อารยธรรมอิสลามตั้งแต่ยุคสมัยของท่านศาสดามูฮัมหมัด จนถึงปัจจุบันนี้ ก่อตั้งขึ้นอย่างมั่นคงบนแนวคิดตาม “ข้อบัญญัติของกฎหมาย” ตามแนวทางที่พระเจ้าบัญญัติไว้ในอัลกุรอาน, ด้วยเหตุผลว่า เมื่อมีการออกกฎหมาย, และประกาศใช้ ให้เป็นที่รู้ในมวลหมู่ประชาชนและขบวนการยุติธรรม, กฏหมายที่บัญญัติขึ้นมานั้น มีความมุ่งมั่นใช้บังคับทั้งประชาชนและศาลให้ปฏิบัติตามกฏหมายนั้นๆ
เฉพาะประชาชนชาวมุสลิมจะต้องปฏิบัติตามกฎหมายอิสลาม (ชาริอะฮ์) ถ้าเป็นพลเมืองมุสลิมกระทำการละเมิดทางหลักจริยาธรรมและคุณธรรมทางศาสนาเขาจะได้รับการตัดสินตามกฎหมายอิสลาม พลเมืองที่ไม่ใช่มุสลิมจะต้องตัดสินในเรื่องศาสนาโดยกฎหมายตามความศรัทธาของพวกเขาเอง
ศาสนาอิสลามเป็นคำสอนที่สมบูรณ์ครบชุด - เป็นข่าวสารจากพระเจ้าที่มีข้อความกฏบัญญัติที่สมบูรณ์, พร้อมทั้งวิถีทางการดำเนินชีวิต ถ้าเราพิจารณาองค์ประกอบของศาสนาอิสลาม เป็นส่วนๆ, เราจะไม่มีความเข้าใจ หลักการของศาสนาอิสลามโดยรวมๆได้,และจะทำให้เราเข้าใจอิสลามแต่เพียงบางส่วนเท่านั้น และจะทำให้เกิดความงมงาย กลายเป็นผู้บ้าคลั่งในศาสนาไป และทำให้ปฏิบัติผิดหลักการของศาสนาอิสลาม, เป็นการผิดจรรยาธรรมและคุณค่าคุณธรรมทางศาสนาอย่างแรงและผิดมนุษยธรรม ผิดจากมารตฐานตามหลักคุณธรรม
โดยรวม
แต่อย่างไรก็ตามเมื่อมองจากทัศนะที่เข้าใจรายละเอียดของศาสนาอิสลามจากผู้ที่มีใจยุติธรรม, จะเห็นว่าหลักการของอิสลามมีเหตุผลในทุกๆแง่มุม, ถ้ามุสลิมไม่รวมเอาเรื่องบอกเล่าที่ไร้สาระมาเป็นส่วนหนึ่งในการต่อเติมหลักการของศาสนาอิสลาม ซึ่งมีแต่จะทำให้เสียคุณลักษณะของศาสนาอิสลามและเป็นที่ดูถูกและขำขันของผู้ที่ไม่เข้าใจอิสลาม
ดังนั้นกฏหมายอิสลาม(ชาริอะฮ์) จะต้องมีพื้นฐานที่แข็งแรงและถูกต้องตามที่บัญญัติไว้โดยพระเจ้าในอัลกุรอาน, ไม่ใช่บนพื้นฐานของความคิดของมนุย์ที่ขาดเหตุผลหรือเรื่องบอกเล่าที่ตั้งอยู่บนพิ้นฐานที่เลื่อนลอย,ขาดเหตุผลและหลักเกณฑ์ที่แน่นอน
ชาริอะฮ์เป็นกฏหมายอิสลามซึ่งวางอยู่บนหลักการของพระเจ้า และ อาศัยเหตุผลของมนุษย์ในการเข้าใจหลักการของพระเจ้าที่ถูกต้อง, ซึ่งมีระเบียบและหลักการสำคัญที่ควบคุมพฤติกรรมของมุสลิมทุกๆคน ตลอดทั้งตัวเองทั้งหญิงชาย, ครอบครัว, เพื่อนบ้าน, ชุมชนมุสลิม, บ้านเมือง, ประเทศชาติและรัฐธรรมนูญของอิสลาม รวมเป็นประชาชาติมุสลิม
