บทที่ 1
http://www.ppantip.com/topic/13103102
บทที่ 2
http://www.ppantip.com/topic/13112135
บทที่ 3 ครู
“สอน...ใครๆก็ทำได้ แต่จะทำให้นักเรียนเข้าใจได้หรือเปล่าก็อีกเรื่อง”
ลงท้ายข้าก็ไม่ได้ไปดูการประหาร น่าเสียดายจริงๆ คนไปดูกันทั้งเมือง ข้ายังไม่เคยเห็นคนตายชัดๆสักที จะว่าไปแล้วตอนเบตาตาย ข้าก็ไม่เห็นเพราะนางติดโรคระบาดเลยต้องออกไปอยู่ที่เขตรักษาที่นอกเมือง บางคนก็หายได้กลับมาแต่เบตาไม่ได้กลับมา ข้าเลยไม่รู้ว่าคนตายเป็นอย่างไร มีแต่คนบอกว่าคนตายแล้วไม่หายใจ แล้วคนที่โดนตัดหัวจะหายใจทางไหนล่ะ ข้าได้ยินคนซุบซิบกันว่าในวังหลังตอนนี้ไม่เหลือสนมแล้ว องค์จักรพรรดิคงจะให้มีการคัดเลือกสนมใหม่เป็นแน่ แต่ใครจะกล้ามานะ เขาเพิ่งสั่งประหารเมียตัวเองทีเดียวตั้งสามคน แต่ก็ไม่แน่หรอก เขาเป็นถึงจักรพรรดิย่อมต้องได้ทุกอย่างที่ต้องการ ต่อให้จะประหารเมียวันละคนก็ตาม เขาจะสั่งประหารใครอีกไหม ข้าจะหาทางไปดูให้ได้
ไมเคด์ค่อยๆเดินโขยกเขยกไปตามทางเดินที่มืดสลัว เขาหอบหายใจน้อยๆ ด้วยสังขารที่ไม่อำนวยต่อการเคลื่อนไหว ครึ่งร่างซีกซ้ายของเขาเคยถูกไฟเผาถึงแม้จะรอดมาได้ แต่อัคคีทิ้งร่องรอยไว้เป็นความพิการอัปลักษณ์ นับเป็นโชคของเขา เพราะพระเพลิงหาได้ปรานีคนอื่นๆในครอบครัวของเขาไม่ ห้าสิบสามชีวิตทั้งเฒ่าชราหนุ่มสาวเด็กน้อยล้วนสูญไปในกองเพลิง
หากเป็นยามปกติ จะต้องมีคนคอยช่วย แต่อาลักษณ์เฒ่ารู้ดีว่า การ‘เชิญ’ที่ยูนุคคนสนิทของฝ่าบาทบอกในยามค่ำคืนนี้เป็นเรื่องประเภทใด
ไมเคด์แม้จะเหนื่อยและเจ็บ แต่เมื่อนึกถึงองค์จักรพรรดิหนุ่มแล้ว อดยิ้มออกมาไม่ได้ ไม่ว่าใครจะคิดเห็นเช่นไรก็ตาม ไม่ว่าจะกระซิบกระซาบว่าเป็นจักรพรรดิเหี้ยมโหด เพราะนับแต่ขึ้นครองราชย์ด้วยวัยเยาว์ด้วยพระบิดาสวรรคตอย่างกะทันหัน ทำให้เหล่าผู้ครองเมืองขึ้นหลายเมืองพากันถือโอกาสกระด้างกระเดื่องต่อผู้ครองบัลลังก์หนุ่มที่เยาะหยันกันเองว่าเป็นเพียงเด็กหนุ่มที่หนวดยังไม่ขึ้น จักรพรรดิหนุ่มไม่รั้งรอจะสั่งสอนบทเรียน ใครที่กล้าเป็นปฏิปักษ์ล้วนแต่ล่มสลายลงทั้งสิ้นหาเหลือเชื้อสายสืบต่อ โลหิตแผ่ขยายไปทั่วทุกทิศ ทำให้ดินแดนใหญ่น้อยล้วนยอมศิโรราบอยู่ในพระอำนาจพระเมตตา
แต่สำหรับเขา ภาพของเขายามนึกถึงองค์เหนือหัวกลับเป็นภาพหนุ่มน้อยที่มีดวงตาเฉลียวฉลาดแต่เด็ดขาด ริมฝีปากมักจะยกเล็กน้อยเป็นรอยเยาะหยัน ใช่แล้วน้อยคนนักที่จะรู้ว่าครั้งหนึ่งเมื่อหลายๆปีก่อน เขาเคยได้ถวายการสอนเจ้าชายอาเคเซซัส
