธิบายอัลกุรอาน หรือ บางสังคมก็ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งที่เกี่ยวของกับหลักการของศาสนาอิสลาม และถือเลยว่า ฮาดีษ คือ หลักกฏหมายของอิสลาม, ถึงแม้ว่าไม่มีการยืนยัน โดยอัลลอฮ์ หรือ ท่านศาสดามูฮัมมัด
กระทู้นี้ต้องการจะชี้ให้เห็นอันตรายของฮาดีษต่อ สังคมุสลิม และต้องการที่จะชี้ให้เห็นว่ามุสลิมในปัจจุบัน ไม่ยอมที่จะเชื่ออัลกุรอาน ว่ามีความสำคัญและเป็นฮาดีษที่แท้จริงของท่านศาสดามูฮัมมัด
{69:40} แท้จริงอัลกรุอานนั้นคือคํากล่าวของศาสนทูตผู้ทรงเกียรติ
ข้อความในภาพข้างล่างนี้ เป็นข้อความของฮาดีษ ที่อ้างว่า ศาสนาอิสลามมี คำสั่งหรือ หลักการ ให้ประหารชีวิต มุสลิมผู้ที่หมดศรัทธาต่อ ศาสนาอิสลาม และเลิกนับถือศาสนาอิสลาม ด้วยความสมัครใจและไม่ได้คิดร้ายต่อ ศาสนาอิสลาม, นอกจากจะแสดงให้เห็นถึง ข้อความที่ โหดร้ายทารุณ ของฮาดีษต่อ การตัดสินใจของ มนุษย์ชาติแล้ว ยังแสดงให้เห็นว่า ผู้รู้ระดับอาจารย์สอนศาสนา ยังมีความเชื่อถือ ว่าฮาดีษนี้ สำคัญกว่า บัญญัติในอัลกุรอาน ที่ว่า
"การฆ่าผู้หนึ่งผู้ใดโดยปราศจากความผิดถือเป็นบาปใหญ่ เหมือนกับการฆ่ามนุษยชาติทั้งหมด และการไว้ชีวิตใครคนหนึ่งถือเป็นความดีเหมือนกับการไว้ชีวิตมนุษย์ทั้งหมด" (กุรอาน 5:32)
ถ้าการเลิกนับถือศาสนาอิสลามเป็นบาป, มันเป็นเรื่องราวที่อัลลอฮ์จะต้อง จัดการตัดสินอย่างยุติธรรม ในปรโลกตามดุลยพินิจ ของพระองค์, ไม่ใช่มนุษย์ผู้ใดจะ สังหารผู้ที่ละทิ้งอิสลามได้ด้วยการพิจารณาโทษของเขาบนโลกนี้, แม้แต่ท่านศาสดามูฮัมมัดเองท่านก็จะไม่กระทำการลงโทษใดๆทั้งสิ้น, ต่อผู้ที่ละทิ้งศาสนาอสลามในสมัยของท่าน
ความเชื่อว่าหลักการของอิสลามขาดความยุติธรรมและขาดคุณธรรมต่อมวลมนุษย์ชาต ในเมื่ออัลกุรอานได้ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า,
"ไม่มีการบังคับกันในเรื่องเกี่ยวกับศาสนา สิ่งที่ถูกต้องได้ถูกจําแนกแยกแยะออกจากสิ่งที่ผิดเป็นที่ชัดเจนแล้ว ดังนั้นผู้ใดที่ปฏิเสธฏอฆูตและมีศรัทธาในอัลลอฮฺ เขาก็ได้จับห่วงอันมั่นคง ไม่มีการแตกขาดสำหรับมัน และอัลลอฮฺคือพระผู้ทรงได้ยิน พระผู้ทรงรอบรู้(2:256)"
การเชื่อตามเนื้อหาของฮาดีษดังกล่าวเป็นอุดมการณ์ของกลุ่มมุสลิม ISIS ที่ใช้ หลักการของประเพณีอรับ ในทำนองนี้ หลอกลวง เยาวชนมุสลิมให้ร่วมในการก่อการร้ายต่างๆทั่วทุกๆมุมโลกอย่างที่เห็นอยู่ในปัจจุบันนี้
