ฮ่องเต้ผู้โฉดเขลา

ฮ่องเต้ผู้โฉดเขลา

"เล่าเซี่ยงชุน"

เมื่อวรรณคดีไทย ซึ่งแปลมาจากภาษาจีน เรื่องสามก๊ก ที่คณะของท่าน เจ้าพระยาพระคลัง (หน) ได้เริ่มต้นด้วยประโยคที่ว่า

"......เดิมแผ่นดินเมืองจีนทั้งปวงนั้น เป็นสุขมาช้านาน แล้วก็เป็นศึก ครั้นศึกสงบแล้วก็เป็นสุข....." นั้น

เป็นช่วงเวลาประมาณ พ.ศ.๗๑๑ สิ้นรัชสมัยของ พระเจ้าฮั่นเต้ และ พระเจ้าเลนเต้ ก็ได้รับราชสมบัติสืบต่อราชวงศ์ฮั่น ซึ่งเป็นต้นตอที่ก่อให้เกิดเหตุการณ์อันยืดยาว ของวรรณคดีที่มีชื่อระบือลือลั่นเรื่องนี้

พระเจ้าฮั่นเต้นั้นไม่มีพระราชบุตร แต่ได้ขอเลนเต้มาเลี้ยงไว้จนเจริญเติบโต ไม่ทราบว่าเป็นบุตรของใคร รู้แต่ว่ามารดาชื่อ นางตังไทฮอ จึงได้สืบราชสมบัติ ต่อมาจากพระเจ้าฮั่นเต้ โดยไม่มีใครคัดค้าน แต่เมื่อได้เป็นฮ่องเต้แล้ว ก็มิได้ตั้งอยู่ในโบราณราชประเพณี มิได้คบหาชุบเลี้ยงพวกตงฉิน กลับเชื่อถือแต่พวกกังฉินทำให้ราชการ บ้านเมืองผันแปรไปตามอำเภอใจของผู้มีอำนาจ ในกลุ่มของพวกขันทีก็มี เทาเจียด เป็นหัวหน้าใหญ่พระเจ้าเลนเต้รักใคร่ไว้ใจ ก็กระทำการต่าง ๆ ให้ขุนนางและอาณาประชาราษฎร ได้รับความเดือดร้อนเป็นอันมาก

ขุนนางผู้ใหญ่สองคนคือ เตาบู กับ ตันผวน จึงคิดอ่านกำจัดเสีย แต่เทาเจียดรู้ตัวเสียก่อน จึงให้พรรคพวกที่เป็นขุนนางจับตัวไปฆ่าเสียทั้งสองนาย เทาเจียดก็ยิ่งเป็นใหญ่เป็นโตมากขึ้นไปอีก

พระเจ้าเลนต้โชคดีที่ได้ครองราชย์มาถึงสิบเอ็ดปี ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ตั้งใจประพฤติปฎิบัติอยู่ในธรรมเช่นนั้น จนถึงเดือนสี่ขึ้นสิบห้าค่ำ พ.ศ.๗๒๒ จึงเกิดเหตุอาเพทขึ้น ถึงเวลาเที่ยงมีลมพายุพัดหนัก งูเขียวตัวใหญ่ตกลงมาพันที่ขาเก้าอี้ซึ่งประทับอยู่ จนพระเจ้าเลนเต้ตกพระทัยล้มลงจากเก้าอี้สิ้นสติไป บรรดาขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อย ตกใจกลัวงูก็วิ่งประเจิดกระเจิงไปคนละทาง แทนที่จะช่วยเจ้านาย ต่อมาก็เกิดฟ้าร้องฝนตกใหญ่ และมีลูกเห็บตกถูกบ้านเรือนราษฎรเสียหาย จนถึงเที่ยงคืนฝนจึงหยุด

แต่บ้านเมืองก็ยังอยู่มาได้อย่างไม่ปกติสุขเช่นนั้นมาอีกตั้งสี่ปี ถึงเดือนยี่ พ.ศ.๗๒๖ เกิดแผ่นดินไหว น้ำท่วมใหญ่ในเมืองลกเอี๋ยงซึ่งเป็นราชธานี บ้านเรือนของราษฎรที่อยู่ใกล้แม่น้ำ ก็ถูกกระแสน้ำพัดพาไปเป็นอันมาก แล้วพอถึงเดือนหกขึ้นหนึ่งค่ำ ก็เกิดมีควันเพลิงพลุ่งขึ้นสูงถึงยี่สิบวา ใกล้ ๆ กับพระที่นั่งอุนต๊กเตี้ยนที่ประทับ

