เลียดก๊ก สงครามชิงแผ่นดิน
เลียดก๊กเป็นวรรณกรรมไทยที่แปลจากพงศาวดารจีน(แบ่งบทขึ้น ๑๐๘ บท ตามความต้นฉบับภาษาจีน) เป็นเหตุการณ์แย่งชิงแผ่นดิน ในประวัติศาสตร์จีนช่วงปลายราชวงศ์โจวตะวันตก รัชกาลพระเจ้าซวนอ๋อง(พระเจ้าโจวเซวียนหวาง) ปี ๘๒๗-๗๘๒ ก่อนคริสศักราช ถึง รัชกาลพระเจ้าจิวเสียงอ๋อง(พระเจ้าโจวหน่านหวาง) ปี ๓๑๔-๒๕๖ ก่อนคริสศักราช ต่อเนื่องการรวมแผ่นดินของเจิ่งอ๋อง เจ้าเมืองจิ๋น (จิ๋นซีฮ่องเต้) ปี ๒๒๑-๒๑๐
ก่อนคริสศักราช
การแปลพงศาวดารเลียดก๊กในสมัยพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒ได้ให้บุคคลสำคัญ ๑๑ ท่าน
รวมกันแปลเป็นไทยในสำเนียงฮกเกี้ยนต่างจากภาษาจีนกลาง ได้แก้
๑.กรมหมื่นนเรศโยธี
๒.เจ้าพระยายมราช
๓.เจ้าพระยาวงษาสุริยศักดิ์
๔.พระยาโชดึก
๕.ขุนท่องสื่อ
๖.จหมื่นไวยวรนาถ
๗.เล่ห์อาวุธ
๘.จ่าเรศ
๙.หลวงลิขิตปรีชา
๑๐.หลวงญานปรีชา
๑๑.ขุนมหาสิทธิโวหาร
บทที่ ๑
ศุภ มัศดุ จุลศักราชพันร้อยแปดสิบ ปีเถาะ เอกศกอาสาทมาศ ศุกกปักขอัฐมีดิถีคุรุวาระ พระบาทสมเด็จบรมบพิตรพระเจ้าอยู่หัว เสด็จออกพระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน มีพระราชโองการ ดำรัสสั่งข้าทูลละออง
แปลเลียดก๊กพงศาวดารกรุงจีนนี้เป็นคำไทยไว้สำหรับแผ่นดิน
ข้าพระพุทธเจ้า กรมหมื่นนเรศโยธีหนึ่ง เจ้าพระยายมราชหนึ่ง เจ้าพระยาวงษาสุรียศักดิ์หนึ่ง
พระยาโชดึกหนึ่ง ขุนท่องสื่อหนึ่ง จหมื่นไวยวรนาถหนึ่ง เล่ห์อาวุธหนึ่ง จ่าเรศหนึ่ง
หลวงลิขิตปรีชาหนึ่ง หลวงญาณปรีชาหนึ่ง ขุนมหาสิทธิโวหารหนึ่ง
ห้องสินแลในเลียดก๊กนั้น ว่าด้วยองค์พระเจ้าบู๊อ๋องครองเมืองทั้งปวงคิดทำศึกกัน
ข้าพเจ้าหลวงลิขิตปรีชา เจ้ากรมอาลักษณ์ ชำระขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายในเลียดก๊กหนังสือจีนแปลเป็นคำไทย
ได้ความว่า
แผ่นดินเมืองจีนนั้น เมืองโกเก๋งเป็นเมืองหลวง พระเจ้าซวนอ๋อง(พระเจ้าโจวเซวียนหวาง ปี ๘๒๗-๗๘๒
ก่อนคริสศักราช) เชื้อวงศ์พระเจ้าบู๊อ๋อง(พระเจ้าโจวอู่หวาง ต้นราชวงศ์โจว ปี ๑๐๔๖-๑๐๔๓ ก่อนคริสศักราช)
ได้เสวยราชสมบัติบำรุงอาฯประชาราษฎร์อยู่เย็นเป็นสุข หัวเมืองทั้งปวงมาขึ้นแก่เมืองโกเก๋ง
เหมือนพระเจ้าบู๊อ๋องครั้งแผ่นดินห้องสิน
แต่ซาเลเทเจ้าเมืองเกียงหยงหัวเมืองตะวันตกนั้นตั้งแข็งเมืองอยู่ พระเจ้าซวนอ๋องจึงจัดแจงทหารเอก ทหารเลวเป็นกระบวนทัพหลวง ยกไปตีเมืองเกียงหยง