“ทางนี้ ท่านผู้เฒ่า” เสียงของฮาโบนานบอก ยามพาอาลักษณ์เฒ่าผ่านทวาร แสงเทียนส่องให้เห็นร่างสูงกำยำในเครื่องทรงลำลองที่เปลือยท่อนบนให้เห็นกล้ามเนื้อแผ่นหลังแข็งแรงที่ประทับยืนมองแผนที่ที่ตรึงไว้บนผนัง
“ฝ่าบาท ท่านไมเคด์”
อาเคเซซัสตวัดผ้าคลุมที่คล้องแขนไว้ขึ้นคลุมกายให้เรียบร้อยจึงหันมาเดินตรงไปจับมืออาลักษณ์เฒ่าที่กำลังจะถวายบังคมขึ้นมาแตะหน้าผากอย่างเคารพพร้อมเอ่ยด้วยเสียงนุ่มนวลกว่าปกติ “ท่านครู”
เขาประคองไมเคด์ให้นั่งลง “นั่งก่อนเถิด ท่านครู ลำบากท่านแล้ว”
“เป็นพระกรุณา” ไมเคด์ตอบ อาเคเซซัสตรัสถามต่อ
“ท่านครูเป็นเช่นไรบ้าง สบายดีหรือไม่”
“กระหม่อมสบายดี เป็นพระกรุณาที่ยังระลึกถึงเฒ่าชราผู้นี้” ไมเคด์ตอบ แต่เมื่อเหลือบไปเห็นหลายร่างที่ยืนเงียบๆในห้องนั้น ดวงตาเขาฉายรอยแวววับยามเอ่ยปาก “มีประสงค์ใดจะให้เฒ่าผู้นี้รับใช้หรือ โปรดบัญชา”
“ท่านครูรู้ใจข้าเสมอ” อาเคเซซัสสรวลเสียงเบาๆ เขาหันไปพยักหน้า มามูกันทั้งฮาโบนานช่วยกันยกหีบใบหนึ่งมาวางตรงหน้าไมเคด์
“มามูกันค้นเจอในบ้านของครอบครัวสนมสามนางนั้น ท่านครูโปรดดู”
ไมเคด์ก้มลงเปิดหีบ เมื่อเห็นม้วนหนังสือจึงคลี่ออกดู เขาหลุดปาก “เมเดียน”
“ใช่แล้วขอรับ” มามูกันตอบรับ “แล้วยังมีเชนนันด้วยขอรับ”
ไมเคด์หันไปมองแม่ทัพใหญ่ก่อนเอ่ยปากลอยๆ “รู้ด้วยหรือว่าเป็นเมเดียนกับเชนนัน”
“โธ่ ท่านครูขอรับ ถึงข้าจะลืมที่ท่านสอนไปเกือบหมดแล้วก็ตาม แต่ก็พอจะแยกออกว่าอักษรพวกนี้เป็นภาษาอะไรได้บ้างน่า” มามูกันประท้วง ไมเคด์หัวเราะน้อยๆ ในบรรดาลูกศิษย์ร่วมเรียนกับเจ้าชายอาเคเซซัส ดูเหมือนว่ามามูกันจะอ่อนด้อยกว่าทุกคนในเรื่องนี้ ซึ่งไม่น่าแปลกที่เขาหันไปเอาดีทางการต่อสู้จนได้เป็นถึงแม่ทัพเช่นทุกวันนี้
“ถ้าจำสิ่งที่ตาแก่คนนี้สอนกันได้บ้าง คงไม่ต้องลำบากถึงข้าล่ะสิ” ไมเคด์เหน็บ ทำเอาร่างที่เหลือในห้องนั้นพากันยิ้มแหยๆ ไมเคด์หันไปสนใจเนื้อหาข้อความในมือ อาเคเซซัสพูดต่อ
“ท่านครูโปรดช่วยข้าด้วย ข้าไม่ไว้ใจคนอื่น”
ไมเคด์ไม่ตอบ ยังมัวก้มหน้าก้มตาอ่านอยู่ อาเคเซซัสยิ้มนิดๆ เขายังจำได้ดีถึงชั้นเรียนของไมเคด์ และอาจเป็นเหตุผลที่ทำให้ไมเคด์เป็นเพียงคนเดียวที่เขายังเรียกว่าท่านครูแม้จะขึ้นครองราชย์แล้วก็ตาม เขารู้ดีว่าอีกฝ่ายมีความชำนาญเพียงไรในเรื่องภาษา และยิ่งกว่าเชื่อในความภักดีที่อีกฝ่ายมีให้
ไมเคด์เงยหน้าขึ้น สีหน้าเคร่งเครียดจริงจัง เริ่มออกปากสั่งทันที
“เอาหีบนี้ไปตั้งตรงนั้น ข้างโต๊ะๆนั่นแหละ แล้วเจ้า” เขาชี้ไปที่แม่ทัพใหญ่มามูกัน “แยกออกเป็นสองกอง กองหนึ่งเป็นเมเดียน อีกกองเป็นเชนนัน”