ในทำนองเดียวกันกฏหมายอิสลามควบคุมไปถึงการปฏิบัติต่อกันระหว่างชุมชน,หมู่คณะ เศรษฐกิจสังคมและองค์การต่างๆ, กฏหมายอิสลามกำหนดและแจกแจง, การบริหารต่างๆออกเป็นหมวดหมู่ ภายในการปกครองของรัฐอิสลาม
กฏหมายอิสลามได้กำหนดแบบฉบับศาสนกิจสำหรับผู้ศรัทธาที่จะต้องปฏิติตามในการเคารพบูชาต่อพระเจ้า ได้แก่ การทำละหมาดซึ่งปฏิบัติติดต่อกันมาเป็นพันๆปีตามบรรพบุรุษ, ก่อนที่จะมีอัลกุรอานและกำเนิดของท่านศาสดามูฮัมมัด, เช่นเดียวกันกับ การจ่ายซะกาต(กุศลทาน), การถือศีลอด และการประกอบ พิธีฮัจจ์
กฏหมายอิสลามประกอบไปด้วยรายละเอียดของการดำเนินชีวิตโดยรวมมีความมุ่งหมายเพื่อที่จะให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมโดยรวมจากมุมมองต่างๆ และได้กำหนดทฤษฏีที่เป็นแบบฉบับ ถ้าปฏิบัติตามแล้วจะนำความปลอดภัยและการป้องกันตัวเองมาสู่สังคมมุสลิม
รัฐธรรมนูญสูงสุดในการปกครองชุมชนมุสลิม ที่ใช้เป็นพื้นฐานในการออกกฏหมายอิสลาม ก็คืออัลกุรอานเท่านั้น, ซึ่งคำว่าชาริอะฮ์หมายถึงหนทางที่นำไปสู่แหล่งน้ำ, ซึ่งเป็นแหล่งชีวิตของมวลมนุษยชาติ เปรียบเสมือนแนวทางของพระเจ้า,ซึ่งถูกประทานมาให้โดยพระองค์(อัลลอฮ์) ผู้ทรงเป็นต้นกำเนิดของชีวิตทั้งปวง, ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้เป็นกฏหมายอิสลามที่กำหนดใช้ในสมัยของท่านศาสดามูฮัมมัด
...........................
ที่เรียกว่ากฏหมายอิสลามหรือชาริอะฮ์ ในปัจจุบัน เกิดจากการเคลื่อนไหวของนักวิชาการมุสลิมที่มีหัวรุนแรงและคลั่งไคล้ในศาสนาในทางที่ผิดไปจากคำสอนในอัลกุรอาน ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ของอิสลาม และสังคมมุสลิม, ขบวนการมุสลิมหัวรุนแรงที่กล่าวถึงนี้ ได้ประดิษฐ์วิธีการวางหลักบัญญัติในการออกกฏหมายชาริอะฮ์ ต่างไปจากวิธีการดั้งเดิมที่กล่าวมาอย่างยืดยาวข้างต้นนี้,กฎหมายชาริอะฮ์ ที่ใช้อยู่ในปัจจุบันตามประเทศมุสลิมต่างๆไม่มี มารตฐาน ตามอัลกุรอาน ดังนั้นกฏหมายชาริอะฮ์จึงแตกต่างกันไปในแต่ละสังคมมุสลิม