พระเจ้าซวนอ๋องเสียทีแก่ข้าศึก เสียทแกล้วทหารแลเครื่องสาตราวุธเป็นอันมาก จึงล่าทัพมาตั้งค่ายรวบรวมทแกล้วทหารอยู่ ณ เมืองไซง่วน ให้สำรวจข้าวขึ้นฉาง และจัดเครื่องสาตราวุธ แหลนหลาวลูเกาทัณฑ์ใส่คลังไว้สำหรับจะได้จ่ายทหารเป็นอันมาก ตั้งเจ้าเมืองไซง่วนเป็นแม่ทัพ คุมทหารลาดตระเวนป้องกันกองทัพเมืองเกียงหยง
อยู่ ณ ปลายแดนเมืองโกเก๋ง ครั้นแล้วพระเจ้าซวนอ๋องก็เสด็จกลับมา จะใกล้ถึงประตูเมืองหลวง พอเพลาค่ำพระเจ้าซวนอ๋องได้ยินเสียงเด็กชาวบ้านตบมือร้องเพลงว่า “หยิดเจียงบุตรฮอยเจียงเสงเอียบห่อกีหกกีบวงจิวก๊ก”
แปลว่า “พระอาทิตย์จะตกต่ำ พระจันทร์จะขึ้น ตัดไม้ซองบกทำเกาทัณฑ์ เกี่ยวหญ้ามาสานเป็นซองใส่เกาทัณฑ์
เมืองจิวก๊กจะเสื่อมสูญ”
พระเจ้าซวนอ๋องได้ทรงฟังดังนั้นก็ให้หยุดรถแล้วสั่งทหารให้ไปพาพวกเด็ก ซึ่งร้องเพลงนั้นมาหน้าที่นั่ง
จึงตรัสถามว่า “ผู้ใดสอนให้พวกเองร้องเพลงนี้”
พวกเด็กจึงกราบทูลว่า “เมื่อวันก่อนมีเด็กคนหนึ่งนุ่งแดงมาร้องเพลงอันนี้เล่น ข้าพเจ้าชอบใจจึงจำเพลงไว้ร้องเล่นต่อมา แต่เด็กคนนั้นหารู้แห่งว่าบ้านอยู่แห่งใดไม่”
พระเจ้าซวนอ๋องจึงตรัสว่า “เพลงนี้เป็นคำหยาบช้าแช่งบ้านเมืองไม่ควรจะร้องเล่น แต่นี้ไปถ้าพวกเองร้องเพลงนั้นเล่นอีกจะได้ลงโทษแก่บิดามารดา”
พระเจ้าซวนอ๋องก็ให้ปล่อยเด็กนั้นเสีย แล้วเสด็จเข้าพระราชวังไม่สบายพระทัย ครั้นเพลาเช้าเสด็จออก
จึงตรัสเล่าความเด็กทำเพลงนั้นให้ขุนนางทั้งปวงฟัง
เตียวเฮาเป็นที่ไทจงเปก พนักงานดูเหตุดีร้ายในแผ่นดินจึงทูลว่า “ข้าพเจ้าพิเคราะห์ดูเห็นว่าเด็กน้อยซึ่งนุ่งแดงห่มแดงนั้น จะเป็นเทวดาแปลงลงมาร้องเพลงให้เด็กชาวเมืองจำได้ หวังจะให้รู้เหตุดีแลร้าย ซึ่งว่าพระอาทิตย์ตกต่ำ พระจันทร์จะขึ่นนั้น เชื้อพระวงศ์ของพระองค์ซึ่งจะสืบกษัตริย์ไปภายหน้านั้น จะเสื่อมสูญเสียเกียรติยศ ลงทุกครั้งดังดวงอาทิตย์เมื่อบ่ายเย็น แซ่อื่นจะได้เป็นกษัตริย์สืบพระวงศ์ เปรียบเหมือนพระจันทร์ข้างขึ้น ข้าซึ่งเอาไม้ซองบกทำเกาทัณฑ์ เป็นเหตุความห้ามการศึก พระเคราะห์เมืองร้ายนัก อาวุธเกาทัณฑ์จะเป็นปัจจามิตรแก่พระองค์ ขออย่าเพิ่งยกทัพหลวงไปจากพระนครเลย จงมีพระทัยโอบอ้อมอารีแก่ขุนนาง อาณาประชาราษฎร์และตั้งอยู่ในยุติธรรมแล้ว เหตุลางทั้งนี้ก็จะค่อยทุเลาลง”
พระเจ้าซวนอ๋องได้ทรงฟังดังนั้นตกพระทัย จึงสั่งให้ขุนนางเมืองไซง่วนเอาลูกเกาทัณฑ์ซึ่งไว้สำหรับศึกนั้นเผาเสีย แล้วสั่งโจหยีใก้มีกำหนดกฏหมายห้ามมิให้อาณาประชาราษฎร์ทำเกาทัณฑ์ขาย สั่งแล้วเสด็จเข้าสู่ที่ข้างใน
นางเกียงฮองฮอมเหสีมาเฝ้าทูลว่า “หญิงคนโทษเก่าต้องเวนจำอยู่ที่ตึกจำสงัด หาผัวมิได้มีครรภ์แต่อายุ
สิบสองปี มาจนอายุห้าสิบสองปี แต่อยู่ในครรภ์สี่สิบปี เวลาคืนนี้คลอดบุตรเป็นหญิง ข้าพเจ้าเห็นจะเป็นอุบาทว์