คำสอนที่ถูกกต้องตามหลักการของศาสนาอิสลามในเรื่องนี้ อยู่ที่นี่
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้บทความนี้เขียนโดยมุสลิมมที่ ยึดถือ ซุนนะห์และคำสอนของท่านรอซูลเช่นเดียวกับคุณฮุไซนี ต่างกันที่ท่านผู้นี้ เชื่อในความสมบูรณ์ของอัลกุรอานว่า.. หลักการใดขัดแย้งไปจากนี้ถือว่า ไม่ใช่หลักการอิสลาม และหากหลักการใดมีการขัดแย้งกันเอง ให้ถือว่ากุรอานคือข้อตัดสินขั้นเด็ดขาดครับ
บทลงโทษ การพ้นจากศาสนาอิสลาม
ขอความสันติสุขจงมีแด่ทุกท่านครับ
ก่อนอื่นทำความเข้าใจก่อนนะครับว่า หลักการของศาสนาอิสลาม มาจาก 2 แหล่ง คือ
1.กุรอาน
2.ซุนนะห์ (แนวทาง กิจปฏิบัติ รวมทั้งคำพูด) ของท่านศาสดา
หลักการใดขัดแย้งไปจากนี้ถือว่า ไม่ใช่หลักการอิสลาม และหากหลักการใดมีการขัดแย้งกันเอง ให้ถือว่ากุรอานคือข้อตัดสินขั้นเด็ดขาดครับ
การพ้นไปจากศาสนาอิสลามนั้น ในภาษาอาหรับ คือ “ริดดะฮฺ” ซึ่งแปลว่า การหันหลังให้ ส่วนผู้ที่กระทำการดังกล่าว เรียกว่า มุรตัด ซึ่งเป็นที่เข้าใจในหลาย ๆ ครั้งว่า โทษคือการประหารชีวิต ... แต่ในความเป็นจริงเมื่อเราพิจารณาจากกุรอาน เราจะพบว่า กุรอานได้บัญญัติเรื่องการพ้นจากศาสนาไว้ 13 อายะห์ (โองการ) ในแต่ละซูเราะห์ (บท) เช่น
“...จนกว่าเจ้าจะปฏิบัติตามศาสนาของพวกเขา จงกล่าวเถิด แท้จริงคำแนะนำของอัลลอฮ์เท่านั้น คือ คำแนะนำ แน่นอนถ้าเจ้าปฏิบัติตามความใคร่ของพวกเขา หลังจากที่มีความรู้มายังแล้ว ก็ย่อมไม่มีผู้คุ้มครองและผู้ช่วยเหลือใด ๆ สำหรับเจ้าให้พ้นจากการลงโทษของอัลลอฮ์ได้” (กุรอาน 2:120)
“และผู้ใดแสวงหาศาสนาหนึ่งศาสนาใดอื่นจากอิสลามแล้ว ศาสนานั้นก็จะไม่ถูกรับจากเขาเป็นอันขาด และในปรโลกเขาจะอยู่ในหมู่ผู้ขาดทุน” (กุรอาน 3:85)
“ผู้ใดปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮ์หลังจากที่เขาได้รับศรัทธาแล้ว(เขาจะได้รับความกริ้วจากอัลลอฮ์) เว้นแต่ผู้ที่ถูกบังคับทั้งๆ ที่หัวใจของเขาเปี่ยมไปด้วยศรัทธา แต่ผู้ใดเปิดหัวอกของเขาด้วยการปฏิเสธศรัทธา พวกเขาก็จะได้รับความกริ้วจากอัลลอฮ์และสำหรับพวกเขาจะได้รับการลงโทษอย่างมหันต์” (กุรอาน 6:106)
แต่จากทั้งหมด พบว่า ไม่มีโองการใดเลยที่ระบุถึงโทษทัณฑ์ที่ต้องได้รับบนโลกนี้ โทษทั้งหมดถูกระบุว่าเป็นความรับผิดชอบของพระผู้เป็นเจ้าทั้งสิ้น
