มีใครบางคนเคยกล่าวไว้ว่า ผู้ชนะคือธรรรมะ และผู้แพ้คือ อธรรม
แต่ในความเป็นจริงแล้ว มันคือ ธรรมะอย่างหนึ่ง สู้กับธรรมะอีกอย่างหนึ่ง
ท่านจะได้เห็น เรื่องเล่าของ ธรรมะที่บางคนเรียกว่าความชั่วร้าย
หากแต่ความชั่วร้ายนั้นใครบางคน เรียกมันว่าการทำเพื่อชาติ และเพื่อ คุณธรรม
ท่านจะได้ เห็น ความชั่วช้าสามานย์ ภายใต้คำว่าเพื่อชาติ และผองประชา
ท่านจะได้เห็นการทรยศ หักหลัง และทำลายล้าง แต่ใครบางคนเรียกมันว่าวิธีการ
สุดท้ายแล้ว เรื่องเล่าเหล่านี้ คือสิ่งที่ถูกหรือผิด ท่านเท่านั้นที่เป็นผู้ตัดสิน
บทนำ
ตรงปลายสะพานที่พาดผ่านแม่น้ำกลางหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ชายชรากำลังจัดการกับกล่องไม้ เพื่อเตรียมตัวสำหรับการแสดงในค่ำคืนนี้ คบไฟตามทางเดินเริ่มถูกจุดเพื่อรอรับรัตติกาล ขอบฟ้าเริ่มจับเป็นสีส้มสลัวแล้วบ่งบอกว่าเวลาใกล้หมดเต็มที
คงต้องเร่งมือเสียแล้ว ชายชรานึกในใจ พลางค่อนขอดตัวเองที่มัวแต่ชักช้า
ความคล่องแคล่วในสิ่งที่ทำอยู่ ตรงข้ามกับอายุที่ดูถดถอย แต่ทว่า ถึงรีบสักเพียงใด แต่ก็ยังดูเหมือนจะไม่ทันใจใครบางคน แรงกระตุกที่ปลายเสื้อเล็กน้อย ทำให้ต้องก้มลงไปมอง ร่างเล็กจ้อยผู้เป็นเจ้าของดวงตาสีน้ำตาลสดใส กำลังจ้องตอบกลับมา ดวงตาคู่นั้นแลดูสดใสชวนให้สบายใจนัก เหมือนดวงตาของใครสักคน ใครสักคนที่เกือบลืมเลือนไปแล้ว
“ท่านตายังไม่เสร็จอีกหรือ “ ดูเหมือนการเตรียมการเปิดการแสดงของเขาจะไม่ใจทันเด็กน้อยผู้นี้
“ บรอมอย่าทำตัวเป็นเด็ก หากเจ้าอยากดูให้ไวนัก ก็มานั่งรอข้างๆข้านี่ เจ้ายิ่งไปเร่งยิ่งทำให้ท่านตาเสียเวลา
เสียงทักท้วงมาจากเด็กหนุ่ม ที่อายุยังไม่เรียกว่าจะหนุ่มดีเท่าไหร่ แต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่คิดแบบนั้น ก่อนจะยืดอกเล็กน้อยอย่างไว้ท่า
ชายชราอดไม่ได้ที่จะอมยิ้ม เมื่อหันไปมองด้านหลังเด็กหนุ่มก็มีผู้ชมขาประจำและขาจรกำลังจับจองที่ทาง เพื่อรอการแสดงของเขา นับว่าผีมือยังไม่ตก มีทั้งเด็กและผู้ใหญ่ตัวเล็กและตัวโตชายและหญิง คนมากนัก มากกว่าคืนก่อน ดีแล้วยิ่งมามากยิ่งดี เรื่องราวของเขาอาจกลายเป็น ลำนำ อาจกลายเป็นนิทานก่อนนอน ที่จะเล่าให้เด็กที่อยู่ห่างไกลที่ไหนสักแห่ง ที่เขาไม่อาจไปเล่าด้วยตัวเอง ชายชรานึกอย่างอิ่มเอมใจ
เมื่อจัดแจงทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ผู้สูงวัยจัดการเปิดหีบเพลงกลไก เพื่อเพิ่มความตื่นเต้น ก่อนจะบรรจงหย่อนหุ่นเชิดอย่างชำนาญและนุ่มนวลลงไปในกล่องไม้ หุ่นเชิดของเขานั้นคล้ายมีชีวิต จึงสร้างความตื่นตาตรึงใจให้แก่ผู้ที่เห็น