จึงให้เอาบุตรหญิงนั้นใส่กระสอบไปทิ้งเสีย”
พระเจ้าซวนอ๋องได้ฟังดังนั้นอัศจรรย์ใจนัก จึงให้ขันทีไปถามหญิงคนโทษว่า “เมื่อจะมีครรภ์บุตรคนนี้มีเหตุประการใดบ้าง”
หญิงคนโทษจึงเล่าความว่า “ครั้งแผ่นดินพระเจ้าเลอ๋อง ข้าพเจ้าเป็นข้าอยู่ในวังอายุได้สิบสองปี อยู่มาวันหนึ่งมีผู้หญิงรัศมีสว่างขึ้นในคลัง เจ้าพนักงานไขหีบดู เห็นตะพาบน้ำอยู่บนถาดทอง จึงยกถาดตะพาบน้ำมาถวายพระเจ้าเลอ๋อง ข้าพเจ้าก็ได้แอบดูอยู่ที่ริมประตูเสด็จออก”
พระเจ้าเลอ๋องตรัสถามขุนนางทั้งปวงว่า “แต่ก่อนถาดทองนี้ใส่ใดไว้ จึงบังเกิดเป็นตะพาบน้ำฉะนี้”
ขุนนางผู้เฒ่าคนหนึ่งกราบทูลว่า “ข้าพเจ้าได้ยินคำผู้ใหญ่เล่าสืบมาว่า ถาดทองใบนี้ใส่น้ำลายมังกรแต่ครั้งแผ่นดินพระเจ้าเคียดอ๋อง เมื่อจะได้น้ำลายมังกรนั้น วันหนึ่งพระเจ้าเคียดอ๋องเสด็จออกขุนนาง มีมังกรคู่หนึ่งมาพันกันตรงหน้าพระที่นั่ง พระเจ้าเคียดอ๋องตกพระทัยคิดว่าจะเป็นเหตุแก่ไพร่บ้านพลเมือง จึงให้ขุนนางพนักงานตั้งพลีกรรมบวงสรวงเสี่ยงทาย มังกรนั้นพูดได้ว่าเป็นปีศาจเสื้อเมือง จะมาให้บ้านเมืองอยู่เย็นเป็นสุข มังกรนั้นก็คายน้ำลายออก พระเจ้าเคียดอ๋องจึงให้เอาถาดทองรองน้ำลายมังกรไปใส่หีบลั่นกุญแจเก็บไว้ในคลัง มังกรนั้นก็หายไป ตั้งแต่แผ่นดินพระเจ้าเคียดอ๋องได้น้ำลายมังกร สืบกษัตริย์มาถึงยี่สิบแปดชั่วกษัตริย์ นับเป็นปีได้หกร้อยสี่สิบปี ถึงแผ่นดินพระเจ้าบู๋อ๋องสืบกษัตริย์มาอีกสามร้อยปี ถึงแผ่นดินพระเจ้าเลอ๋อง ขณะเมื่อพระเจ้าเลอ๋องทอดพระเนตรน้ำลายมังกรซึ่งกลายเป็นตะพาบน้ำนั้น ตะพาบน้ำนั้นก็โดดลงจากถาด คลานมาถึงประตูที่ข้าพเจ้าแอบอยู่แล้วตะพาบน้ำหายไป”
“ข้าพเจ้าตกใจตัวสั่น แต่เวลานั้นมาให้บังเอิญอาเจียนเหมือนดังจะมีครรภ์ท้องข้าพเจ้าก็เติบขึ้นกว่าปรกติ คิดว่าจะเป็นโรค หาหมอรักษากินยาหลายขนานครรภ์ข้าพเจ้าก็ยิ่งโตขึ้นทุกวัน”
“พระเจ้าเลอ๋องเห็นก็ทรงโกรธข้าพเจ้าคบชาย มิได้ไต่ถาม ให้เอาตัวข้าพเจ้าคุมไว้ที่ตึกจำสงัด แต่อายุสิบสองปีมาจนอายุข้าพเจ้าทุกวันนี้ได้ห้าสิบสองปี จึงคลอดบุตรด้วยเพลาคืนนี้ พระมเหสีทราบความเห็นว่าบุตรข้าพเจ้า
เป็นอุบาทว์บ้านเมืองจึงให้เอาไปทิ้งเสีย” ขันทีผู้รับสั่งก็จดหมายเอาถ้อยคำหญิงคนโทษขึ้นมากราบทูล
พระเจ้าซวนอ๋องแจ้งดังนั้นจึงตรัสว่า “เหตุทั้งนี้ด้วยเทวดาอาเพศจะให้เป็นวิปริตในการแผ่นดิน ครั้นจะให้มีโทษแก่หญิงนั้นเล่าก็ไม่ควร”