“จุดเทียนให้สว่างขึ้นหน่อยสิ” ไมเคด์สั่งพลางขยับตัวอย่างกระตือรือร้นไปยังโต๊ะตัวใหญ่โดยไม่คิดจะขออนุญาตเจ้าของห้องแม้แต่น้อย อาเคเซซัสเองไม่มีท่าทีขุ่นเคืองใจด้วยรู้ดีถึงนิสัยของผู้เป็นครูว่าลงได้สนใจติดพันเรื่องอะไรแล้ว เป็นลืมทุกสิ่ง มามูกันแทบจะร้องไห้เมื่อต้องมานั่งแยกม้วนหนังสือ แม่ทัพใหญ่ตัดสินใจลากชายร่างเพรียวที่ยืนใกล้ๆอีกคนไปด้วย
“มาช่วยกันหน่อย ข้ารู้ว่าเจ้าจำได้ เพราะตอนเรียนเจ้าเก่งกว่าข้า เลคูซ”
เลคูซารัส หนึ่งในองค์รักษ์คู่พระทัยส่ายหน้าให้กับสหายสนิท แต่ก็ลงมือช่วย ระหว่างนั้นไมเคด์หยิบคว้าม้วนนั้นคลี่อ่านนิดแล้ววางตรงนี้ จับม้วนนี้เปิดอ่านแล้ววางตรงนั้น ดูวุ่นวายไปหมดแต่ไม่มีผู้ใดกล้าไปขัดจังหวะ
อาเคเซซัสถอยออกมาประทับนั่งมองเงียบๆ เขาอดหวนระลึกถึงครั้งแรกที่เขาเจอกับท่านครูไมเคด์ไม่ได้
“เรียนภาษาอื่น? เรียนไปทำไม? ฟาซีอาร์ยิ่งใหญ่เกินแผ่นดินใดในปฐพี ไม่มีความจำเป็นต้องไปรู้เรื่องของพวกต่ำต้อยพวกนั้น อยากรู้อะไรก็ให้คนแปลเสียก็สิ้นเรื่อง” เจ้าชายหนุ่มบ่นกับสหายร่วมเรียนอย่างไม่เห็นด้วย แต่เขาขัดไม่ได้ด้วยเป็นบัญชาของบิดา
“น่าจะเอาเวลาพวกนี้ไปประลองอาวุธ ซ้อมรบมากกว่าว่าไหมกระหม่อม” มามูกันที่แม้จะอายุมากกว่าเจ้าชายหนุ่มอยู่หลายปีและเคยร่วมสงครามมาแล้ว แต่ก็ถูกเรียกตัวให้มาเรียนด้วยอยู่ดี อาเคเซซัสเม้มปากแน่น ดวงเนตรแวววาว เหล่าสหายล้วนแต่ไม่มีผู้ใดกล้าเห็นเป็นอื่น ไม่ใช่เพราะว่าทรงเป็นเจ้าชายผู้ที่จะเป็นจ้าวเหนือชีวิตในวันข้างหน้า ทว่าเพราะรู้ดีถึงสติปัญญาที่เฉลียวฉลาดเกินหน้าผู้ใดจนอาจารย์ทุกคนต้องยอมรับในอัจฉริยภาพ
ยิ่งเห็นชายที่ไม่สมประกอบเดินโขยกเขยกเข้ามาอีกด้วย อคติของเจ้าชายหนุ่มต่อการเรียนภาษาอื่นยิ่งพุ่งขึ้นสูงเป็นเท่าทวี ดังนั้นเมื่อผู้เป็นครูแนะนำตัวและทูลถามถึงภาษาที่ทรงต้องการเรียนรู้จึงไม่ได้ยินเสียงตรัสตอบแม้แต่น้อย ทำให้เหล่าสหายร่วมเรียนรู้ว่าองค์ชายจะใช้วิธีการเพิกเฉยจนคนเป็นครูทนไม่ได้เอง
การณ์กลับเป็นตรงข้าม เพราะผู้เป็นครูกลับไม่สนใจ เขาเริ่มด้วยการสอนภาษาอื่นทันที แม้จะถามแล้วไม่มีคำตอบ เขาก็ตอบเอง นับได้ว่าเป็นการเรียนที่แปลกประหลาดยิ่งนักเพราะผู้เป็นครู ก็เขียนไป ปากเอ่ยสอนไป ถามเอง ตอบเอง ราวกับว่าไม่มีผู้ใดอยู่ในห้อง ทั้งๆที่ยังนั่งกันเต็ม
ราวกับเป็นการวัดความอดทนกันอย่างนั้น องค์ชายหนุ่มก็มาเข้าเรียนทุกครั้งและนั่งเงียบไม่เอ่ยปากอะไรสักครั้ง เป็นเช่นนี้อยู่ได้ครึ่งเดือน จนแม้กระทั่งตัวเจ้าชายหนุ่มเองยังแปลกใจไม่ได้ที่องค์จักรพรรดิผู้เป็นบิดาไม่ได้มีคำตำหนิใดๆให้รู้ว่าผู้เป็นครูไปกราบทูลฟ้องถึงการเสียมารยาทของเขา