ชายผู้ผ่านโลกมายาวนานกระแอมคอให้โล่ง จากนั้นจึงเริ่มเล่า
ผืนแผ่นดินที่แห้งแล้งแตกระแหง ไม่มีแม้ต้นไม้ใหญ่สักต้นให้ร่มเงา ราวกับทุกชีวิตได้ตายจากโลกนี้ไป มีหนูตัวหนึ่งกำลังคุ้ยเขี่ย ดวงตาสีดำของมันกำลังมองหา หาสิ่งที่จะมาประทังชีวิต บนผืนดินแห่งนี้แห้งแล้งเหลือเกิน โลกใบนี้ช่างโหดร้ายนักกับชีวิตน้อยๆของมัน ขาหน้าของมันเขี่ยหน่อหญ้าแห้งขึ้นมา มันลองกัดดูหน่อหญ้านั้นแห้งผากเกินไป ไร้ชีวิตเกินไป คงต้องหาใหม่ แต่แล้วเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
ทีแรกมันก็ไม่ได้ใส่ใจ มันยังค้นหา แต่แล้วเสียงก็ดังขึ้นเรื่อยๆ ดังมาก ราวกับโลกใบน้อยของมันกำลังจะถล่ม ดังจนมันไม่อาจทานทน ในที่สุดสัญชาติญาณเอาตัวรอดก็อยู่เหนือความหิวโหย มันต้องหนีไปมุดลงรูที่มืดมิด และปลอดภัย
หากหนูตัวนั้นมีปีกบินขึ้นเหนือท้องฟ้าแล้วมองลงมา มันก็คงจะรู้ว่าสิ่งใดทำให้มันหวาดกลัว สิ่งใดที่ส่งเสียงปานฟ้าถล่ม และหากมันฟังเสียงมนุษย์ออก มันคงรับรู้ว่า เสียงนั้นเปล่งออกมาจากคนนับหมื่นนับแสน ด้วย คำๆเดียว
" องค์จักรพรรดิ"
หากมองจากท้องฟ้า มีกองทัพสองฝั่งตั้งเผชิญหน้ากัน ฝั่งหนึ่งนั้นแต่งกายด้วยสีขาวล้วนราวกับกองทัพเทพสวรรค์ลงมาเพื่อปราบมาร จำนวนนั้นก็มิอาจประมาณได้ จากฟากหนึ่งไปไปจนจรดอีกฟากนั้น ยาวไกลจนสุดตา ทั้งกองธนู พลม้า พลดาบ พลหอก แลกองปืนล้วนแล้วแต่ดูงดงามและเป็นระเบียบ
ส่วนอีกฟากหนึ่งนั้น ใช้สีดำทั้งสิ้น ราวกับกองทัพปีศาจ ที่กำลังจะมาบุกล้างโลกเพื่อให้กลับไปสดใสดังวันวาน เมื่อมองดูก็เห็นความเข้มแข็ง และมุ่งมั่นอยู่ในแววตา
แม้นกองทัพอีกฟากจะมหาศาลเพียงใด ก็ไม่มีผู้ใดสักคนส่งแววตาหวั่นไหว ลมพัดแรงจนธงของกองทัพสะบัดกินลม แต่กระนั้นกองทัพสีดำก็ยืนนิ่งไม่ไหวติง
เมื่อคนผู้หนึ่งก้าวนำหน้าออกมาเสียง เรียกองค์จักรพรรดิจากองทัพสีขาวก็หยุดลงโดยพลัน ทุกอย่างเงียบสงัด มีเพียงเสียงลมตีกับธงเท่านั้นที่ดังอยู่ ชายคนนั้นชักดาบประจำกายออกมาก่อจะชูขึ้นเหนือหัวแล้วตะโกนว่า
“องค์จักรพรรรดิเสด็จ” สิ้นเสียงกองทัพสีขาวก็แหวกออกเป็นสองข้างทาง ชายหนุ่มผู้หนึ่งนั่งอยู่หลังม้าสีขาว ชาวผู้นั้นมีผมยาวสีทองดุจทองคำ ใบหน้าขาวราวกับกระเบื้องหยก ดวงตาสีเทาเหมือนดังพายุที่โหมกระหนึ่งไม่มีผิดเพี้ยน แต่งกายด้วยชุดเกราะสีขาวขลิบทอง งดงามราวโอรสแห่งเทพ