พระเจ้าซวนอ๋องจึงโปรดให้หญิงนั้นพ้นโทษ แล้วให้หาเป็กเอียงอูเข้ามา ตรัสเล่าเหตุลางซึ่งหญิงมีครรภ์คลอดบุตรนั้นให้เป็กเอียงอูฟัง แล้วตรัสว่า “เหตุทั้งนี้จะดีหรือร้าย”
เป๊กเอียงอูจึงกราบทูลว่า “บุตรหญิงคนโทษนั้นเป็นอุบาทว์เมือง เหตุลางทั้งนี้เห็นประกอบกันกับที่เด็กร้องเพลง นานไปหญิงทารกนั้นใหญ่ขึ้นจะทำให้บ้านเมืองวิบัติต่างๆ”
พระเจ้าซวนอ๋องทรงฟังตกพระทัย จึงใช้ขันทีให้ไปถามนางเกียงฮองฮอว่า “บุตรหญิงคนโทษนั้นเอาไปทิ้งไว้แห่งใดให้เอามาจะฆ่าเสีย ถ้าละไว้ช้ามีผู้ได้ไปเลี้ยงไว้จะทำให้วิบัติบ้านเมือง”
ขันทีรับสั่งดังนั้นจึงเข้าไปแจ้งความแก่นางเกียงฮองฮอ
นางเกียงฮองฮอแจ้งรับสั่งดังนั้นจึงสั่งหญิงคนใช้ว่า “ท่านเอาบุตรคนโทษไปทิ้งเสียที่ใดเร่งไปพามาถวาย”
หญิงคนใช้นั้นจึงว่า “เมื่อเอาทารกไปทิ้งน้ำเสียนั้นเป็นกลางคืน หารู้ว่าทารกจะลอยไปแห่งใดไม่”
นางเกียงฮองฮอจึงเข้าไปทูลว่า “ทารกนั้นเอาถ่วงน้ำเสียแล้ว”
พระเจ้าซวนอ๋องได้ฟังยังไม่สิ้นความวิตก จึงส่งโตเบ๊กให้ไปสืบดูทารกบุตรหญิงคนโทษ ให้รู้ว่ารอดหรือตายให้เป็นแน่ สั่งแล้วเสด็จขึ้น
โตเบ๊กก็ไปเที่ยวหาทารกไม่รู้ว่าเอาไปทิ้งไปแห่งใดแต่เฝ้าคอยเมื่อตรัสถาม จึงจะทูล
ขณะนั้นมีผัวเมียสองคน ผัวชื่อซูตายเป็นคนเข็ญใจบ้านอยู่นอกเมือง เคยทำเกาทัณฑ์ขายมิได้ขาด ครั้งเพลารุ่งเช้าซูตายแบกเกาทัณฑ์ภรรยาหาบลูกเกาทัณฑ์เข้ามาในเมืองหลวง พบโจหยีเข้าที่ต้นตลาด
โจหยีเห็นดังนั้นจึงคิดว่าเปกเอียงอูกราบทูลว่าบ้านเมืองจะเกิดเหตุเพราะผู้หญิง บัดนี้ผู้หญิงหาบลูกเกาทัณฑ์เข้ามาในเมืองสมกับคำทำนายต้องด้วยรับสั่งห้ามโทษถึงตาย โจหยีก็จับหญิงคนนั้นว่าขายของต้องห้าม ซูตายผู้ผัวตกใจทิ้งอาวุธเสียวิ่งหนีไป โจหยีก็มัดหญิงผู้นั้นเข้าไปกราบทูลพระเจ้าซวนอ๋อง
พระเจ้าซวนอ๋องก็สั่งให้เอาตัวหญิงนั้นไปตัดศีรษะเสีย โจหยีก็พาไปตามรับสั่ง
ฝ่ายซูตายคอยฟังข่าวภรรยาอยู่นอกกำแพงเมือง ได้ยินคนเดินไปมาพูดกันว่าคนขายลูกเกาทัณฑ์ที่โจหยีจับไปกราบทูล มีรับสั่งให้ฆ่าเสียแล้ว ซูตายตกใจกลัวเขาจะตามมาจับก็รีบเดินร้องไห้ไปตามริมคลอง
ครั้นพ้นบ้านคนจึงเห็นกระสอบขึ้นเกยตลิ่งอยู่ใบหนึ่ง ฝูงนกกาลงล้อมอยู่เป็นอันมาก ซูตายเดินเข้าไปใกล้นกกาก็บินไปสิ้นจึงแก้กระสอบดูเห็นหญิงทารกยังหายใจอยู่ก็รู้ว่ายังไม่ตายมีความสงสัยนัก จึงคิดว่าทารกนี้มีวาสนา เขาเอาใส่กระสอบมาทิ้งเสียแล้วยังหาตายไม่
บัดนี้ภรรยาเราก็ตายแล้วบุตรก็ไม่มี จะพาเด็กนี้ไปเลี้ยงไว้เป็นบุตรบุญธรรมเถิดนานไปเมื่อหน้าถ้าบุญของเด็กจะได้ดีบ้างเราจะได้พึ่ง ซูตายก็อุ้มเด็กออกจากกระสอบ อาบน้ำชำระให้สดใสแล้วก็พาไปบ้านโปเสีย