วันหนึ่งไมเคด์เดินเข้ามาแล้วเริ่มสอนไปเรื่อยๆตามปกติ แต่อยู่ๆ เขาก็หยุดแล้วเล่านิทานที่ไม่เคยมีผู้ใดเคยได้ยินได้ฟังมาก่อนเป็นเรื่องการผจญภัยของเจ้าชายหนุ่มที่ถูกสาปจากปีศาจชั่วร้ายให้ไม่สามารถนั่งทานอาหารที่โต๊ะตัวเดิมซ้ำได้และนอนซ้ำบนเตียงเดิมได้เป็นเวลาหนึ่งปี เจ้าชายหนุ่มจึงต้องออกเดินทางผจญภัยไม่สามารถหยุดพัก ณ ที่หนึ่งที่ใด เรื่องราวนั้นช่างสนุกสนานน่าตื่นเต้นมาก แต่อยู่ๆ ไมเคด์ก็หยุดกลางคันในช่วงที่กำลังตื่นเต้นที่สุด แล้วหันกลับไปสอนต่อ
ทุกคนอดครางไม่ได้ เมื่อมีบางคนกล้าเอ่ยปากรบเร้าเขาให้เล่าต่อ ไมเคด์ตอบยิ้มๆว่า เรื่องนี้เป็นนิทานพื้นบ้านของเผ่าวาลิล ยังไม่มีผู้ใดแปลแต่มีบันทึกเล่าเรื่องนี้ในภาษาวาลล์ หากสนใจก็ไปหาอ่านกันได้ เรียกได้ว่าพวกเขาทุกคนไม่เว้นแม้แต่องค์ชายอยากรู้ตอนต่อไปแทบตาย แต่อาเคเซซัสยังทิฐิไม่ยอมพูดแต่เอาม้วนนิทานไปตามหาอาลักษณ์ที่รู้ภาษาวาลล์มาแปลให้ฟัง แต่ก็ไม่มีผู้ใดเลยที่ทำได้
วันต่อมา ไมเคด์ก็ทำแบบเดิมอีก เขาสอนไปแล้วหยุดกลางคัน จากนั้นเริ่มเล่านิทานเรื่องใหม่ คราวนี้เป็นเรื่องราวของนักรบหนุ่มที่ออกผจญภัยเพื่อค้นหาของวิเศษและต้องเผชิญหน้ากับอันตรายต่างๆ ขณะที่นักรบหนุ่มกำลังจะเข้าต่อสู้กับสัตว์ร้ายตัวใหญ่เท่าภูผา หายใจเป็นเปลวเพลิง เขาก็เลิกเล่าแล้วเริ่มสอนต่อ
แน่นอนเขามีนิทานเรื่องนั้นมาให้นักเรียนเหมือนเดิม โดยไม่ให้ใครต้องบอก อาเคเซซัสก็รู้ว่าจะไม่มีอาลักษณ์ผู้ใดแปลนิทานเรื่องนี้ได้ และที่สำคัญที่สุด เจ้าชายหนุ่มรู้ดีเลยว่าหากเขาไม่เป็นฝ่ายยอม พวกเขาทั้งหลายก็จะต้องเจอกับการเล่าเรื่องค้างคาแบบนี้ไปอีกหลายรอบแน่ เจ้าชายหนุ่มจึงเป็นฝ่ายเอ่ยปากขึ้นเอง
“ท่านครูเล่าต่อด้วยเถิด”
ท่ามกลางความประหลาดใจของทุกคนรวมถึงตัวอาเคเซซัสเพราะไมเคด์เพียงยิ้มแล้วปฏิเสธ ผู้เป็นครูกล่าวถาม “ฝ่าบาททราบหรือไม่ว่า ทำไมกระหม่อมถึงเล่านิทานสองเรื่องนี้ให้พระองค์ฟัง”
“ใช่ จะเรียกร้องความสนใจจากข้าหรือไม่”
“ทั้งใช่และไม่ใช่กระหม่อม เรียกร้องความสนใจน่ะถูกแล้ว แต่ที่กระหม่อมเรียกร้องความสนใจจากฝ่าบาทไม่ใช่ให้กับตัวกระหม่อม แต่ให้กับภูมิความรู้ที่สะสมถ่ายทอดกันมาของชนเผ่าเล็กๆเหล่านี้พระเจ้าค่ะ”
อาเคเซซัสนิ่งไป คนที่มีสติปัญญาเช่นเขาเข้าใจได้ว่าอีกฝ่ายกำลังเตือนอะไรเขา
“กระหม่อมรู้ดีว่า ฝ่าบาททรงปรีชาสามารถเพียงไร กระหม่อมรู้ซึ้งถึงความยิ่งใหญ่ของฟาซีอาร์ที่จักยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ แต่พระองค์ทรงทราบไหมว่า ความร่ำรวยของอาณาจักรวัดกันที่สิ่งไร?”