ผู้ที่อยู่บนพื้นข้างกายรวบรวมความกล้า ก่อนจะเอ่ยปาก
“ฝ่าบาท ผู้น้อยขอถวายคำแนะนำ “
จักรพรรดิ มองตรงไปยังกองทัพสีดำข้างหน้า ดวงตาสีเทาพายุจับจ้องโดยไม่กระพริบ
ไม่แม้จะหลือบมองคนข้างกาย
ทำเอาผู้ที่อยู่ข้างกายไม่แน่ใจ ว่าจักรพรรดิได้ยินเสียงตนหรือไม่ จึงคิดที่จะสำทับอีกครั้ง
“ฝ่าบาท”
แต่ทว่า จักรพรรดิหนุ่มกลับเอ่ยปากขึ้นมาก่อน
“หยุดคำเจ้าเสียเถิด ข้ารู้ดีว่าข้าทำอะไรอยู่ หากกลัวว่าพวกมันจะลอบโจมตีตอนข้าออกไปเจรจา ไม่ต้องห่วง ข้ารู้จักแม่ทัพของมัน ดีกว่าตัวข้ารู้จักตัวเองเสียอีก เจ้านี่มันบ้าเกียรติยศ และตรงยิ่งกว่าดาบของเจ้าด้วยซ้ำ..“ จักรพรรดิทิ้งประโยคสุดท้ายลงไปในลำคอ
....หากมันไม่ใช่คนเช่นนี้ มันคงไม่มาตั้งทัพเผชิญหน้ากับข้าหรอก
คนด้านล่างส่งเสียงอึกอักในลำคอก่อนจะเอ่ย ขึ้นอีกครั้ง
“ แต่ฝ่าบาท...”
จักรดิพรรดิมองด้วยหางตา แล้วกล่าวด้วยเสียงเย็น
“หากเจ้าพูดอีกครั้ง ข้าจะตัดปากเจ้าทิ้งเสีย “
สิ้นคำ เสียงหวูดจากแตรแปลกหูก็ดังยาวขึ้นมา
กองทัพสีดำแหวกออกเป็นสองข้างทาง ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง บนหลังอาชาพ่วงพีก็ปรากฏแก่สายตา
ชายคนนั้นมีผมดำเข้มเสียยิ่งกว่าราตรี แม้นมีรอยแผลเป็นที่ข้างแก้ม ก็ไม่อาจลบเลือนความสง่าบนใบหน้าคมเข้ม ให้ลดน้อยลง คิ้วดำสนิทขมวดเข้าหากันเสมอ ราวกับไม่เคยออกห่างจากกันแม้นเวลาผ่อนคลาย
ยังเหมือนเดิมดุจดังวันวาน .....วันวานที่ไม่อาจย้อนหวนคืน
ระยะทางที่ค่อยๆหนสั้นลง ทำให้ใจของจักรพรรดิเต้นแรงขึ้น
เต้นแรงกว่าครั้งไหน
แรงจนต้องกดหน้าอกเอาไว้
ไม่ว่าจอมคนผู้ยิ่งใหญ่
ไม่ว่าทราชผู้โหดเหี้ยมเพียงใด
ไม่อาจทำให้จักรพรรดิเคยหวั่นไหวและหวาดกลัว
มีเพียงชายหนุ่มผู้นี้เท่านั้น ที่จักรพรรดิเคยคิดว่าจะเป็นคนสุดท้ายในโลกนี้ที่จะเผชิญหน้าด้วย
อดีตวิ่งไล่เข้าในหัวเป็นฉาก น่ารำคาญแต่ไม่อาจตัดออกจากความคิด
แม้ใจอยากให้เวลานี้ไม่มาถึง แต่ท้ายสุดจักรพรรดิและแม่ทัพหนุ่ม ก็ขี่ม้าเผชิญหน้ากันตรงกลางระหว่างสองกองทัพ
ไม่มีผู้ใดเอ่ยปาก ไม่มีผู้ใดเอ่ยความ ราวกับทั้งคู่ใช้สายตาคุยกัน ดวงตาสีดำสนิทจับจ้องกับดวงตาสีเทาพายุ ทุกอย่างดูเหมือนกลับไปดั่งวันวาน จนกระทั่ง....ผู้ติดตามของจักรพรรดิเป็นฝ่ายเอ่ยปาก
“ยอมจำนนเสีย จักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่จะมีเมตตาให้เจ้า “
แม่ทัพหนุ่มเหลือบมองก่อนแสยะยิ้ม
“พึ่งรู้ว่า ขี้ข้ามีอำนาจ พูดแทนองค์จักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่” ตรงคำว่าใหญ่ แม่ทัพหนุ่มลากเสียงยาวอย่างล้อเลียน