เลียดก๊ก สงครามชิงแผ่นดิน
เลียดก๊กเป็นวรรณกรรมไทยที่แปลจากพงศาวดารจีน(แบ่งบทขึ้น ๑๐๘ บท ตามความต้นฉบับภาษาจีน) เป็นเหตุการณ์แย่งชิงแผ่นดิน ในประวัติศาสตร์จีนช่วงปลายราชวงศ์โจวตะวันตก รัชกาลพระเจ้าซวนอ๋อง(พระเจ้าโจวเซวียนหวาง) ปี ๘๒๗-๗๘๒ ก่อนคริสศักราช ถึง รัชกาลพระเจ้าจิวเสียงอ๋อง(พระเจ้าโจวหน่านหวาง) ปี ๓๑๔-๒๕๖ ก่อนคริสศักราช ต่อเนื่องการรวมแผ่นดินของเจิ่งอ๋อง เจ้าเมืองจิ๋น (จิ๋นซีฮ่องเต้) ปี ๒๒๑-๒๑๐
ก่อนคริสศักราช
การแปลพงศาวดารเลียดก๊กในสมัยพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒ได้ให้บุคคลสำคัญ ๑๑ ท่าน
รวมกันแปลเป็นไทยในสำเนียงฮกเกี้ยนต่างจากภาษาจีนกลาง ได้แก้
๑.กรมหมื่นนเรศโยธี
๒.เจ้าพระยายมราช
๓.เจ้าพระยาวงษาสุริยศักดิ์
๔.พระยาโชดึก
๕.ขุนท่องสื่อ
๖.จหมื่นไวยวรนาถ
๗.เล่ห์อาวุธ
๘.จ่าเรศ
๙.หลวงลิขิตปรีชา
๑๐.หลวงญานปรีชา
๑๑.ขุนมหาสิทธิโวหาร
บทที่ ๑
ศุภ มัศดุ จุลศักราชพันร้อยแปดสิบ ปีเถาะ เอกศกอาสาทมาศ ศุกกปักขอัฐมีดิถีคุรุวาระ พระบาทสมเด็จบรมบพิตรพระเจ้าอยู่หัว เสด็จออกพระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน มีพระราชโองการ ดำรัสสั่งข้าทูลละออง
แปลเลียดก๊กพงศาวดารกรุงจีนนี้เป็นคำไทยไว้สำหรับแผ่นดิน
ข้าพระพุทธเจ้า กรมหมื่นนเรศโยธีหนึ่ง เจ้าพระยายมราชหนึ่ง เจ้าพระยาวงษาสุรียศักดิ์หนึ่ง
พระยาโชดึกหนึ่ง ขุนท่องสื่อหนึ่ง จหมื่นไวยวรนาถหนึ่ง เล่ห์อาวุธหนึ่ง จ่าเรศหนึ่ง
หลวงลิขิตปรีชาหนึ่ง หลวงญาณปรีชาหนึ่ง ขุนมหาสิทธิโวหารหนึ่ง
ห้องสินแลในเลียดก๊กนั้น ว่าด้วยองค์พระเจ้าบู๊อ๋องครองเมืองทั้งปวงคิดทำศึกกัน
ข้าพเจ้าหลวงลิขิตปรีชา เจ้ากรมอาลักษณ์ ชำระขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายในเลียดก๊กหนังสือจีนแปลเป็นคำไทย
ได้ความว่า
แผ่นดินเมืองจีนนั้น เมืองโกเก๋งเป็นเมืองหลวง พระเจ้าซวนอ๋อง(พระเจ้าโจวเซวียนหวาง ปี ๘๒๗-๗๘๒
ก่อนคริสศักราช) เชื้อวงศ์พระเจ้าบู๊อ๋อง(พระเจ้าโจวอู่หวาง ต้นราชวงศ์โจว ปี ๑๐๔๖-๑๐๔๓ ก่อนคริสศักราช)
ได้เสวยราชสมบัติบำรุงอาฯประชาราษฎร์อยู่เย็นเป็นสุข หัวเมืองทั้งปวงมาขึ้นแก่เมืองโกเก๋ง
เหมือนพระเจ้าบู๊อ๋องครั้งแผ่นดินห้องสิน
แต่ซาเลเทเจ้าเมืองเกียงหยงหัวเมืองตะวันตกนั้นตั้งแข็งเมืองอยู่ พระเจ้าซวนอ๋องจึงจัดแจงทหารเอก ทหารเลวเป็นกระบวนทัพหลวง ยกไปตีเมืองเกียงหยง