ในปัจจุบันกฏหมายชาริอะฮ์ ใช้ฮาดีษที่เหลวไหลเป็นพื้นฐาน มีความโหดร้ายทารุณในบทลงโทษต่างๆ ออกกฏบัญญัตินอกเหนือไปจากบัญญัติในอัลกุรอาน หรือบางบัญญัติขัดกับหลักการและบริบทของอัลกุรอาน เช่นการลงโทษผู้ผิดประเวณีด้วยการปาด้วยหินจนตาย, การลงโทษประหารขีวิตผู้ที่ออกจากอิสลามเนื่องจากหมดศรัทธา, การบังคับให้สตรีมุสลิมคลุมหัว, สตรีไม่มีสิทธิในการศึกษาอัลกุรอาน และปฏิบัติศาสนกิจ ในขณะมีรอบเดือน, อนุญาตให้ ทหารข่มขืนเชลยศึกหญิงได้ตามใจชอบ, เผาบ้านเรื่อนรวมทั้งชีวิตผู้คนมุสลิม ที่ไม่ไปร่วมละหมาดชุมชน และกฏป่าเถื่อนต่างๆที่ ไม่มีกำหนดไว้ในธรรมนูญสูงสุดของอิสลาม “อัลกุรอาน”
เนื่องจากกฏหมายชาริอะฮ์ ในปัจจุบันมีพื้นฐานการกำหนดบัญญัติอยู่บนฮาดีษที่ไม่มีหลักเกณฑ์ ผู้ที่เรียนกฏหมายชาริอะฮ์ในปัจจุบันส่วนมากจึงขาดเหตุผลในทางคุณธรรม, จริยาธรรม ความเมตตากรุณาปราณี ตามหลักการของศาสนาอิสลาม เนื่องจากการศึกษาศาสนาอิสลามผิดทาง จึงมองเห็นคุณค่าของ ฮาดีษที่เหลวไหลนอกขอบเขตของอัลกุรอาน มีความสำคัญเท่ากับอัลกุรอานหรือบางครั้งมีความสำคัญเหนือกว่าอัลกุรอาน โดยอ้างเหตุผลว่า อัลกุรอานและฮาดีษที่เหลวไหล กล่าวถึงในแง่ที่แตกต่างกันในบทลงโทษ
การที่ผู้ศึกษากฏหมายชาริอะฮ์ในปัจจุบันมีความเข้าใจผิดเช่นนั้น เนื่องจากไม่เข้าใจว่า ความคิดของมนุษย์นั้นแตกต่างจากพระเจ้าถ้าไม่ใช้เหตุผล, กฏหมายเป็นเรื่องของการใช้เหตุผล ไม่ใช่วิชาการใช้สีข้างเข้าถู
มุสลิมที่ขาดเหตุผลและไม่เข้าใจอัลกุรอาน จะไม่มีการเข้าใจและการพิจารณาความถูกต้องของ กฎหมายชารีอะฮ์ได้เลย, อัลกุรอานบัญญัติไว้ว่า;
وَمَا أَرْسَلْنَاكَ إِلَّا رَحْمَةً لِلْعَالَمِينَ {107}
And We have not sent you but as a mercy to the worlds[Shakir 21:107]
พระองค์อัลลอฮ์ทรงกล่าวต่อท่านรอซูลว่าพระองค์ทรงส่งท่านรอซูลมาไม่ใช่ด้วยเหตุผลอื่นใดนอกจากเพื่อเป็นความเมตตาแก่มวลมนุษยชาติเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้ท่านรอซูลจะไม่สอนอะไรที่ขาดความเมตตากรุณาปราณีและขัดต่อจริยาธรรมและคุณธรรมของผู้ที่มีศรัทธาต่อพระเจ้า/อัลลอฮ์, คุณสมบัติและบุคลิกของท่านรอซูลคือ ความมีศรัทธาต่อ อัลลอฮ์อย่างสูงสุด, ศรัทธาและปฏิบัติตามบัญญัติของอัลลอฮ์อย่างเคร่งครัด, เป็นผู้ที่มีคุณธรรมและจริยาธรรมอย่างสูงส่ง, เป็นผู้ที่มีเหตุผลและรอบรู้ในตรรกวิทยา, แต่น่าอนาจที่มุสลิมส่วนมากให้เครดิตต่อท่านรอซูลในเรื่องนี้น้อยมาก ซึ่งเราเห็นได้จาก ฮาดีษที่เหลวไหลที่อ้างอิงว่าเป็นคำสอนของท่านรอซูลมูฮัมมัด