จากนั้นไมเคด์เอ่ยวาจาที่เขาจำขึ้นใจจนทุกวันนี้และทำให้เขายอมนับถืออีกฝ่ายอย่างเต็มหัวใจ
“ความร่ำรวยยิ่งใหญ่ของอาณาจักรนั้นมิได้อยู่ที่ทรัพย์สินเงินทองหรือข้าทาสบริวารสัตว์เลี้ยง แต่อยู่ในศิลปวิทยาความรู้ที่สั่งสมกันมา หากฝ่าบาทประสงค์จักสร้างฟาซีอาร์ให้ยิ่งใหญ่ ขอทรงอย่าละทิ้งความรู้อันเป็นสมบัติค่ามหาศาล เฉกเช่นเรื่องเล่าของคนเผ่าเล็กๆ ตำรายาของเหล่าชนเลี้ยงสัตว์ หรือวิธีการสร้างเครื่องใช้ไม้สอยของคนท้องถิ่น สิ่งดูเหมือนเล็กน้อยเหล่านี้คือสมบัติล้ำค่ายิ่ง”
Astera บทที่ 3 ครู
บทที่ 2 http://www.ppantip.com/topic/13112135
ลงท้ายข้าก็ไม่ได้ไปดูการประหาร น่าเสียดายจริงๆ คนไปดูกันทั้งเมือง ข้ายังไม่เคยเห็นคนตายชัดๆสักที จะว่าไปแล้วตอนเบตาตาย ข้าก็ไม่เห็นเพราะนางติดโรคระบาดเลยต้องออกไปอยู่ที่เขตรักษาที่นอกเมือง บางคนก็หายได้กลับมาแต่เบตาไม่ได้กลับมา ข้าเลยไม่รู้ว่าคนตายเป็นอย่างไร มีแต่คนบอกว่าคนตายแล้วไม่หายใจ แล้วคนที่โดนตัดหัวจะหายใจทางไหนล่ะ ข้าได้ยินคนซุบซิบกันว่าในวังหลังตอนนี้ไม่เหลือสนมแล้ว องค์จักรพรรดิคงจะให้มีการคัดเลือกสนมใหม่เป็นแน่ แต่ใครจะกล้ามานะ เขาเพิ่งสั่งประหารเมียตัวเองทีเดียวตั้งสามคน แต่ก็ไม่แน่หรอก เขาเป็นถึงจักรพรรดิย่อมต้องได้ทุกอย่างที่ต้องการ ต่อให้จะประหารเมียวันละคนก็ตาม เขาจะสั่งประหารใครอีกไหม ข้าจะหาทางไปดูให้ได้
ไมเคด์ค่อยๆเดินโขยกเขยกไปตามทางเดินที่มืดสลัว เขาหอบหายใจน้อยๆ ด้วยสังขารที่ไม่อำนวยต่อการเคลื่อนไหว ครึ่งร่างซีกซ้ายของเขาเคยถูกไฟเผาถึงแม้จะรอดมาได้ แต่อัคคีทิ้งร่องรอยไว้เป็นความพิการอัปลักษณ์ นับเป็นโชคของเขา เพราะพระเพลิงหาได้ปรานีคนอื่นๆในครอบครัวของเขาไม่ ห้าสิบสามชีวิตทั้งเฒ่าชราหนุ่มสาวเด็กน้อยล้วนสูญไปในกองเพลิง
หากเป็นยามปกติ จะต้องมีคนคอยช่วย แต่อาลักษณ์เฒ่ารู้ดีว่า การ‘เชิญ’ที่ยูนุคคนสนิทของฝ่าบาทบอกในยามค่ำคืนนี้เป็นเรื่องประเภทใด
ไมเคด์แม้จะเหนื่อยและเจ็บ แต่เมื่อนึกถึงองค์จักรพรรดิหนุ่มแล้ว อดยิ้มออกมาไม่ได้ ไม่ว่าใครจะคิดเห็นเช่นไรก็ตาม ไม่ว่าจะกระซิบกระซาบว่าเป็นจักรพรรดิเหี้ยมโหด เพราะนับแต่ขึ้นครองราชย์ด้วยวัยเยาว์ด้วยพระบิดาสวรรคตอย่างกะทันหัน ทำให้เหล่าผู้ครองเมืองขึ้นหลายเมืองพากันถือโอกาสกระด้างกระเดื่องต่อผู้ครองบัลลังก์หนุ่มที่เยาะหยันกันเองว่าเป็นเพียงเด็กหนุ่มที่หนวดยังไม่ขึ้น จักรพรรดิหนุ่มไม่รั้งรอจะสั่งสอนบทเรียน ใครที่กล้าเป็นปฏิปักษ์ล้วนแต่ล่มสลายลงทั้งสิ้นหาเหลือเชื้อสายสืบต่อ โลหิตแผ่ขยายไปทั่วทุกทิศ ทำให้ดินแดนใหญ่น้อยล้วนยอมศิโรราบอยู่ในพระอำนาจพระเมตตา
แต่สำหรับเขา ภาพของเขายามนึกถึงองค์เหนือหัวกลับเป็นภาพหนุ่มน้อยที่มีดวงตาเฉลียวฉลาดแต่เด็ดขาด ริมฝีปากมักจะยกเล็กน้อยเป็นรอยเยาะหยัน ใช่แล้วน้อยคนนักที่จะรู้ว่าครั้งหนึ่งเมื่อหลายๆปีก่อน เขาเคยได้ถวายการสอนเจ้าชายอาเคเซซัส