พระเจ้าซวนอ๋องเสียทีแก่ข้าศึก เสียทแกล้วทหารแลเครื่องสาตราวุธเป็นอันมาก จึงล่าทัพมาตั้งค่ายรวบรวมทแกล้วทหารอยู่ ณ เมืองไซง่วน ให้สำรวจข้าวขึ้นฉาง และจัดเครื่องสาตราวุธ แหลนหลาวลูเกาทัณฑ์ใส่คลังไว้สำหรับจะได้จ่ายทหารเป็นอันมาก ตั้งเจ้าเมืองไซง่วนเป็นแม่ทัพ คุมทหารลาดตระเวนป้องกันกองทัพเมืองเกียงหยง
อยู่ ณ ปลายแดนเมืองโกเก๋ง ครั้นแล้วพระเจ้าซวนอ๋องก็เสด็จกลับมา จะใกล้ถึงประตูเมืองหลวง พอเพลาค่ำพระเจ้าซวนอ๋องได้ยินเสียงเด็กชาวบ้านตบมือร้องเพลงว่า “หยิดเจียงบุตรฮอยเจียงเสงเอียบห่อกีหกกีบวงจิวก๊ก”
แปลว่า “พระอาทิตย์จะตกต่ำ พระจันทร์จะขึ้น ตัดไม้ซองบกทำเกาทัณฑ์ เกี่ยวหญ้ามาสานเป็นซองใส่เกาทัณฑ์
เมืองจิวก๊กจะเสื่อมสูญ”
พระเจ้าซวนอ๋องได้ทรงฟังดังนั้นก็ให้หยุดรถแล้วสั่งทหารให้ไปพาพวกเด็ก ซึ่งร้องเพลงนั้นมาหน้าที่นั่ง
จึงตรัสถามว่า “ผู้ใดสอนให้พวกเองร้องเพลงนี้”
พวกเด็กจึงกราบทูลว่า “เมื่อวันก่อนมีเด็กคนหนึ่งนุ่งแดงมาร้องเพลงอันนี้เล่น ข้าพเจ้าชอบใจจึงจำเพลงไว้ร้องเล่นต่อมา แต่เด็กคนนั้นหารู้แห่งว่าบ้านอยู่แห่งใดไม่”
พระเจ้าซวนอ๋องจึงตรัสว่า “เพลงนี้เป็นคำหยาบช้าแช่งบ้านเมืองไม่ควรจะร้องเล่น แต่นี้ไปถ้าพวกเองร้องเพลงนั้นเล่นอีกจะได้ลงโทษแก่บิดามารดา”
พระเจ้าซวนอ๋องก็ให้ปล่อยเด็กนั้นเสีย แล้วเสด็จเข้าพระราชวังไม่สบายพระทัย ครั้นเพลาเช้าเสด็จออก
จึงตรัสเล่าความเด็กทำเพลงนั้นให้ขุนนางทั้งปวงฟัง
เตียวเฮาเป็นที่ไทจงเปก พนักงานดูเหตุดีร้ายในแผ่นดินจึงทูลว่า “ข้าพเจ้าพิเคราะห์ดูเห็นว่าเด็กน้อยซึ่งนุ่งแดงห่มแดงนั้น จะเป็นเทวดาแปลงลงมาร้องเพลงให้เด็กชาวเมืองจำได้ หวังจะให้รู้เหตุดีแลร้าย ซึ่งว่าพระอาทิตย์ตกต่ำ พระจันทร์จะขึ่นนั้น เชื้อพระวงศ์ของพระองค์ซึ่งจะสืบกษัตริย์ไปภายหน้านั้น จะเสื่อมสูญเสียเกียรติยศ ลงทุกครั้งดังดวงอาทิตย์เมื่อบ่ายเย็น แซ่อื่นจะได้เป็นกษัตริย์สืบพระวงศ์ เปรียบเหมือนพระจันทร์ข้างขึ้น ข้าซึ่งเอาไม้ซองบกทำเกาทัณฑ์ เป็นเหตุความห้ามการศึก พระเคราะห์เมืองร้ายนัก อาวุธเกาทัณฑ์จะเป็นปัจจามิตรแก่พระองค์ ขออย่าเพิ่งยกทัพหลวงไปจากพระนครเลย จงมีพระทัยโอบอ้อมอารีแก่ขุนนาง อาณาประชาราษฎร์และตั้งอยู่ในยุติธรรมแล้ว เหตุลางทั้งนี้ก็จะค่อยทุเลาลง”
พระเจ้าซวนอ๋องได้ทรงฟังดังนั้นตกพระทัย จึงสั่งให้ขุนนางเมืองไซง่วนเอาลูกเกาทัณฑ์ซึ่งไว้สำหรับศึกนั้นเผาเสีย แล้วสั่งโจหยีใก้มีกำหนดกฏหมายห้ามมิให้อาณาประชาราษฎร์ทำเกาทัณฑ์ขาย สั่งแล้วเสด็จเข้าสู่ที่ข้างใน
นางเกียงฮองฮอมเหสีมาเฝ้าทูลว่า “หญิงคนโทษเก่าต้องเวนจำอยู่ที่ตึกจำสงัด หาผัวมิได้มีครรภ์แต่อายุ