พื้นฐานของกฏหมายอิสลาม (ลงครั้งที่ 2)
เฉพาะประชาชนชาวมุสลิมจะต้องปฏิบัติตามกฎหมายอิสลาม (ชาริอะฮ์) ถ้าเป็นพลเมืองมุสลิมกระทำการละเมิดทางหลักจริยาธรรมและคุณธรรมทางศาสนาเขาจะได้รับการตัดสินตามกฎหมายอิสลาม พลเมืองที่ไม่ใช่มุสลิมจะต้องตัดสินในเรื่องศาสนาโดยกฎหมายตามความศรัทธาของพวกเขาเอง
ศาสนาอิสลามเป็นคำสอนที่สมบูรณ์ครบชุด - เป็นข่าวสารจากพระเจ้าที่มีข้อความกฏบัญญัติที่สมบูรณ์, พร้อมทั้งวิถีทางการดำเนินชีวิต ถ้าเราพิจารณาองค์ประกอบของศาสนาอิสลาม เป็นส่วนๆ, เราจะไม่มีความเข้าใจ หลักการของศาสนาอิสลามโดยรวมๆได้,และจะทำให้เราเข้าใจอิสลามแต่เพียงบางส่วนเท่านั้น และจะทำให้เกิดความงมงาย กลายเป็นผู้บ้าคลั่งในศาสนาไป และทำให้ปฏิบัติผิดหลักการของศาสนาอิสลาม, เป็นการผิดจรรยาธรรมและคุณค่าคุณธรรมทางศาสนาอย่างแรงและผิดมนุษยธรรม ผิดจากมารตฐานตามหลักคุณธรรม
โดยรวม
แต่อย่างไรก็ตามเมื่อมองจากทัศนะที่เข้าใจรายละเอียดของศาสนาอิสลามจากผู้ที่มีใจยุติธรรม, จะเห็นว่าหลักการของอิสลามมีเหตุผลในทุกๆแง่มุม, ถ้ามุสลิมไม่รวมเอาเรื่องบอกเล่าที่ไร้สาระมาเป็นส่วนหนึ่งในการต่อเติมหลักการของศาสนาอิสลาม ซึ่งมีแต่จะทำให้เสียคุณลักษณะของศาสนาอิสลามและเป็นที่ดูถูกและขำขันของผู้ที่ไม่เข้าใจอิสลาม
ดังนั้นกฏหมายอิสลาม(ชาริอะฮ์) จะต้องมีพื้นฐานที่แข็งแรงและถูกต้องตามที่บัญญัติไว้โดยพระเจ้าในอัลกุรอาน, ไม่ใช่บนพื้นฐานของความคิดของมนุย์ที่ขาดเหตุผลหรือเรื่องบอกเล่าที่ตั้งอยู่บนพิ้นฐานที่เลื่อนลอย,ขาดเหตุผลและหลักเกณฑ์ที่แน่นอน
ชาริอะฮ์เป็นกฏหมายอิสลามซึ่งวางอยู่บนหลักการของพระเจ้า และ อาศัยเหตุผลของมนุษย์ในการเข้าใจหลักการของพระเจ้าที่ถูกต้อง, ซึ่งมีระเบียบและหลักการสำคัญที่ควบคุมพฤติกรรมของมุสลิมทุกๆคน ตลอดทั้งตัวเองทั้งหญิงชาย, ครอบครัว, เพื่อนบ้าน, ชุมชนมุสลิม, บ้านเมือง, ประเทศชาติและรัฐธรรมนูญของอิสลาม รวมเป็นประชาชาติมุสลิม
