การฆ่าผู้ที่ออกจากศาสนาอิสลามเป็นการปฏิบัติที่ขัดแย้งกับอัลกุรอาน
จงกล่าวเถิดว่า "พวกเธอจงมากันเถิด ฉันจะอ่านให้ฟัง สิ่งที่พระเจ้าของพวกเธอได้บัญญัติห้ามแก่พวกเธอ คือ:
1.พวกเธออย่าตั้งสิ่งหนึ่งสิ่งใดขึ้นเป็นภาคีกับพระองค์ และ
2.จงทำดีต่อผู้บิดามารดาและ
3.อย่าฆ่าลูกของพวกเธอเนื่องจากความยากจน เราเป็นผู้ให้ปัจจัยยังชีพแก่พวกเธอและแก่พวกเขา และ
4.จงอย่าเข้าใกล้บรรดาสิ่งชั่วช้า ทั้งที่เปิดเผยและที่ปกปิด และ
5.อย่าฆ่าชีวิตที่อัลลอฮฺได้ทรงห้ามไว้นอกจากด้วยสิทธิอันชอบธรรมเท่านั้น
นั่นแหละที่พระองค์ได้ทรงสั่งเสียมันไว้แก่พวกเธอ เพื่อว่าพวกเธอจะใช้ปัญญา {6:151}
ในปัจจุบันนี้ มีประเทศที่ทำผิดหลักการของศาสนาอิสลาม ออกกฏหมายขัดกับบัญญัติในอัลกุรอาน มีอยู่ด้วยกัน 13 ประเทศที่มีประ
ชากรส่วนใหญ่เป็นมุสลิม กำหนดโทษประหารสำหรับผู้ที่ละทิ้งศาสนาอิสลาม หรือดูหมิ่นศาสนาอิสลามได้แก่ประเทศ อัฟกานิสถาน,
อิหร่าน, มาเลเซีย, มัลดีฟส์, มอริเตเนีย, ไนจีเรีย,ปากีสถาน, กาตาร์, ซาอุดีอาระเบีย, โซมาเลีย, ซูดาน, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และ
เยเมน ทุกประเทศนอกจากปากีสถาน ที่กำหนดโทษประหารสำหรับการดูหมิ่นอิสลามและไม่เชื่อในพระเจ้ารวมเข้าไปด้วยกับการละ
ทิ้งศาสนา
ระบบการปกครองที่มีพื้นฐานมาจากประเพณีที่ประกอบด้วยกฎหมายว่าด้วยการ "ฆ่าคนที่ออกจากศาสนาอิสลาม" หรือมุสลิมที่เปลี่ยน
ศาสนาไปเป็นอย่างอื่น เป็นระบบที่มีพื้นฐานมาจากคำบอกเล่า "ฮาดีษ" ซึ่งไม่ใช่มาจากคัมภีร์อัลกุรอาน ศาสนาอิสลาม ให้เสรีภาพใน
การเข้ารับศาสนาอิสลามโดยที่ไม่มีบังคับ หรือเมื่อมุสลิมผู้ใดจะออกจากศาสนาอิสลามก็ไม่มีการลงโทษใดๆทั้งสิ้น
กฏหมายที่เรียกว่ากฏหมายอิสลามหรือ "กฎหมายชารีอะห์" นี้ขัดแย้งกับหลักการของอัลกุรอานและคำสอนที่ชัดเจน อัลลอฮทรงบัญชา
ในการให้เสรีภาพ ในการนับถือศาสนาแก่ผู้คนบนโลกนี้ ไม่ว่าจะเขัารับหรือออกจากศาสนาอิสลามก็ตาม เป็นสิทธิของบุคคล ศาสนาไม่
มีการบังคับ หรือการลงโทษใดๆทั้งสิ้น
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ {2:256} ไม่มีการบังคับกันในเรื่องเกี่ยวกับศาสนา สิ่งที่ถูกต้องได้ถูกจําแนกแยกแยะออกจากสิ่งที่ผิดเป็นที่ชัดเจนแล้ว
ดังนั้นผู้ใดที่ปฏิเสธฏอฆูตและมีศรัทธาในอัลลอฮฺ เขาก็ได้จับห่วงอันมั่นคง ไม่มีการแตกขาดสำหรับมัน และอัลลอฮฺคือ
พระผู้ทรงได้ยิน พระผู้ทรงรอบรู้
{10:99} และหากพระเจ้าของเธอทรงประสงค์แน่นอน ผู้ที่อยู่ในแผ่นดินทั้งมวลจะมีศรัทธา เธอจะบังคับมวลชนจนพวก
เขาจะเป็นผู้มีศรัทธากระนั้นหรือ?