“เจ้า!! “
ผู้ติดตามจักรพรรดิโมโหจนแทบขาดสติ มืออื้มไปหยิบดาบ โดยหลงลืมว่าตนเองปลดดาบก่อนหน้า ตามธรรมเนียมที่ทำกันมา
แม่ทัพหนุ่มแสยะยิ้ม เมื่อจักรพรรดิกระตุ้นม้าขึ้นนำหน้า
“ เจ้าไปรอข้าที่ด้านหลัง ข้าอยากพูดกับแม่ทัพข้าศึกตามลำพัง”
ผู้ติดตาม จะเอ่ยปากทักท้วงแต่ทว่า เพียงจักรพรรดิชายตามมอง เพียงเท่านั้นคำพูดก็กลืนหายกลับไปลงคอ ก่อนจะก้มหัวลงรับคำ
เมื่ออยู่ตามลำพัง จักรพรรดิหนุ่มจึงเอ่ยปาก
“ถอยทัพกลับไปเสีย เลิกทัพซะก่อนจะตายด้วยกันทั้งหมดที่นี่ “
แม่ทัพหนุ่มก้มหัวลงเล็กน้อยก่อนจะเอ่ย
“ คำพูดนั้นข้าขอคืนให้ท่านดุจเดียวกัน จงพาทัพของท่านกลับคืนบ้านไปเสียเถิด คนเหล่านี้เจอสงครามมามากเพียงพอแล้ว “
เมื่อทำตามธรรมเนียมที่ทำกันมาช้านาน แม่ทัพหนุ่มจึงชักม้ากลับ แต่แล้วเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
องค์จักรพรรรดินั่นเองที่เป็นฝ่ายเอ่ยปาก
“ลุคเจ้าคิดว่าทำแบบนี้แล้ว คิดว่าฟิลเลียจะดีใจงั้นเหรอ “
ลุคที่บัดนี้กลายเป็นแม่ทัพกบฎ หยุดม้าก่อนจะเอ่ยปาก
“เร็ก ...อย่ามาอ้างแทนคนตายไปหน่อยเลย“
เจ็บปวดนัก ถ้อยคำเหล่านี้เจ็บปวดเหลือจะเอ่ย
จักรพรรดิชักม้ากลับกองทัพโดยไม่เหลียวหลัง ก่อนจะสั่งความกับคนของตน
“ พลธนูเดินหน้า “
เป็นสงครามที่น่ารังเกียจและเจ็บปวดเหลือแสน
ชายชราเก็บข้าวของ คืนนี้คงเป็นคืนสุดท้ายที่อยู่ที่นี่ หมู่บ้านนี้คนไม่มากนัก คงถึงแก่เวลาแล้ว
แต่แล้ว เสียงกุกกักด้านหลัง ทำให้ชายชราหันไปมอง ชายวัยกลางคนยืนอยู่ด้านหลัง ท่าทางและความสง่าผ่าเผย บ่งบอกว่าชายผู้นี้มาจากองทัพ
คงอยู่มานานทีเดียว เพราะถึงแม้จะดูท่าทางวัยล่วงเลยที่จะรับใช้ชาติ แต่ยังคงบุคคลิคที่หล่อหลอมจากในกองทัพ
“มีอะไรรึ การแสดงจบแล้ว “
ชายผู้นั้นคุกเข่าลงก่อนจะเอ่ยปาก
“จักรพรรดิ ท่านใช่จักพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ รึไม่ “
มือเหี่ยวย่นยังคงทำงาน ต่อไป
ยิ่งใหญ่
ชายชรายิ้มที่มุมปาก
“จักรพรรดิที่ไหนจะมาเปิดการแสดงหุ่นเชิด พ่อหนุ่ม “
ชายผู้นั้นยังคงไม่ยอมแพ้
“ต้องใช่แน่ๆ ข้าจำใบหน้าของพระองค์ได้ ข้าเคยเห็นพระองค์ ในวันที่กองทัพเดินพาเรดฉลองชัยปราบกบฏผู้ชั่วช้า“
กบฏงั้นหรือ
ชั่วช้างั้นหรือ
ชายชราค่อนแคะ
“ข้ามีสิ่งใดที่เหมือนจักรพรรดิ “ ชายชราตอบก่อนจะหันกลับไป แล้วใช้ดวงตาจ้องมองผู้ที่อยู่ด้านหลัง
มันเป็นดวงตาสีเทาพายุ
............................