ย่างเข้าเดือนเจ็ดก็เกิดรัศมีรุ้งตกลงมาในพระราชวัง และเขารันซัวที่สูงใหญ่ก็แตกแยกทำลายลง พระเจ้าเลนเต้เห็นอาการผิดประหลาด เกิดขึ้นติด ๆ กันหลายครั้งจึงถามขุนนางทั้งปวงว่า จะเป็นนิมิตรดีร้ายอย่างไร ก็ไม่มีใครกล้ากราบทูลนอกจากขุนนางผู้ใหญ่ที่ชื่อ ยีหลง เขียนเป็นหนังสือลับกราบทูลว่าเป็นเพราะพวกขันทีประพฤติผิดประเพณี พระเจ้าเลนเต้อ่านแล้วก็นิ่งเฉยอยู่ ไม่รับสั่งให้จัดการอย่างไร เทาเจียดรู้เรื่องก็เลยหาความผิดใส่โทษยีหลง จนต้องถูกถอดออกจากราชการไป

คราวนี้ขันทีผู้ใหญ่ก็จับกลุ่มกันถึงสิบคนรวมทั้งเทาเจียดด้วย เรียกชื่อว่า สิบเสียงสี ในกลุ่มนี้มีขันทีผู้ใหญ่อายุมากชื่อ เตียวเหยียง พระเจ้าเลนเต้โปรดปรานมาก ยกให้เป็นบิดาเลี้ยง คอยให้คำปรึกษาหารือ ให้ราชการทั้งหลายแปรปรวนไปตามใจชอบ ที่ถูกว่าผิดที่ผิดว่าถูก แล้วแต่ใครจะให้สินบน จึงเกิดโจรผู้ร้ายขึ้นทั่วไปเป็นอันมาก

โจรก๊กใหญ่ที่สุด คือโจรโพกผ้าเหลือง ซึ่งมี เตียวก๊ก เป็นหัวหน้ากลุ่ม กับน้องชายสองคนคือ เตียวโป้ กับ เตียวเหลียง คุมสมัครพรรคพวกมากถึงสี่สิบหมื่น ยึดครองเมืองได้ถึงแปดเมือง

โฮจิ๋น ขุนนางผู้ใหญ่ฝ่ายทหารของพระเจ้าเลนเต้ จึงกราบทูลให้มีตรารับสั่งไปแจ้งแก่หัวเมืองทั้งหลาย รับอาสาผู้มีฝีมือกล้าหาญ ให้ช่วยกันปราบปรามโจรก๊กนี้ โดยให้ทหารเอกสี่คน คือ จงลงเจียง โลจิ๋น ฮองฮูสง จูฮี คุมทหารจากเมืองหลวงออกไปบัญชาการ

ในคราวนั้นมีผู้คนชาวเมืองต่าง ๆ มาสมัครเป็นทหารร่วมปราบโจรกันเป็นอันมาก ดังเช่น เล่าปี่ เตียวหุย ชาวเมืองตุ้นก้วน กวนอู ชาวเมืองฮอตั๋งไกเหลียง ซุนเกี๋ยน นายทหารเมืองเจียนต๋อง และ โจโฉ นายทหารชั้นผู้น้อย จากเมืองลกเอี๋ยง เป็นต้น ช่วยกันกวาดล้างโจรโพกผ้าเหลืองอยู่หลายปี จึงสงบราบคาบไป แต่ผู้ที่มาอาสาสมัครเหล่านี้ ก็ไม่ได้รับความดีความชอบตามสมควร เพราะเตียวเหยียงเป็นคนให้ลิ่วล้อ คอยรับสินบน ถ้าผู้ใดเอาทรัพย์สินข้าวของเงินทองมาให้ ก็ช่วยกราบทูลเสนอความชอบให้ ผู้ใดไม่มีสินบนก็ไม่เสนอชื่อ หรือถ้าทำขัดขืนอวดดี ก็จะกราบทูลยุยง ให้ถอดออกจากตำแหน่งเสียอีกด้วย

อยู่มาวันหนึ่งพระเจ้าเลนเต้เสด็จไปประพาสสวนดอกไม้ และเสพสุราอยู่กับพวกขันทีทั้งสิบคน เล่าโต๋ พระพี่เลี้ยงของพระเจ้าเลนเต้ก็เข้าไปเฝ้า กราบทูลว่า
บัดนี้พวกโจรโพกผ้าเหลือง ได้กำเริบขึ้นอีกแล้วที่เมืองยีหยง พระองค์ยังมาเสวยสุราอยู่อีก บ้านเมืองจะเป็นอันตรายอยู่แล้ว พระเจ้าเลนเต้ก็รับสั่งว่า ได้ใช้ให้ทหารไปปราบปรามจนสงบแล้ว เป็นไฉนมาว่าดังนี้อีก

เล่าโต๋ก็กราบทูลว่าเหตุที่หัวเมืองจลาจลครั้งนี้ ก็เพราะขันทีว่าราชการตัดสินคดีราษฎร มิได้เป็นยุติธรรม เมื่อทราบแล้วไม่กราบทูล ก็จะเหมือนหนึ่งหามีความกตัญญูต่อพระองค์ไม่ ขันทีเหล่านั้นตกใจรีบสำออยว่า

"....ขุนนางทั้งปวงกับเล่าโต๋ มีใจริษยาข้าพเจ้า ซึ่งข้าพเจ้าจะทำราชการสืบไปนั้น เห็นจะไม่รอดชีวิต ข้าพเจ้าทั้งสิบคนนี้จะขอออกจากที่เอาแต่ชีวิตรอดไว้ และทรัพย์สินสิ่งของของข้าพเจ้าทั้งปวงนั้น ขอถวายพระองค์ให้พระราชทาน ทแกล้วทหารซึ่งทำราชการ แต่ตัวข้าพเจ้าทั้งนี้ จะขอกราบถวายบังคมลาไปทำไร่ไถนาเลี้ยงชีวิต....."