ถึงแม้ว่า จะมีการก่อตั้งรัฐอิสลามขึ้นแล้วก็ตาม ก็ยังไม่มีโองการใดระบุว่าต้องทำโทษหรือประหารผู้ที่หลุดพ้นจากศาสนา อาทิเช่น ซูเราะห์อัล บากอเราะห์ อายะห์ที่ 217 ความว่า
“...และผู้ใดในหมู่พวกเจ้ากลับออกไปจากศาสนาของเขา แล้วเขาตายลง ขณะที่เขาเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธาแล้วไซร้ ชนเหล่านี้แหละบรรดาการงานของพวกเขาไร้ผล ทั้งในโลกนี้และปรโลก และชนเหล่านี้แหละคือชาวนรก ซึ่งพวกเขาจะอยู่ในนรกนั้นตลอดกาล”
นักการศาสนาบางท่านให้ความเห็นว่า การพ้นจากศาสนานั้น เป็นความผิดที่เขาผู้นั้นต้องรับผิดชอบต่อพระผู้เป็นเจ้าเอง ซึ่งหากว่ามีการลงโทษประหารชีวิตด้วยเหตุผลของการพ้นจากศาสนาจริง มันก็จะไปขัดแย้งกับโองการที่ว่า -
"ไม่มีการบังคับใด (ให้นับถือ) ในศาสนา อิสลาม แน่นอน ความถูกต้องนั้นได้เป็นที่กระจ่างแจ้งแล้วจากความผิด ดังนั้นผู้ใดปฏิเสธศรัทธาต่อ อัฎ-ฎอฆูต(ซัยตอน) และศรัทธาต่ออัลลอฮ์แล้ว แน่นอนเขาได้ยึดห่วงอันมั่นคงไว้แล้ว โดยไม่มีการขาดใด ๆ เกิดขึ้นแก่มัน และอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงได้ยิน ผู้ทรงรอบรู้" (กุรอาน 2:256)
เมื่อไม่มีการระบุการลงโทษในทางโลกที่บันทึกในกุรอานแล้ว หากมามองในแง่ของซุนนะห์ท่านศาสดาจะพบว่า
ครั้งหนึ่ง มีชาวยิวกลุ่มหนึ่ง มาเข้ารับศาสนาอิสลาม แต่ต่อมาก็ได้ละทิ้งอิสลามและกลับไปสู่ศาสนาเดิม ซึ่งเหตุการณ์นี้ได้ถูกกล่าวไว้ในซูเราะห์อาลิอิมรอน อายะห์ที่ 71-73 แต่ทั้งหมดก็ไม่ได้ถูกท่านศาสดาลงโทษแต่ประการใด ... หรืออีกกรณีหนึ่งที่อาหรับเบดูอิน คนหนึ่งมาหาท่านศาสดาและขอเข้ารับอิสลาม แต่ต่อมาเขาก็ล้มป่วยและมาขอยกเลิกการเป็นมุสลิม (คือ เปลี่ยนจากอิสลามไปเป็นอย่างอื่น) ถึง 3 ครั้ง แต่ทั้ง 3 ครั้งท่านศาสดาก็ปฏิเสธอย่างสุภาพ จนสุดท้ายเขาจึงเดินทางออกไปจากมาดีนะห์ ซึ่งท่านศาสดาก็ไม่ได้กล่าวโทษเอาผิด หรือส่งทหารออกตามล่าแต่อย่างใด
จากบทสรุปในหลายส่วน นักวิชาการมุสลิมให้ความเห็นในหลายด้าน บ้างก็ว่า การพ้นจากศาสนาจำเป็นต้องถูกประหารโดยอ้างเอาหะดิษ ของอิบนุอับบาส ที่ว่า “ผู้ใดเปลี่ยนศาสนาจงฆ่าเขา” หรือหะดิษที่เกี่ยวกับชนเผ่าอูกัลป์เป็นต้น แต่ทั้งหมดก็ถูกอีกฝ่ายโต้แย้ง โดยอ้างหลักฐานจากกุรอานในซูเราะห์ที่ 2 อายะห์ที่ 256 และซุนนะห์ท่านศาสดา โดยวิจารณ์ว่าการสังหารที่เกิดขึ้น เป็นเพราะคดีความอื่น (เช่นการปล้น) ไม่ใช่เรื่องของการเปลี่ยนศาสนา