หัวใจบนปลายดาบ Ep -1
แต่ในความเป็นจริงแล้ว มันคือ ธรรมะอย่างหนึ่ง สู้กับธรรมะอีกอย่างหนึ่ง
ท่านจะได้เห็น เรื่องเล่าของ ธรรมะที่บางคนเรียกว่าความชั่วร้าย
หากแต่ความชั่วร้ายนั้นใครบางคน เรียกมันว่าการทำเพื่อชาติ และเพื่อ คุณธรรม
ท่านจะได้ เห็น ความชั่วช้าสามานย์ ภายใต้คำว่าเพื่อชาติ และผองประชา
ท่านจะได้เห็นการทรยศ หักหลัง และทำลายล้าง แต่ใครบางคนเรียกมันว่าวิธีการ
สุดท้ายแล้ว เรื่องเล่าเหล่านี้ คือสิ่งที่ถูกหรือผิด ท่านเท่านั้นที่เป็นผู้ตัดสิน
บทนำ
ตรงปลายสะพานที่พาดผ่านแม่น้ำกลางหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ชายชรากำลังจัดการกับกล่องไม้ เพื่อเตรียมตัวสำหรับการแสดงในค่ำคืนนี้ คบไฟตามทางเดินเริ่มถูกจุดเพื่อรอรับรัตติกาล ขอบฟ้าเริ่มจับเป็นสีส้มสลัวแล้วบ่งบอกว่าเวลาใกล้หมดเต็มที
คงต้องเร่งมือเสียแล้ว ชายชรานึกในใจ พลางค่อนขอดตัวเองที่มัวแต่ชักช้า
ความคล่องแคล่วในสิ่งที่ทำอยู่ ตรงข้ามกับอายุที่ดูถดถอย แต่ทว่า ถึงรีบสักเพียงใด แต่ก็ยังดูเหมือนจะไม่ทันใจใครบางคน แรงกระตุกที่ปลายเสื้อเล็กน้อย ทำให้ต้องก้มลงไปมอง ร่างเล็กจ้อยผู้เป็นเจ้าของดวงตาสีน้ำตาลสดใส กำลังจ้องตอบกลับมา ดวงตาคู่นั้นแลดูสดใสชวนให้สบายใจนัก เหมือนดวงตาของใครสักคน ใครสักคนที่เกือบลืมเลือนไปแล้ว
“ท่านตายังไม่เสร็จอีกหรือ “ ดูเหมือนการเตรียมการเปิดการแสดงของเขาจะไม่ใจทันเด็กน้อยผู้นี้
“ บรอมอย่าทำตัวเป็นเด็ก หากเจ้าอยากดูให้ไวนัก ก็มานั่งรอข้างๆข้านี่ เจ้ายิ่งไปเร่งยิ่งทำให้ท่านตาเสียเวลา
เสียงทักท้วงมาจากเด็กหนุ่ม ที่อายุยังไม่เรียกว่าจะหนุ่มดีเท่าไหร่ แต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่คิดแบบนั้น ก่อนจะยืดอกเล็กน้อยอย่างไว้ท่า
ชายชราอดไม่ได้ที่จะอมยิ้ม เมื่อหันไปมองด้านหลังเด็กหนุ่มก็มีผู้ชมขาประจำและขาจรกำลังจับจองที่ทาง เพื่อรอการแสดงของเขา นับว่าผีมือยังไม่ตก มีทั้งเด็กและผู้ใหญ่ตัวเล็กและตัวโตชายและหญิง คนมากนัก มากกว่าคืนก่อน ดีแล้วยิ่งมามากยิ่งดี เรื่องราวของเขาอาจกลายเป็น ลำนำ อาจกลายเป็นนิทานก่อนนอน ที่จะเล่าให้เด็กที่อยู่ห่างไกลที่ไหนสักแห่ง ที่เขาไม่อาจไปเล่าด้วยตัวเอง ชายชรานึกอย่างอิ่มเอมใจ
เมื่อจัดแจงทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ผู้สูงวัยจัดการเปิดหีบเพลงกลไก เพื่อเพิ่มความตื่นเต้น ก่อนจะบรรจงหย่อนหุ่นเชิดอย่างชำนาญและนุ่มนวลลงไปในกล่องไม้ หุ่นเชิดของเขานั้นคล้ายมีชีวิต จึงสร้างความตื่นตาตรึงใจให้แก่ผู้ที่เห็น