“ทางนี้ ท่านผู้เฒ่า” เสียงของฮาโบนานบอก ยามพาอาลักษณ์เฒ่าผ่านทวาร แสงเทียนส่องให้เห็นร่างสูงกำยำในเครื่องทรงลำลองที่เปลือยท่อนบนให้เห็นกล้ามเนื้อแผ่นหลังแข็งแรงที่ประทับยืนมองแผนที่ที่ตรึงไว้บนผนัง
“ฝ่าบาท ท่านไมเคด์”
อาเคเซซัสตวัดผ้าคลุมที่คล้องแขนไว้ขึ้นคลุมกายให้เรียบร้อยจึงหันมาเดินตรงไปจับมืออาลักษณ์เฒ่าที่กำลังจะถวายบังคมขึ้นมาแตะหน้าผากอย่างเคารพพร้อมเอ่ยด้วยเสียงนุ่มนวลกว่าปกติ “ท่านครู”
เขาประคองไมเคด์ให้นั่งลง “นั่งก่อนเถิด ท่านครู ลำบากท่านแล้ว”
“เป็นพระกรุณา” ไมเคด์ตอบ อาเคเซซัสตรัสถามต่อ
“ท่านครูเป็นเช่นไรบ้าง สบายดีหรือไม่”
“กระหม่อมสบายดี เป็นพระกรุณาที่ยังระลึกถึงเฒ่าชราผู้นี้” ไมเคด์ตอบ แต่เมื่อเหลือบไปเห็นหลายร่างที่ยืนเงียบๆในห้องนั้น ดวงตาเขาฉายรอยแวววับยามเอ่ยปาก “มีประสงค์ใดจะให้เฒ่าผู้นี้รับใช้หรือ โปรดบัญชา”
“ท่านครูรู้ใจข้าเสมอ” อาเคเซซัสสรวลเสียงเบาๆ เขาหันไปพยักหน้า มามูกันทั้งฮาโบนานช่วยกันยกหีบใบหนึ่งมาวางตรงหน้าไมเคด์
“มามูกันค้นเจอในบ้านของครอบครัวสนมสามนางนั้น ท่านครูโปรดดู”
ไมเคด์ก้มลงเปิดหีบ เมื่อเห็นม้วนหนังสือจึงคลี่ออกดู เขาหลุดปาก “เมเดียน”
“ใช่แล้วขอรับ” มามูกันตอบรับ “แล้วยังมีเชนนันด้วยขอรับ”
ไมเคด์หันไปมองแม่ทัพใหญ่ก่อนเอ่ยปากลอยๆ “รู้ด้วยหรือว่าเป็นเมเดียนกับเชนนัน”
“โธ่ ท่านครูขอรับ ถึงข้าจะลืมที่ท่านสอนไปเกือบหมดแล้วก็ตาม แต่ก็พอจะแยกออกว่าอักษรพวกนี้เป็นภาษาอะไรได้บ้างน่า” มามูกันประท้วง ไมเคด์หัวเราะน้อยๆ ในบรรดาลูกศิษย์ร่วมเรียนกับเจ้าชายอาเคเซซัส ดูเหมือนว่ามามูกันจะอ่อนด้อยกว่าทุกคนในเรื่องนี้ ซึ่งไม่น่าแปลกที่เขาหันไปเอาดีทางการต่อสู้จนได้เป็นถึงแม่ทัพเช่นทุกวันนี้
“ถ้าจำสิ่งที่ตาแก่คนนี้สอนกันได้บ้าง คงไม่ต้องลำบากถึงข้าล่ะสิ” ไมเคด์เหน็บ ทำเอาร่างที่เหลือในห้องนั้นพากันยิ้มแหยๆ ไมเคด์หันไปสนใจเนื้อหาข้อความในมือ อาเคเซซัสพูดต่อ
“ท่านครูโปรดช่วยข้าด้วย ข้าไม่ไว้ใจคนอื่น”
ไมเคด์ไม่ตอบ ยังมัวก้มหน้าก้มตาอ่านอยู่ อาเคเซซัสยิ้มนิดๆ เขายังจำได้ดีถึงชั้นเรียนของไมเคด์ และอาจเป็นเหตุผลที่ทำให้ไมเคด์เป็นเพียงคนเดียวที่เขายังเรียกว่าท่านครูแม้จะขึ้นครองราชย์แล้วก็ตาม เขารู้ดีว่าอีกฝ่ายมีความชำนาญเพียงไรในเรื่องภาษา และยิ่งกว่าเชื่อในความภักดีที่อีกฝ่ายมีให้
ไมเคด์เงยหน้าขึ้น สีหน้าเคร่งเครียดจริงจัง เริ่มออกปากสั่งทันที
“เอาหีบนี้ไปตั้งตรงนั้น ข้างโต๊ะๆนั่นแหละ แล้วเจ้า” เขาชี้ไปที่แม่ทัพใหญ่มามูกัน “แยกออกเป็นสองกอง กองหนึ่งเป็นเมเดียน อีกกองเป็นเชนนัน”