บัญญัติข้างล่างนี้แสดงให้เห็นว่าผู้ใดก็ตามที่หันหลังให้กับศาสนาของ อัลลอฮ์(อิสลาม) หลังจากที่ครั้งหนึ่งเคยมีศรัทธาอยู่, เขาผู้นั้นก็
ยังคงมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ต่อไปได้ :
{4:137} แท้จริงบรรดาผู้ที่มีศรัทธาแล้วปฏิเสธศรัทธา แล้วมีศรัทธา แล้วปฏิเสธศรัทธา แล้วเพิ่มการปฏิเสธศรัทธายิ่งขึ้นนั้น อัลลอฮฺจะ
ไม่ทรงอภัยโทษให้แก่พวกเขา และพระองค์จะไม่ทรงชี้นำทางใดให้แก่พวกเขา
จากบัญญัตินี้จะเห็นได้ว่า ถ้าศาสนาอิสลามมีการฆ่าผู้ละทิ้งศาสนาอิสลามแล้ว เขาจะไม่มีโอกาสที่จะกลับมาถือศาสนาอิสลามได้อีกครั้ง
แล้วครั้งเล่าหลังจากที่ปฏิเสธศรัทธาต่อศาสนอิสลามมาหลายครั้งแล้วก็ตาม, ประโยคในบัญญํติที่ว่า; "และพระองค์จะไม่ทรงชี้นำทางใด
ให้แก่พวกเขา" ประโยคนี้แสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า ตราบใดที่เขายังมีชีวิตอยู่บนโลกนี้พระองค์อัลลออ์จะไม่ทรงแนะแนวทางใดๆ
ให้เขาอีกต่อไป
การฆ่าผู้ละทิ้งศาสนาอิสลามนี้เป็นความเชื่อที่งมงายจากเรื่องบอกเล่า "ฮาดีษ" ที่เล่าต่อๆกันมา เป็นเรื่องซึ่งไม่มีการรับรองจากท่านศาส
ดามูฮัมมัด หรือ มีบัญัติไว้ในอัลกุรอาน และเป็นการกระทำที่ขัดกับอัลกุรอาน เมื่อเป็นดังนี้แล้ว เรื่องเช่นนั้นย่อมไม่เป็นความจริงที่มุสลิม
ควรจะนำมาปฏิบัติในศาสนาอิสลามของอัลลอฮ์, ในการพยายามหาเหตุผลมาพิจารณายอมรับสิ่งที่ขัดกับอัลกุรอาน อัลลอฮ์ทรงกล่าวตำ
หนิไว้อย่างรุนแรง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ {45:9} และเมื่อเขาได้ทราบสิ่งใดจากโองการของเรา เขาก็ถือเอาโองการเหล่านั้นเป็นของล้อเลียน ชนเหล่านี้สำหรับพวกเขาจะได้รับ
การลงโทษที่อันอัปยศ
{45:6} นั่นคือนานาสัญญาณของอัลลอฮฺ ซึ่งเราได้สาธยายสัญญาณเหล่านั้นแก่เธอด้วยความจริง และสัญญาณต่าง ๆ ของพระองค์ที่พวก
เขาจะมีศรัทธากัน
{45:7} ความหายนะจงประสบแด่ทุกคนที่เป็นผู้โกหก ผู้ทำบาปมาก
การฆ่าผู้ที่ออกจากศาสนาอิสลามเป็นการปฏิบัติที่ขัดแย้งกับอัลกุรอาน
ชากรส่วนใหญ่เป็นมุสลิม กำหนดโทษประหารสำหรับผู้ที่ละทิ้งศาสนาอิสลาม หรือดูหมิ่นศาสนาอิสลามได้แก่ประเทศ อัฟกานิสถาน,
อิหร่าน, มาเลเซีย, มัลดีฟส์, มอริเตเนีย, ไนจีเรีย,ปากีสถาน, กาตาร์, ซาอุดีอาระเบีย, โซมาเลีย, ซูดาน, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และ
เยเมน ทุกประเทศนอกจากปากีสถาน ที่กำหนดโทษประหารสำหรับการดูหมิ่นอิสลามและไม่เชื่อในพระเจ้ารวมเข้าไปด้วยกับการละ