ชายผู้ผ่านโลกมายาวนานกระแอมคอให้โล่ง จากนั้นจึงเริ่มเล่า
ผืนแผ่นดินที่แห้งแล้งแตกระแหง ไม่มีแม้ต้นไม้ใหญ่สักต้นให้ร่มเงา ราวกับทุกชีวิตได้ตายจากโลกนี้ไป มีหนูตัวหนึ่งกำลังคุ้ยเขี่ย ดวงตาสีดำของมันกำลังมองหา หาสิ่งที่จะมาประทังชีวิต บนผืนดินแห่งนี้แห้งแล้งเหลือเกิน โลกใบนี้ช่างโหดร้ายนักกับชีวิตน้อยๆของมัน ขาหน้าของมันเขี่ยหน่อหญ้าแห้งขึ้นมา มันลองกัดดูหน่อหญ้านั้นแห้งผากเกินไป ไร้ชีวิตเกินไป คงต้องหาใหม่ แต่แล้วเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
ทีแรกมันก็ไม่ได้ใส่ใจ มันยังค้นหา แต่แล้วเสียงก็ดังขึ้นเรื่อยๆ ดังมาก ราวกับโลกใบน้อยของมันกำลังจะถล่ม ดังจนมันไม่อาจทานทน ในที่สุดสัญชาติญาณเอาตัวรอดก็อยู่เหนือความหิวโหย มันต้องหนีไปมุดลงรูที่มืดมิด และปลอดภัย
หากหนูตัวนั้นมีปีกบินขึ้นเหนือท้องฟ้าแล้วมองลงมา มันก็คงจะรู้ว่าสิ่งใดทำให้มันหวาดกลัว สิ่งใดที่ส่งเสียงปานฟ้าถล่ม และหากมันฟังเสียงมนุษย์ออก มันคงรับรู้ว่า เสียงนั้นเปล่งออกมาจากคนนับหมื่นนับแสน ด้วย คำๆเดียว
" องค์จักรพรรดิ"
หากมองจากท้องฟ้า มีกองทัพสองฝั่งตั้งเผชิญหน้ากัน ฝั่งหนึ่งนั้นแต่งกายด้วยสีขาวล้วนราวกับกองทัพเทพสวรรค์ลงมาเพื่อปราบมาร จำนวนนั้นก็มิอาจประมาณได้ จากฟากหนึ่งไปไปจนจรดอีกฟากนั้น ยาวไกลจนสุดตา ทั้งกองธนู พลม้า พลดาบ พลหอก แลกองปืนล้วนแล้วแต่ดูงดงามและเป็นระเบียบ
ส่วนอีกฟากหนึ่งนั้น ใช้สีดำทั้งสิ้น ราวกับกองทัพปีศาจ ที่กำลังจะมาบุกล้างโลกเพื่อให้กลับไปสดใสดังวันวาน เมื่อมองดูก็เห็นความเข้มแข็ง และมุ่งมั่นอยู่ในแววตา
แม้นกองทัพอีกฟากจะมหาศาลเพียงใด ก็ไม่มีผู้ใดสักคนส่งแววตาหวั่นไหว ลมพัดแรงจนธงของกองทัพสะบัดกินลม แต่กระนั้นกองทัพสีดำก็ยืนนิ่งไม่ไหวติง
เมื่อคนผู้หนึ่งก้าวนำหน้าออกมาเสียง เรียกองค์จักรพรรดิจากองทัพสีขาวก็หยุดลงโดยพลัน ทุกอย่างเงียบสงัด มีเพียงเสียงลมตีกับธงเท่านั้นที่ดังอยู่ ชายคนนั้นชักดาบประจำกายออกมาก่อจะชูขึ้นเหนือหัวแล้วตะโกนว่า
“องค์จักรพรรรดิเสด็จ” สิ้นเสียงกองทัพสีขาวก็แหวกออกเป็นสองข้างทาง ชายหนุ่มผู้หนึ่งนั่งอยู่หลังม้าสีขาว ชาวผู้นั้นมีผมยาวสีทองดุจทองคำ ใบหน้าขาวราวกับกระเบื้องหยก ดวงตาสีเทาเหมือนดังพายุที่โหมกระหนึ่งไม่มีผิดเพี้ยน แต่งกายด้วยชุดเกราะสีขาวขลิบทอง งดงามราวโอรสแห่งเทพ
ผู้ที่อยู่บนพื้นข้างกายรวบรวมความกล้า ก่อนจะเอ่ยปาก