“จุดเทียนให้สว่างขึ้นหน่อยสิ” ไมเคด์สั่งพลางขยับตัวอย่างกระตือรือร้นไปยังโต๊ะตัวใหญ่โดยไม่คิดจะขออนุญาตเจ้าของห้องแม้แต่น้อย อาเคเซซัสเองไม่มีท่าทีขุ่นเคืองใจด้วยรู้ดีถึงนิสัยของผู้เป็นครูว่าลงได้สนใจติดพันเรื่องอะไรแล้ว เป็นลืมทุกสิ่ง มามูกันแทบจะร้องไห้เมื่อต้องมานั่งแยกม้วนหนังสือ แม่ทัพใหญ่ตัดสินใจลากชายร่างเพรียวที่ยืนใกล้ๆอีกคนไปด้วย
“มาช่วยกันหน่อย ข้ารู้ว่าเจ้าจำได้ เพราะตอนเรียนเจ้าเก่งกว่าข้า เลคูซ”
เลคูซารัส หนึ่งในองค์รักษ์คู่พระทัยส่ายหน้าให้กับสหายสนิท แต่ก็ลงมือช่วย ระหว่างนั้นไมเคด์หยิบคว้าม้วนนั้นคลี่อ่านนิดแล้ววางตรงนี้ จับม้วนนี้เปิดอ่านแล้ววางตรงนั้น ดูวุ่นวายไปหมดแต่ไม่มีผู้ใดกล้าไปขัดจังหวะ
อาเคเซซัสถอยออกมาประทับนั่งมองเงียบๆ เขาอดหวนระลึกถึงครั้งแรกที่เขาเจอกับท่านครูไมเคด์ไม่ได้
“เรียนภาษาอื่น? เรียนไปทำไม? ฟาซีอาร์ยิ่งใหญ่เกินแผ่นดินใดในปฐพี ไม่มีความจำเป็นต้องไปรู้เรื่องของพวกต่ำต้อยพวกนั้น อยากรู้อะไรก็ให้คนแปลเสียก็สิ้นเรื่อง” เจ้าชายหนุ่มบ่นกับสหายร่วมเรียนอย่างไม่เห็นด้วย แต่เขาขัดไม่ได้ด้วยเป็นบัญชาของบิดา
“น่าจะเอาเวลาพวกนี้ไปประลองอาวุธ ซ้อมรบมากกว่าว่าไหมกระหม่อม” มามูกันที่แม้จะอายุมากกว่าเจ้าชายหนุ่มอยู่หลายปีและเคยร่วมสงครามมาแล้ว แต่ก็ถูกเรียกตัวให้มาเรียนด้วยอยู่ดี อาเคเซซัสเม้มปากแน่น ดวงเนตรแวววาว เหล่าสหายล้วนแต่ไม่มีผู้ใดกล้าเห็นเป็นอื่น ไม่ใช่เพราะว่าทรงเป็นเจ้าชายผู้ที่จะเป็นจ้าวเหนือชีวิตในวันข้างหน้า ทว่าเพราะรู้ดีถึงสติปัญญาที่เฉลียวฉลาดเกินหน้าผู้ใดจนอาจารย์ทุกคนต้องยอมรับในอัจฉริยภาพ
ยิ่งเห็นชายที่ไม่สมประกอบเดินโขยกเขยกเข้ามาอีกด้วย อคติของเจ้าชายหนุ่มต่อการเรียนภาษาอื่นยิ่งพุ่งขึ้นสูงเป็นเท่าทวี ดังนั้นเมื่อผู้เป็นครูแนะนำตัวและทูลถามถึงภาษาที่ทรงต้องการเรียนรู้จึงไม่ได้ยินเสียงตรัสตอบแม้แต่น้อย ทำให้เหล่าสหายร่วมเรียนรู้ว่าองค์ชายจะใช้วิธีการเพิกเฉยจนคนเป็นครูทนไม่ได้เอง
การณ์กลับเป็นตรงข้าม เพราะผู้เป็นครูกลับไม่สนใจ เขาเริ่มด้วยการสอนภาษาอื่นทันที แม้จะถามแล้วไม่มีคำตอบ เขาก็ตอบเอง นับได้ว่าเป็นการเรียนที่แปลกประหลาดยิ่งนักเพราะผู้เป็นครู ก็เขียนไป ปากเอ่ยสอนไป ถามเอง ตอบเอง ราวกับว่าไม่มีผู้ใดอยู่ในห้อง ทั้งๆที่ยังนั่งกันเต็ม
ราวกับเป็นการวัดความอดทนกันอย่างนั้น องค์ชายหนุ่มก็มาเข้าเรียนทุกครั้งและนั่งเงียบไม่เอ่ยปากอะไรสักครั้ง เป็นเช่นนี้อยู่ได้ครึ่งเดือน จนแม้กระทั่งตัวเจ้าชายหนุ่มเองยังแปลกใจไม่ได้ที่องค์จักรพรรดิผู้เป็นบิดาไม่ได้มีคำตำหนิใดๆให้รู้ว่าผู้เป็นครูไปกราบทูลฟ้องถึงการเสียมารยาทของเขา
วันหนึ่งไมเคด์เดินเข้ามาแล้วเริ่มสอนไปเรื่อยๆตามปกติ แต่อยู่ๆ เขาก็หยุดแล้วเล่านิทานที่ไม่เคยมีผู้ใดเคยได้ยินได้ฟังมาก่อนเป็นเรื่องการผจญภัยของเจ้าชายหนุ่มที่ถูกสาปจากปีศาจชั่วร้ายให้ไม่สามารถนั่งทานอาหารที่โต๊ะตัวเดิมซ้ำได้และนอนซ้ำบนเตียงเดิมได้เป็นเวลาหนึ่งปี เจ้าชายหนุ่มจึงต้องออกเดินทางผจญภัยไม่สามารถหยุดพัก ณ ที่หนึ่งที่ใด เรื่องราวนั้นช่างสนุกสนานน่าตื่นเต้นมาก แต่อยู่ๆ ไมเคด์ก็หยุดกลางคันในช่วงที่กำลังตื่นเต้นที่สุด แล้วหันกลับไปสอนต่อ