ในทำนองเดียวกันกฏหมายอิสลามควบคุมไปถึงการปฏิบัติต่อกันระหว่างชุมชน,หมู่คณะ เศรษฐกิจสังคมและองค์การต่างๆ, กฏหมายอิสลามกำหนดและแจกแจง, การบริหารต่างๆออกเป็นหมวดหมู่ ภายในการปกครองของรัฐอิสลาม
กฏหมายอิสลามได้กำหนดแบบฉบับศาสนกิจสำหรับผู้ศรัทธาที่จะต้องปฏิติตามในการเคารพบูชาต่อพระเจ้า ได้แก่ การทำละหมาดซึ่งปฏิบัติติดต่อกันมาเป็นพันๆปีตามบรรพบุรุษ, ก่อนที่จะมีอัลกุรอานและกำเนิดของท่านศาสดามูฮัมมัด, เช่นเดียวกันกับ การจ่ายซะกาต(กุศลทาน), การถือศีลอด และการประกอบ พิธีฮัจจ์
กฏหมายอิสลามประกอบไปด้วยรายละเอียดของการดำเนินชีวิตโดยรวมมีความมุ่งหมายเพื่อที่จะให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมโดยรวมจากมุมมองต่างๆ และได้กำหนดทฤษฏีที่เป็นแบบฉบับ ถ้าปฏิบัติตามแล้วจะนำความปลอดภัยและการป้องกันตัวเองมาสู่สังคมมุสลิม
รัฐธรรมนูญสูงสุดในการปกครองชุมชนมุสลิม ที่ใช้เป็นพื้นฐานในการออกกฏหมายอิสลาม ก็คืออัลกุรอานเท่านั้น, ซึ่งคำว่าชาริอะฮ์หมายถึงหนทางที่นำไปสู่แหล่งน้ำ, ซึ่งเป็นแหล่งชีวิตของมวลมนุษยชาติ เปรียบเสมือนแนวทางของพระเจ้า,ซึ่งถูกประทานมาให้โดยพระองค์(อัลลอฮ์) ผู้ทรงเป็นต้นกำเนิดของชีวิตทั้งปวง, ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้เป็นกฏหมายอิสลามที่กำหนดใช้ในสมัยของท่านศาสดามูฮัมมัด
...........................
ที่เรียกว่ากฏหมายอิสลามหรือชาริอะฮ์ ในปัจจุบัน เกิดจากการเคลื่อนไหวของนักวิชาการมุสลิมที่มีหัวรุนแรงและคลั่งไคล้ในศาสนาในทางที่ผิดไปจากคำสอนในอัลกุรอาน ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ของอิสลาม และสังคมมุสลิม, ขบวนการมุสลิมหัวรุนแรงที่กล่าวถึงนี้ ได้ประดิษฐ์วิธีการวางหลักบัญญัติในการออกกฏหมายชาริอะฮ์ ต่างไปจากวิธีการดั้งเดิมที่กล่าวมาอย่างยืดยาวข้างต้นนี้,กฎหมายชาริอะฮ์ ที่ใช้อยู่ในปัจจุบันตามประเทศมุสลิมต่างๆไม่มี มารตฐาน ตามอัลกุรอาน ดังนั้นกฏหมายชาริอะฮ์จึงแตกต่างกันไปในแต่ละสังคมมุสลิม