“ฝ่าบาท ผู้น้อยขอถวายคำแนะนำ “
จักรพรรดิ มองตรงไปยังกองทัพสีดำข้างหน้า ดวงตาสีเทาพายุจับจ้องโดยไม่กระพริบ
ไม่แม้จะหลือบมองคนข้างกาย
ทำเอาผู้ที่อยู่ข้างกายไม่แน่ใจ ว่าจักรพรรดิได้ยินเสียงตนหรือไม่ จึงคิดที่จะสำทับอีกครั้ง
“ฝ่าบาท”
แต่ทว่า จักรพรรดิหนุ่มกลับเอ่ยปากขึ้นมาก่อน
“หยุดคำเจ้าเสียเถิด ข้ารู้ดีว่าข้าทำอะไรอยู่ หากกลัวว่าพวกมันจะลอบโจมตีตอนข้าออกไปเจรจา ไม่ต้องห่วง ข้ารู้จักแม่ทัพของมัน ดีกว่าตัวข้ารู้จักตัวเองเสียอีก เจ้านี่มันบ้าเกียรติยศ และตรงยิ่งกว่าดาบของเจ้าด้วยซ้ำ..“ จักรพรรดิทิ้งประโยคสุดท้ายลงไปในลำคอ
....หากมันไม่ใช่คนเช่นนี้ มันคงไม่มาตั้งทัพเผชิญหน้ากับข้าหรอก
คนด้านล่างส่งเสียงอึกอักในลำคอก่อนจะเอ่ย ขึ้นอีกครั้ง
“ แต่ฝ่าบาท...”
จักรดิพรรดิมองด้วยหางตา แล้วกล่าวด้วยเสียงเย็น
“หากเจ้าพูดอีกครั้ง ข้าจะตัดปากเจ้าทิ้งเสีย “
สิ้นคำ เสียงหวูดจากแตรแปลกหูก็ดังยาวขึ้นมา
กองทัพสีดำแหวกออกเป็นสองข้างทาง ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง บนหลังอาชาพ่วงพีก็ปรากฏแก่สายตา
ชายคนนั้นมีผมดำเข้มเสียยิ่งกว่าราตรี แม้นมีรอยแผลเป็นที่ข้างแก้ม ก็ไม่อาจลบเลือนความสง่าบนใบหน้าคมเข้ม ให้ลดน้อยลง คิ้วดำสนิทขมวดเข้าหากันเสมอ ราวกับไม่เคยออกห่างจากกันแม้นเวลาผ่อนคลาย
ยังเหมือนเดิมดุจดังวันวาน .....วันวานที่ไม่อาจย้อนหวนคืน
ระยะทางที่ค่อยๆหนสั้นลง ทำให้ใจของจักรพรรดิเต้นแรงขึ้น
เต้นแรงกว่าครั้งไหน
แรงจนต้องกดหน้าอกเอาไว้
ไม่ว่าจอมคนผู้ยิ่งใหญ่
ไม่ว่าทราชผู้โหดเหี้ยมเพียงใด
ไม่อาจทำให้จักรพรรดิเคยหวั่นไหวและหวาดกลัว
มีเพียงชายหนุ่มผู้นี้เท่านั้น ที่จักรพรรดิเคยคิดว่าจะเป็นคนสุดท้ายในโลกนี้ที่จะเผชิญหน้าด้วย
อดีตวิ่งไล่เข้าในหัวเป็นฉาก น่ารำคาญแต่ไม่อาจตัดออกจากความคิด
แม้ใจอยากให้เวลานี้ไม่มาถึง แต่ท้ายสุดจักรพรรดิและแม่ทัพหนุ่ม ก็ขี่ม้าเผชิญหน้ากันตรงกลางระหว่างสองกองทัพ
ไม่มีผู้ใดเอ่ยปาก ไม่มีผู้ใดเอ่ยความ ราวกับทั้งคู่ใช้สายตาคุยกัน ดวงตาสีดำสนิทจับจ้องกับดวงตาสีเทาพายุ ทุกอย่างดูเหมือนกลับไปดั่งวันวาน จนกระทั่ง....ผู้ติดตามของจักรพรรดิเป็นฝ่ายเอ่ยปาก
“ยอมจำนนเสีย จักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่จะมีเมตตาให้เจ้า “
แม่ทัพหนุ่มเหลือบมองก่อนแสยะยิ้ม
“พึ่งรู้ว่า ขี้ข้ามีอำนาจ พูดแทนองค์จักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่” ตรงคำว่าใหญ่ แม่ทัพหนุ่มลากเสียงยาวอย่างล้อเลียน