ทิ้งศาสนา
ระบบการปกครองที่มีพื้นฐานมาจากประเพณีที่ประกอบด้วยกฎหมายว่าด้วยการ "ฆ่าคนที่ออกจากศาสนาอิสลาม" หรือมุสลิมที่เปลี่ยน
ศาสนาไปเป็นอย่างอื่น เป็นระบบที่มีพื้นฐานมาจากคำบอกเล่า "ฮาดีษ" ซึ่งไม่ใช่มาจากคัมภีร์อัลกุรอาน ศาสนาอิสลาม ให้เสรีภาพใน
การเข้ารับศาสนาอิสลามโดยที่ไม่มีบังคับ หรือเมื่อมุสลิมผู้ใดจะออกจากศาสนาอิสลามก็ไม่มีการลงโทษใดๆทั้งสิ้น
กฏหมายที่เรียกว่ากฏหมายอิสลามหรือ "กฎหมายชารีอะห์" นี้ขัดแย้งกับหลักการของอัลกุรอานและคำสอนที่ชัดเจน อัลลอฮทรงบัญชา
ในการให้เสรีภาพ ในการนับถือศาสนาแก่ผู้คนบนโลกนี้ ไม่ว่าจะเขัารับหรือออกจากศาสนาอิสลามก็ตาม เป็นสิทธิของบุคคล ศาสนาไม่
มีการบังคับ หรือการลงโทษใดๆทั้งสิ้น
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
บัญญัติข้างล่างนี้แสดงให้เห็นว่าผู้ใดก็ตามที่หันหลังให้กับศาสนาของ อัลลอฮ์(อิสลาม) หลังจากที่ครั้งหนึ่งเคยมีศรัทธาอยู่, เขาผู้นั้นก็
ยังคงมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ต่อไปได้ :
{4:137} แท้จริงบรรดาผู้ที่มีศรัทธาแล้วปฏิเสธศรัทธา แล้วมีศรัทธา แล้วปฏิเสธศรัทธา แล้วเพิ่มการปฏิเสธศรัทธายิ่งขึ้นนั้น อัลลอฮฺจะ
ไม่ทรงอภัยโทษให้แก่พวกเขา และพระองค์จะไม่ทรงชี้นำทางใดให้แก่พวกเขา
จากบัญญัตินี้จะเห็นได้ว่า ถ้าศาสนาอิสลามมีการฆ่าผู้ละทิ้งศาสนาอิสลามแล้ว เขาจะไม่มีโอกาสที่จะกลับมาถือศาสนาอิสลามได้อีกครั้ง
แล้วครั้งเล่าหลังจากที่ปฏิเสธศรัทธาต่อศาสนอิสลามมาหลายครั้งแล้วก็ตาม, ประโยคในบัญญํติที่ว่า; "และพระองค์จะไม่ทรงชี้นำทางใด
ให้แก่พวกเขา" ประโยคนี้แสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า ตราบใดที่เขายังมีชีวิตอยู่บนโลกนี้พระองค์อัลลออ์จะไม่ทรงแนะแนวทางใดๆ
ให้เขาอีกต่อไป
การฆ่าผู้ละทิ้งศาสนาอิสลามนี้เป็นความเชื่อที่งมงายจากเรื่องบอกเล่า "ฮาดีษ" ที่เล่าต่อๆกันมา เป็นเรื่องซึ่งไม่มีการรับรองจากท่านศาส
ดามูฮัมมัด หรือ มีบัญัติไว้ในอัลกุรอาน และเป็นการกระทำที่ขัดกับอัลกุรอาน เมื่อเป็นดังนี้แล้ว เรื่องเช่นนั้นย่อมไม่เป็นความจริงที่มุสลิม
ควรจะนำมาปฏิบัติในศาสนาอิสลามของอัลลอฮ์, ในการพยายามหาเหตุผลมาพิจารณายอมรับสิ่งที่ขัดกับอัลกุรอาน อัลลอฮ์ทรงกล่าวตำ
หนิไว้อย่างรุนแรง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้