สิบสองปี มาจนอายุห้าสิบสองปี แต่อยู่ในครรภ์สี่สิบปี เวลาคืนนี้คลอดบุตรเป็นหญิง ข้าพเจ้าเห็นจะเป็นอุบาทว์ จึงให้เอาบุตรหญิงนั้นใส่กระสอบไปทิ้งเสีย”
พระเจ้าซวนอ๋องได้ฟังดังนั้นอัศจรรย์ใจนัก จึงให้ขันทีไปถามหญิงคนโทษว่า “เมื่อจะมีครรภ์บุตรคนนี้มีเหตุประการใดบ้าง”
หญิงคนโทษจึงเล่าความว่า “ครั้งแผ่นดินพระเจ้าเลอ๋อง ข้าพเจ้าเป็นข้าอยู่ในวังอายุได้สิบสองปี อยู่มาวันหนึ่งมีผู้หญิงรัศมีสว่างขึ้นในคลัง เจ้าพนักงานไขหีบดู เห็นตะพาบน้ำอยู่บนถาดทอง จึงยกถาดตะพาบน้ำมาถวายพระเจ้าเลอ๋อง ข้าพเจ้าก็ได้แอบดูอยู่ที่ริมประตูเสด็จออก”
พระเจ้าเลอ๋องตรัสถามขุนนางทั้งปวงว่า “แต่ก่อนถาดทองนี้ใส่ใดไว้ จึงบังเกิดเป็นตะพาบน้ำฉะนี้”
ขุนนางผู้เฒ่าคนหนึ่งกราบทูลว่า “ข้าพเจ้าได้ยินคำผู้ใหญ่เล่าสืบมาว่า ถาดทองใบนี้ใส่น้ำลายมังกรแต่ครั้งแผ่นดินพระเจ้าเคียดอ๋อง เมื่อจะได้น้ำลายมังกรนั้น วันหนึ่งพระเจ้าเคียดอ๋องเสด็จออกขุนนาง มีมังกรคู่หนึ่งมาพันกันตรงหน้าพระที่นั่ง พระเจ้าเคียดอ๋องตกพระทัยคิดว่าจะเป็นเหตุแก่ไพร่บ้านพลเมือง จึงให้ขุนนางพนักงานตั้งพลีกรรมบวงสรวงเสี่ยงทาย มังกรนั้นพูดได้ว่าเป็นปีศาจเสื้อเมือง จะมาให้บ้านเมืองอยู่เย็นเป็นสุข มังกรนั้นก็คายน้ำลายออก พระเจ้าเคียดอ๋องจึงให้เอาถาดทองรองน้ำลายมังกรไปใส่หีบลั่นกุญแจเก็บไว้ในคลัง มังกรนั้นก็หายไป ตั้งแต่แผ่นดินพระเจ้าเคียดอ๋องได้น้ำลายมังกร สืบกษัตริย์มาถึงยี่สิบแปดชั่วกษัตริย์ นับเป็นปีได้หกร้อยสี่สิบปี ถึงแผ่นดินพระเจ้าบู๋อ๋องสืบกษัตริย์มาอีกสามร้อยปี ถึงแผ่นดินพระเจ้าเลอ๋อง ขณะเมื่อพระเจ้าเลอ๋องทอดพระเนตรน้ำลายมังกรซึ่งกลายเป็นตะพาบน้ำนั้น ตะพาบน้ำนั้นก็โดดลงจากถาด คลานมาถึงประตูที่ข้าพเจ้าแอบอยู่แล้วตะพาบน้ำหายไป”
“ข้าพเจ้าตกใจตัวสั่น แต่เวลานั้นมาให้บังเอิญอาเจียนเหมือนดังจะมีครรภ์ท้องข้าพเจ้าก็เติบขึ้นกว่าปรกติ คิดว่าจะเป็นโรค หาหมอรักษากินยาหลายขนานครรภ์ข้าพเจ้าก็ยิ่งโตขึ้นทุกวัน”
“พระเจ้าเลอ๋องเห็นก็ทรงโกรธข้าพเจ้าคบชาย มิได้ไต่ถาม ให้เอาตัวข้าพเจ้าคุมไว้ที่ตึกจำสงัด แต่อายุสิบสองปีมาจนอายุข้าพเจ้าทุกวันนี้ได้ห้าสิบสองปี จึงคลอดบุตรด้วยเพลาคืนนี้ พระมเหสีทราบความเห็นว่าบุตรข้าพเจ้า
เป็นอุบาทว์บ้านเมืองจึงให้เอาไปทิ้งเสีย” ขันทีผู้รับสั่งก็จดหมายเอาถ้อยคำหญิงคนโทษขึ้นมากราบทูล
พระเจ้าซวนอ๋องแจ้งดังนั้นจึงตรัสว่า “เหตุทั้งนี้ด้วยเทวดาอาเพศจะให้เป็นวิปริตในการแผ่นดิน ครั้นจะให้มีโทษแก่หญิงนั้นเล่าก็ไม่ควร”