ทุกคนอดครางไม่ได้ เมื่อมีบางคนกล้าเอ่ยปากรบเร้าเขาให้เล่าต่อ ไมเคด์ตอบยิ้มๆว่า เรื่องนี้เป็นนิทานพื้นบ้านของเผ่าวาลิล ยังไม่มีผู้ใดแปลแต่มีบันทึกเล่าเรื่องนี้ในภาษาวาลล์ หากสนใจก็ไปหาอ่านกันได้ เรียกได้ว่าพวกเขาทุกคนไม่เว้นแม้แต่องค์ชายอยากรู้ตอนต่อไปแทบตาย แต่อาเคเซซัสยังทิฐิไม่ยอมพูดแต่เอาม้วนนิทานไปตามหาอาลักษณ์ที่รู้ภาษาวาลล์มาแปลให้ฟัง แต่ก็ไม่มีผู้ใดเลยที่ทำได้
วันต่อมา ไมเคด์ก็ทำแบบเดิมอีก เขาสอนไปแล้วหยุดกลางคัน จากนั้นเริ่มเล่านิทานเรื่องใหม่ คราวนี้เป็นเรื่องราวของนักรบหนุ่มที่ออกผจญภัยเพื่อค้นหาของวิเศษและต้องเผชิญหน้ากับอันตรายต่างๆ ขณะที่นักรบหนุ่มกำลังจะเข้าต่อสู้กับสัตว์ร้ายตัวใหญ่เท่าภูผา หายใจเป็นเปลวเพลิง เขาก็เลิกเล่าแล้วเริ่มสอนต่อ
แน่นอนเขามีนิทานเรื่องนั้นมาให้นักเรียนเหมือนเดิม โดยไม่ให้ใครต้องบอก อาเคเซซัสก็รู้ว่าจะไม่มีอาลักษณ์ผู้ใดแปลนิทานเรื่องนี้ได้ และที่สำคัญที่สุด เจ้าชายหนุ่มรู้ดีเลยว่าหากเขาไม่เป็นฝ่ายยอม พวกเขาทั้งหลายก็จะต้องเจอกับการเล่าเรื่องค้างคาแบบนี้ไปอีกหลายรอบแน่ เจ้าชายหนุ่มจึงเป็นฝ่ายเอ่ยปากขึ้นเอง
“ท่านครูเล่าต่อด้วยเถิด”
ท่ามกลางความประหลาดใจของทุกคนรวมถึงตัวอาเคเซซัสเพราะไมเคด์เพียงยิ้มแล้วปฏิเสธ ผู้เป็นครูกล่าวถาม “ฝ่าบาททราบหรือไม่ว่า ทำไมกระหม่อมถึงเล่านิทานสองเรื่องนี้ให้พระองค์ฟัง”
“ใช่ จะเรียกร้องความสนใจจากข้าหรือไม่”
“ทั้งใช่และไม่ใช่กระหม่อม เรียกร้องความสนใจน่ะถูกแล้ว แต่ที่กระหม่อมเรียกร้องความสนใจจากฝ่าบาทไม่ใช่ให้กับตัวกระหม่อม แต่ให้กับภูมิความรู้ที่สะสมถ่ายทอดกันมาของชนเผ่าเล็กๆเหล่านี้พระเจ้าค่ะ”
อาเคเซซัสนิ่งไป คนที่มีสติปัญญาเช่นเขาเข้าใจได้ว่าอีกฝ่ายกำลังเตือนอะไรเขา
“กระหม่อมรู้ดีว่า ฝ่าบาททรงปรีชาสามารถเพียงไร กระหม่อมรู้ซึ้งถึงความยิ่งใหญ่ของฟาซีอาร์ที่จักยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ แต่พระองค์ทรงทราบไหมว่า ความร่ำรวยของอาณาจักรวัดกันที่สิ่งไร?”
จากนั้นไมเคด์เอ่ยวาจาที่เขาจำขึ้นใจจนทุกวันนี้และทำให้เขายอมนับถืออีกฝ่ายอย่างเต็มหัวใจ
“ความร่ำรวยยิ่งใหญ่ของอาณาจักรนั้นมิได้อยู่ที่ทรัพย์สินเงินทองหรือข้าทาสบริวารสัตว์เลี้ยง แต่อยู่ในศิลปวิทยาความรู้ที่สั่งสมกันมา หากฝ่าบาทประสงค์จักสร้างฟาซีอาร์ให้ยิ่งใหญ่ ขอทรงอย่าละทิ้งความรู้อันเป็นสมบัติค่ามหาศาล เฉกเช่นเรื่องเล่าของคนเผ่าเล็กๆ ตำรายาของเหล่าชนเลี้ยงสัตว์ หรือวิธีการสร้างเครื่องใช้ไม้สอยของคนท้องถิ่น สิ่งดูเหมือนเล็กน้อยเหล่านี้คือสมบัติล้ำค่ายิ่ง”