ในปัจจุบันกฏหมายชาริอะฮ์ ใช้ฮาดีษที่เหลวไหลเป็นพื้นฐาน มีความโหดร้ายทารุณในบทลงโทษต่างๆ ออกกฏบัญญัตินอกเหนือไปจากบัญญัติในอัลกุรอาน หรือบางบัญญัติขัดกับหลักการและบริบทของอัลกุรอาน เช่นการลงโทษผู้ผิดประเวณีด้วยการปาด้วยหินจนตาย, การลงโทษประหารขีวิตผู้ที่ออกจากอิสลามเนื่องจากหมดศรัทธา, การบังคับให้สตรีมุสลิมคลุมหัว, สตรีไม่มีสิทธิในการศึกษาอัลกุรอาน และปฏิบัติศาสนกิจ ในขณะมีรอบเดือน, อนุญาตให้ ทหารข่มขืนเชลยศึกหญิงได้ตามใจชอบ, เผาบ้านเรื่อนรวมทั้งชีวิตผู้คนมุสลิม ที่ไม่ไปร่วมละหมาดชุมชน และกฏป่าเถื่อนต่างๆที่ ไม่มีกำหนดไว้ในธรรมนูญสูงสุดของอิสลาม “อัลกุรอาน”
เนื่องจากกฏหมายชาริอะฮ์ ในปัจจุบันมีพื้นฐานการกำหนดบัญญัติอยู่บนฮาดีษที่ไม่มีหลักเกณฑ์ ผู้ที่เรียนกฏหมายชาริอะฮ์ในปัจจุบันส่วนมากจึงขาดเหตุผลในทางคุณธรรม, จริยาธรรม ความเมตตากรุณาปราณี ตามหลักการของศาสนาอิสลาม เนื่องจากการศึกษาศาสนาอิสลามผิดทาง จึงมองเห็นคุณค่าของ ฮาดีษที่เหลวไหลนอกขอบเขตของอัลกุรอาน มีความสำคัญเท่ากับอัลกุรอานหรือบางครั้งมีความสำคัญเหนือกว่าอัลกุรอาน โดยอ้างเหตุผลว่า อัลกุรอานและฮาดีษที่เหลวไหล กล่าวถึงในแง่ที่แตกต่างกันในบทลงโทษ
การที่ผู้ศึกษากฏหมายชาริอะฮ์ในปัจจุบันมีความเข้าใจผิดเช่นนั้น เนื่องจากไม่เข้าใจว่า ความคิดของมนุษย์นั้นแตกต่างจากพระเจ้าถ้าไม่ใช้เหตุผล, กฏหมายเป็นเรื่องของการใช้เหตุผล ไม่ใช่วิชาการใช้สีข้างเข้าถู
มุสลิมที่ขาดเหตุผลและไม่เข้าใจอัลกุรอาน จะไม่มีการเข้าใจและการพิจารณาความถูกต้องของ กฎหมายชารีอะฮ์ได้เลย, อัลกุรอานบัญญัติไว้ว่า;
وَمَا أَرْسَلْنَاكَ إِلَّا رَحْمَةً لِلْعَالَمِينَ {107}
And We have not sent you but as a mercy to the worlds[Shakir 21:107]
พระองค์อัลลอฮ์ทรงกล่าวต่อท่านรอซูลว่าพระองค์ทรงส่งท่านรอซูลมาไม่ใช่ด้วยเหตุผลอื่นใดนอกจากเพื่อเป็นความเมตตาแก่มวลมนุษยชาติเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้ท่านรอซูลจะไม่สอนอะไรที่ขาดความเมตตากรุณาปราณีและขัดต่อจริยาธรรมและคุณธรรมของผู้ที่มีศรัทธาต่อพระเจ้า/อัลลอฮ์, คุณสมบัติและบุคลิกของท่านรอซูลคือ ความมีศรัทธาต่อ อัลลอฮ์อย่างสูงสุด, ศรัทธาและปฏิบัติตามบัญญัติของอัลลอฮ์อย่างเคร่งครัด, เป็นผู้ที่มีคุณธรรมและจริยาธรรมอย่างสูงส่ง, เป็นผู้ที่มีเหตุผลและรอบรู้ในตรรกวิทยา, แต่น่าอนาจที่มุสลิมส่วนมากให้เครดิตต่อท่านรอซูลในเรื่องนี้น้อยมาก ซึ่งเราเห็นได้จาก ฮาดีษที่เหลวไหลที่อ้างอิงว่าเป็นคำสอนของท่านรอซูลมูฮัมมัด