โดยทั้งนี้มีหลักฐานบางประการจากคอลีฟะห์อุมัร (รด.) ว่าท่านได้สั่งให้ทหารของท่านจัดการกับผู้เปลี่ยนศาสนาอย่างสันติวิธี หรือหากชักชวนไม่ได้ผล ก็ควรจำคุกดีกว่าการประหารนักวิชาการมุสลิมจึงให้ความเห็นว่า การเปลี่ยนศาสนาของมุสลิมคนหนึ่งนั้น ควรจำกัดให้เป็นโทษแบบตะอฺซีร (คือ อยู่ในดุลพินิจของผู้พิพากษา) หากการเปลี่ยนศาสนานั้นไม่ได้ส่งผลต่อความมั่นคงของรัฐ ก็ไม่จำเป็นต้องลงโทษ หรือแค่แนะนำ ตักเตือน แต่หากการเปลี่ยนศาสนามีผลต่อความมั่นคงของรัฐ หรือเปลี่ยนด้วยเจตนาของการก่อกบฏต่อรัฐ ก็อาจจำคุก หรือประหารชีวิตได้ ซึ่งทัศนะนี้ได้รับการยอมรับมากกว่า ทัศนะของบางมัซฮับ (สำนักคิดทางนิติศาสตร์อิสลาม) ที่กล่าวว่ามันเป็นโทษประเภท ฮัด (ความผิดที่ชัดเจน)
สิ่งที่เราควรย้อนไปพิจารณาที่มาของการกำหนดโทษประหาร นั้นก็ด้วยเหตุผลที่ว่า ในสมัยแรกเริ่มของการจัดตั้งอาณาจักรอิสลามนั้น มีผู้คนที่เข้ามานับถือศาสนาอิสลาม ด้วยเหตุผล 3 อย่างคือ 1. ศรัทธาในศาสนา 2.ต้องการได้รับผลประโยชน์ทางการค้าและการเมือง ในฐานะที่เป็นพลเมืองมุสลิม และ 3. คือ เข้ามาหาข่าว หรือ เป็นพวกสอดแนมจากฝ่ายศัตรูของมุสลิม
การกำหนดโทษของการประหาร จึงเป็นการป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นแก่ความมั่นคงของศาสนา และ เป็นการพิสูจน์ว่า ผู้ที่ยอมรับนับถือศาสนาอิสลามนั้น คือ ผู้ที่จิตใจของเขา ศรัทธาและมั่นคงในอิสลามอย่างไม่มีวันเปลี่ยนแปลงแล้ว
บรรดาผู้ที่เกลียดชังอิสลามนั้น ต่างพยายามหาข้อโจมตีศาสนาอิสลามในเรื่องนี้ แต่พวกเขาเหล่านั้นไม่ได้พิจารณาด้วยใจที่เป็นธรรมว่า ... อิสลามนั้นไม่ได้บังคับให้ใครต้องมานับถือศาสนา ก่อนที่เขาเหล่านั้นจะเข้าใจในศาสนาอิสลาม ความจริงแล้วอิสลามกำหนดไว้อย่างชัดเจนว่า ผู้ที่จะปฏิญาณตนเป็น มุสลิมนั้น คือ ผู้ที่จิตใจของเขาศรัทธามั่นในพระผู้เป็นเจ้าเพียงพระองค์เดียว และ พร้อมที่จะปฏิบัติตามบทบัญญัติต่าง ๆ ของศาสนาได้อย่างสมบูรณ์
หากไม่สามารถศรัทธา และ ปฏิบัติได้ตามที่บัญญัติไว้แล้ว ... การเป็นมุสลิมของเขาก็ไม่ถูกต้อง
...แล้วเหตุใด ศาสนาอิสลาม จึงต้องกลายมาเป็นจำเลย ให้กับ ความไม่จริงใจและความกลับกลอก ของบุคคลเหล่านี้ ???