พระเจ้าเลนเต้ ได้ฟังขันทีอ้อนดังนั้น ก็โกรธเล่าโต๋มาก มีรับสั่งว่า

"....ตัวเป็นพี่เลี้ยง ที่บ้านเรือนของตัวนั้น ก็ย่อมมีคนสนิทใช้สอยอยู่ และตัวเราเป็น เจ้าอยู่ในราชสมบัติ มีคนซึ่งสนิทใช้สอยบ้าง ตัวมาริษยาว่ากล่าวให้เราขัดเคืองดังนี้ ซึ่งว่ามีกตัญญูนั้นเราเห็นไม่จริง.... .. ."

แล้วก็สั่งให้เอาตัวเล่าโต๋ไปฆ่าเสีย

เล่าโต๋ก็ไม่เสียดายชีวิต ร้องขึ้นว่า

".....คิดเสียดายแต่ราชสมบัติของพระเจ้าฮั่นโกโจ ซึ่งสั่งสมมาแต่ก่อน ได้ถึงสี่ร้อยปีเศษมาแล้ว บ้านเมืองหาเป็นจลาจลมิได้ ครั้งนี้จะเป็นอันตรายเสียมั่นคง....."

พอเพชรฆาตลากตัวเล่าโต๋ออกมาถึงลานประหารเงื้อดาบขึ้นจะฟัน ตันต๋ำ ขุนนางผู้ใหญ่ก็ร้องห้ามไว้ว่าอย่าเพิ่งฆ่าจะไปกราบทูลพระเจ้าเลนเต้ให้รู้ผิดชอบก่อน แล้วก็เข้าไปในสวน กราบทูลว่า

"....เล่าโต๋เป็นพระพี่เลี้ยง ได้ทำนุบำรุงสั่งสอนพระองค์มาแต่ก่อน แต่เล่าโต๋กระทำผิดสิ่งใด พระองค์จึงสั่งให้ประหารชีวิต....."

พระเจ้าเลนเต้ก็ว่า เล่าโต๋เป็นผู้ใหญ่ไม่มีความคิด มายุยงใส่ร้าย
ขันทีสิบคนซึ่งเป็นขุนนางผู้ใหญ่ ตันต๋ำจึงตอบว่าขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยทั้งอาณาประชาราษฎร ทั้งในเมืองและหัวเมือง ต่างได้ความเดือดร้อนเพราะขันทีพวกนี้เป็นอันมาก มีใจชิงชังจะใคร่กินเนื้อขันทีทั้งสิบคนนี้เสีย แต่พระองค์กลับมีพระทัยรักขันทีเหล่านั้นประดุจว่าเป็นราชวงศ์ชั้นผู้ใหญ่ และแต่งตั้งให้เป็นขุนนาง ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้มีความชอบสิ่งใดเลย

แล้วก็กล่าวโทษขันทีชื่อ ฮองกี ว่าเป็นใส้ศึกให้พวกโจรโพกผ้าเหลือง เมื่อมีผู้มากราบทูล ก็มิได้ชำระให้เห็นจริงแกล้งนิ่งเสีย พระเจ้าเลนเต้ก็หาว่าไม่จริง ไม่ยอมเชื่อ ตันต๋ำเห็นว่าพูดไปก็เปล่าประโยชน์ จึงเอาศรีษะชนแท่นที่ประทับ จนศรีษะแตกโลหิตไหลนอง

พระเจ้าเลนเต้ก็โกรธ จึงสั่งให้ตำรวจวังเอาตัวตันต๋ำกับเล่าโต๋ไปขัง
คุกไว้ พอตกกลางคืนขันทีกังฉินก็คบคิดกันให้ผู้คุมฆ่าเสียทั้งสองคน จะได้หมดเวรกันเสียที

พออยู่มาถึงเดือนหก พ.ศ.๗๓๓ พระเจ้าเลนเต้ก็ทรงประชวรหนัก ยังไม่ทันได้ตั้งรัชทายาทก็สิ้นพระชนม์ลง พวกขันทีทั้งสิบคนจะยก หองจูเหียบ พระราชบุตรองค์ที่สองขึ้นเป็นฮ่องเต้ แต่ไม่ทันการณ์โฮจิ๋นขุนนางผู้ใหญ่ก็ยก หองจูเปียน พระราชบุตรเอก ขึ้นเสวยราชย์เสียก่อนเป็น พระเจ้าเซ่าเต้ มี นางโฮเฮา มารดาเป็นผู้สำเร็จราชการ เพราะอายุเพียงสิบสี่ปีเท่านั้น

##########
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่