“เจ้า!! “
ผู้ติดตามจักรพรรดิโมโหจนแทบขาดสติ มืออื้มไปหยิบดาบ โดยหลงลืมว่าตนเองปลดดาบก่อนหน้า ตามธรรมเนียมที่ทำกันมา
แม่ทัพหนุ่มแสยะยิ้ม เมื่อจักรพรรดิกระตุ้นม้าขึ้นนำหน้า
“ เจ้าไปรอข้าที่ด้านหลัง ข้าอยากพูดกับแม่ทัพข้าศึกตามลำพัง”
ผู้ติดตาม จะเอ่ยปากทักท้วงแต่ทว่า เพียงจักรพรรดิชายตามมอง เพียงเท่านั้นคำพูดก็กลืนหายกลับไปลงคอ ก่อนจะก้มหัวลงรับคำ
เมื่ออยู่ตามลำพัง จักรพรรดิหนุ่มจึงเอ่ยปาก
“ถอยทัพกลับไปเสีย เลิกทัพซะก่อนจะตายด้วยกันทั้งหมดที่นี่ “
แม่ทัพหนุ่มก้มหัวลงเล็กน้อยก่อนจะเอ่ย
“ คำพูดนั้นข้าขอคืนให้ท่านดุจเดียวกัน จงพาทัพของท่านกลับคืนบ้านไปเสียเถิด คนเหล่านี้เจอสงครามมามากเพียงพอแล้ว “
เมื่อทำตามธรรมเนียมที่ทำกันมาช้านาน แม่ทัพหนุ่มจึงชักม้ากลับ แต่แล้วเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
องค์จักรพรรรดินั่นเองที่เป็นฝ่ายเอ่ยปาก
“ลุคเจ้าคิดว่าทำแบบนี้แล้ว คิดว่าฟิลเลียจะดีใจงั้นเหรอ “
ลุคที่บัดนี้กลายเป็นแม่ทัพกบฎ หยุดม้าก่อนจะเอ่ยปาก
“เร็ก ...อย่ามาอ้างแทนคนตายไปหน่อยเลย“
เจ็บปวดนัก ถ้อยคำเหล่านี้เจ็บปวดเหลือจะเอ่ย
จักรพรรดิชักม้ากลับกองทัพโดยไม่เหลียวหลัง ก่อนจะสั่งความกับคนของตน
“ พลธนูเดินหน้า “
เป็นสงครามที่น่ารังเกียจและเจ็บปวดเหลือแสน
ชายชราเก็บข้าวของ คืนนี้คงเป็นคืนสุดท้ายที่อยู่ที่นี่ หมู่บ้านนี้คนไม่มากนัก คงถึงแก่เวลาแล้ว
แต่แล้ว เสียงกุกกักด้านหลัง ทำให้ชายชราหันไปมอง ชายวัยกลางคนยืนอยู่ด้านหลัง ท่าทางและความสง่าผ่าเผย บ่งบอกว่าชายผู้นี้มาจากองทัพ
คงอยู่มานานทีเดียว เพราะถึงแม้จะดูท่าทางวัยล่วงเลยที่จะรับใช้ชาติ แต่ยังคงบุคคลิคที่หล่อหลอมจากในกองทัพ
“มีอะไรรึ การแสดงจบแล้ว “
ชายผู้นั้นคุกเข่าลงก่อนจะเอ่ยปาก
“จักรพรรดิ ท่านใช่จักพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ รึไม่ “
มือเหี่ยวย่นยังคงทำงาน ต่อไป
ยิ่งใหญ่
ชายชรายิ้มที่มุมปาก
“จักรพรรดิที่ไหนจะมาเปิดการแสดงหุ่นเชิด พ่อหนุ่ม “
ชายผู้นั้นยังคงไม่ยอมแพ้
“ต้องใช่แน่ๆ ข้าจำใบหน้าของพระองค์ได้ ข้าเคยเห็นพระองค์ ในวันที่กองทัพเดินพาเรดฉลองชัยปราบกบฏผู้ชั่วช้า“
กบฏงั้นหรือ
ชั่วช้างั้นหรือ
ชายชราค่อนแคะ
“ข้ามีสิ่งใดที่เหมือนจักรพรรดิ “ ชายชราตอบก่อนจะหันกลับไป แล้วใช้ดวงตาจ้องมองผู้ที่อยู่ด้านหลัง
มันเป็นดวงตาสีเทาพายุ
............................