พระเจ้าซวนอ๋องจึงโปรดให้หญิงนั้นพ้นโทษ แล้วให้หาเป็กเอียงอูเข้ามา ตรัสเล่าเหตุลางซึ่งหญิงมีครรภ์คลอดบุตรนั้นให้เป็กเอียงอูฟัง แล้วตรัสว่า “เหตุทั้งนี้จะดีหรือร้าย”
เป๊กเอียงอูจึงกราบทูลว่า “บุตรหญิงคนโทษนั้นเป็นอุบาทว์เมือง เหตุลางทั้งนี้เห็นประกอบกันกับที่เด็กร้องเพลง นานไปหญิงทารกนั้นใหญ่ขึ้นจะทำให้บ้านเมืองวิบัติต่างๆ”
พระเจ้าซวนอ๋องทรงฟังตกพระทัย จึงใช้ขันทีให้ไปถามนางเกียงฮองฮอว่า “บุตรหญิงคนโทษนั้นเอาไปทิ้งไว้แห่งใดให้เอามาจะฆ่าเสีย ถ้าละไว้ช้ามีผู้ได้ไปเลี้ยงไว้จะทำให้วิบัติบ้านเมือง”
ขันทีรับสั่งดังนั้นจึงเข้าไปแจ้งความแก่นางเกียงฮองฮอ
นางเกียงฮองฮอแจ้งรับสั่งดังนั้นจึงสั่งหญิงคนใช้ว่า “ท่านเอาบุตรคนโทษไปทิ้งเสียที่ใดเร่งไปพามาถวาย”
หญิงคนใช้นั้นจึงว่า “เมื่อเอาทารกไปทิ้งน้ำเสียนั้นเป็นกลางคืน หารู้ว่าทารกจะลอยไปแห่งใดไม่”
นางเกียงฮองฮอจึงเข้าไปทูลว่า “ทารกนั้นเอาถ่วงน้ำเสียแล้ว”
พระเจ้าซวนอ๋องได้ฟังยังไม่สิ้นความวิตก จึงส่งโตเบ๊กให้ไปสืบดูทารกบุตรหญิงคนโทษ ให้รู้ว่ารอดหรือตายให้เป็นแน่ สั่งแล้วเสด็จขึ้น
โตเบ๊กก็ไปเที่ยวหาทารกไม่รู้ว่าเอาไปทิ้งไปแห่งใดแต่เฝ้าคอยเมื่อตรัสถาม จึงจะทูล
ขณะนั้นมีผัวเมียสองคน ผัวชื่อซูตายเป็นคนเข็ญใจบ้านอยู่นอกเมือง เคยทำเกาทัณฑ์ขายมิได้ขาด ครั้งเพลารุ่งเช้าซูตายแบกเกาทัณฑ์ภรรยาหาบลูกเกาทัณฑ์เข้ามาในเมืองหลวง พบโจหยีเข้าที่ต้นตลาด
โจหยีเห็นดังนั้นจึงคิดว่าเปกเอียงอูกราบทูลว่าบ้านเมืองจะเกิดเหตุเพราะผู้หญิง บัดนี้ผู้หญิงหาบลูกเกาทัณฑ์เข้ามาในเมืองสมกับคำทำนายต้องด้วยรับสั่งห้ามโทษถึงตาย โจหยีก็จับหญิงคนนั้นว่าขายของต้องห้าม ซูตายผู้ผัวตกใจทิ้งอาวุธเสียวิ่งหนีไป โจหยีก็มัดหญิงผู้นั้นเข้าไปกราบทูลพระเจ้าซวนอ๋อง
พระเจ้าซวนอ๋องก็สั่งให้เอาตัวหญิงนั้นไปตัดศีรษะเสีย โจหยีก็พาไปตามรับสั่ง
ฝ่ายซูตายคอยฟังข่าวภรรยาอยู่นอกกำแพงเมือง ได้ยินคนเดินไปมาพูดกันว่าคนขายลูกเกาทัณฑ์ที่โจหยีจับไปกราบทูล มีรับสั่งให้ฆ่าเสียแล้ว ซูตายตกใจกลัวเขาจะตามมาจับก็รีบเดินร้องไห้ไปตามริมคลอง
ครั้นพ้นบ้านคนจึงเห็นกระสอบขึ้นเกยตลิ่งอยู่ใบหนึ่ง ฝูงนกกาลงล้อมอยู่เป็นอันมาก ซูตายเดินเข้าไปใกล้นกกาก็บินไปสิ้นจึงแก้กระสอบดูเห็นหญิงทารกยังหายใจอยู่ก็รู้ว่ายังไม่ตายมีความสงสัยนัก จึงคิดว่าทารกนี้มีวาสนา เขาเอาใส่กระสอบมาทิ้งเสียแล้วยังหาตายไม่
บัดนี้ภรรยาเราก็ตายแล้วบุตรก็ไม่มี จะพาเด็กนี้ไปเลี้ยงไว้เป็นบุตรบุญธรรมเถิดนานไปเมื่อหน้าถ้าบุญของเด็กจะได้ดีบ้างเราจะได้พึ่ง ซูตายก็อุ้มเด็กออกจากกระสอบ อาบน้ำชำระให้สดใสแล้วก็พาไปบ้านโปเสีย