ด้วยจิตคารวะ
เขียนโดย kheedes ที่ 13:01
มุสลิมผู้รู้ศาสนาจะปฎิเสธบัญญัติของอัลลอฮ์ ได้หรือ?
กระทู้นี้ต้องการจะชี้ให้เห็นอันตรายของฮาดีษต่อ สังคมุสลิม และต้องการที่จะชี้ให้เห็นว่ามุสลิมในปัจจุบัน ไม่ยอมที่จะเชื่ออัลกุรอาน ว่ามีความสำคัญและเป็นฮาดีษที่แท้จริงของท่านศาสดามูฮัมมัด
{69:40} แท้จริงอัลกรุอานนั้นคือคํากล่าวของศาสนทูตผู้ทรงเกียรติ
ข้อความในภาพข้างล่างนี้ เป็นข้อความของฮาดีษ ที่อ้างว่า ศาสนาอิสลามมี คำสั่งหรือ หลักการ ให้ประหารชีวิต มุสลิมผู้ที่หมดศรัทธาต่อ ศาสนาอิสลาม และเลิกนับถือศาสนาอิสลาม ด้วยความสมัครใจและไม่ได้คิดร้ายต่อ ศาสนาอิสลาม, นอกจากจะแสดงให้เห็นถึง ข้อความที่ โหดร้ายทารุณ ของฮาดีษต่อ การตัดสินใจของ มนุษย์ชาติแล้ว ยังแสดงให้เห็นว่า ผู้รู้ระดับอาจารย์สอนศาสนา ยังมีความเชื่อถือ ว่าฮาดีษนี้ สำคัญกว่า บัญญัติในอัลกุรอาน ที่ว่า
"การฆ่าผู้หนึ่งผู้ใดโดยปราศจากความผิดถือเป็นบาปใหญ่ เหมือนกับการฆ่ามนุษยชาติทั้งหมด และการไว้ชีวิตใครคนหนึ่งถือเป็นความดีเหมือนกับการไว้ชีวิตมนุษย์ทั้งหมด" (กุรอาน 5:32)
ถ้าการเลิกนับถือศาสนาอิสลามเป็นบาป, มันเป็นเรื่องราวที่อัลลอฮ์จะต้อง จัดการตัดสินอย่างยุติธรรม ในปรโลกตามดุลยพินิจ ของพระองค์, ไม่ใช่มนุษย์ผู้ใดจะ สังหารผู้ที่ละทิ้งอิสลามได้ด้วยการพิจารณาโทษของเขาบนโลกนี้, แม้แต่ท่านศาสดามูฮัมมัดเองท่านก็จะไม่กระทำการลงโทษใดๆทั้งสิ้น, ต่อผู้ที่ละทิ้งศาสนาอสลามในสมัยของท่าน
ความเชื่อว่าหลักการของอิสลามขาดความยุติธรรมและขาดคุณธรรมต่อมวลมนุษย์ชาต ในเมื่ออัลกุรอานได้ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า,
"ไม่มีการบังคับกันในเรื่องเกี่ยวกับศาสนา สิ่งที่ถูกต้องได้ถูกจําแนกแยกแยะออกจากสิ่งที่ผิดเป็นที่ชัดเจนแล้ว ดังนั้นผู้ใดที่ปฏิเสธฏอฆูตและมีศรัทธาในอัลลอฮฺ เขาก็ได้จับห่วงอันมั่นคง ไม่มีการแตกขาดสำหรับมัน และอัลลอฮฺคือพระผู้ทรงได้ยิน พระผู้ทรงรอบรู้(2:256)"
การเชื่อตามเนื้อหาของฮาดีษดังกล่าวเป็นอุดมการณ์ของกลุ่มมุสลิม ISIS ที่ใช้ หลักการของประเพณีอรับ ในทำนองนี้ หลอกลวง เยาวชนมุสลิมให้ร่วมในการก่อการร้ายต่างๆทั่วทุกๆมุมโลกอย่างที่เห็นอยู่ในปัจจุบันนี้
คำสอนที่ถูกกต้องตามหลักการของศาสนาอิสลามในเรื่องนี้ อยู่ที่นี่
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้