เลียดก๊ก สงครามชิงแผ่นดิน

กระทู้สนทนา
เลียดก๊ก สงครามชิงแผ่นดิน
 
เลียดก๊กเป็นวรรณกรรมไทยที่แปลจากพงศาวดารจีน(แบ่งบทขึ้น ๑๐๘ บท ตามความต้นฉบับภาษาจีน) เป็นเหตุการณ์แย่งชิงแผ่นดิน ในประวัติศาสตร์จีนช่วงปลายราชวงศ์โจวตะวันตก รัชกาลพระเจ้าซวนอ๋อง(พระเจ้าโจวเซวียนหวาง) ปี ๘๒๗-๗๘๒ ก่อนคริสศักราช ถึง รัชกาลพระเจ้าจิวเสียงอ๋อง(พระเจ้าโจวหน่านหวาง) ปี ๓๑๔-๒๕๖ ก่อนคริสศักราช ต่อเนื่องการรวมแผ่นดินของเจิ่งอ๋อง เจ้าเมืองจิ๋น (จิ๋นซีฮ่องเต้) ปี ๒๒๑-๒๑๐
ก่อนคริสศักราช
การแปลพงศาวดารเลียดก๊กในสมัยพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒ได้ให้บุคคลสำคัญ ๑๑ ท่าน
รวมกันแปลเป็นไทยในสำเนียงฮกเกี้ยนต่างจากภาษาจีนกลาง ได้แก้
   ๑.กรมหมื่นนเรศโยธี
   ๒.เจ้าพระยายมราช
   ๓.เจ้าพระยาวงษาสุริยศักดิ์
   ๔.พระยาโชดึก
   ๕.ขุนท่องสื่อ
   ๖.จหมื่นไวยวรนาถ
   ๗.เล่ห์อาวุธ
   ๘.จ่าเรศ
   ๙.หลวงลิขิตปรีชา
  ๑๐.หลวงญานปรีชา
 ๑๑.ขุนมหาสิทธิโวหาร

 
บทที่ ๑
 
ศุภ มัศดุ จุลศักราชพันร้อยแปดสิบ ปีเถาะ เอกศกอาสาทมาศ ศุกกปักขอัฐมีดิถีคุรุวาระ พระบาทสมเด็จบรมบพิตรพระเจ้าอยู่หัว เสด็จออกพระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน มีพระราชโองการ  ดำรัสสั่งข้าทูลละออง 
แปลเลียดก๊กพงศาวดารกรุงจีนนี้เป็นคำไทยไว้สำหรับแผ่นดิน
ข้าพระพุทธเจ้า กรมหมื่นนเรศโยธีหนึ่ง  เจ้าพระยายมราชหนึ่ง  เจ้าพระยาวงษาสุรียศักดิ์หนึ่ง
พระยาโชดึกหนึ่ง  ขุนท่องสื่อหนึ่ง  จหมื่นไวยวรนาถหนึ่ง  เล่ห์อาวุธหนึ่ง  จ่าเรศหนึ่ง  
หลวงลิขิตปรีชาหนึ่ง  หลวงญาณปรีชาหนึ่ง  ขุนมหาสิทธิโวหารหนึ่ง
ห้องสินแลในเลียดก๊กนั้น  ว่าด้วยองค์พระเจ้าบู๊อ๋องครองเมืองทั้งปวงคิดทำศึกกัน  
ข้าพเจ้าหลวงลิขิตปรีชา  เจ้ากรมอาลักษณ์  ชำระขึ้นทูลเกล้าฯ  ถวายในเลียดก๊กหนังสือจีนแปลเป็นคำไทย
ได้ความว่า
 
         แผ่นดินเมืองจีนนั้น  เมืองโกเก๋งเป็นเมืองหลวง  พระเจ้าซวนอ๋อง(พระเจ้าโจวเซวียนหวาง ปี ๘๒๗-๗๘๒
ก่อนคริสศักราช)  เชื้อวงศ์พระเจ้าบู๊อ๋อง(พระเจ้าโจวอู่หวาง ต้นราชวงศ์โจว ปี ๑๐๔๖-๑๐๔๓ ก่อนคริสศักราช)
ได้เสวยราชสมบัติบำรุงอาฯประชาราษฎร์อยู่เย็นเป็นสุข  หัวเมืองทั้งปวงมาขึ้นแก่เมืองโกเก๋ง  
เหมือนพระเจ้าบู๊อ๋องครั้งแผ่นดินห้องสิน  
         แต่ซาเลเทเจ้าเมืองเกียงหยงหัวเมืองตะวันตกนั้นตั้งแข็งเมืองอยู่  พระเจ้าซวนอ๋องจึงจัดแจงทหารเอก  ทหารเลวเป็นกระบวนทัพหลวง  ยกไปตีเมืองเกียงหยง  
         พระเจ้าซวนอ๋องเสียทีแก่ข้าศึก  เสียทแกล้วทหารแลเครื่องสาตราวุธเป็นอันมาก  จึงล่าทัพมาตั้งค่ายรวบรวมทแกล้วทหารอยู่  ณ เมืองไซง่วน ให้สำรวจข้าวขึ้นฉาง  และจัดเครื่องสาตราวุธ  แหลนหลาวลูเกาทัณฑ์ใส่คลังไว้สำหรับจะได้จ่ายทหารเป็นอันมาก  ตั้งเจ้าเมืองไซง่วนเป็นแม่ทัพ  คุมทหารลาดตระเวนป้องกันกองทัพเมืองเกียงหยง   
        อยู่ ณ ปลายแดนเมืองโกเก๋ง  ครั้นแล้วพระเจ้าซวนอ๋องก็เสด็จกลับมา  จะใกล้ถึงประตูเมืองหลวง  พอเพลาค่ำพระเจ้าซวนอ๋องได้ยินเสียงเด็กชาวบ้านตบมือร้องเพลงว่า  “หยิดเจียงบุตรฮอยเจียงเสงเอียบห่อกีหกกีบวงจิวก๊ก”
แปลว่า  “พระอาทิตย์จะตกต่ำ  พระจันทร์จะขึ้น  ตัดไม้ซองบกทำเกาทัณฑ์ เกี่ยวหญ้ามาสานเป็นซองใส่เกาทัณฑ์
เมืองจิวก๊กจะเสื่อมสูญ”
         พระเจ้าซวนอ๋องได้ทรงฟังดังนั้นก็ให้หยุดรถแล้วสั่งทหารให้ไปพาพวกเด็ก  ซึ่งร้องเพลงนั้นมาหน้าที่นั่ง
จึงตรัสถามว่า  “ผู้ใดสอนให้พวกเองร้องเพลงนี้”
         พวกเด็กจึงกราบทูลว่า  “เมื่อวันก่อนมีเด็กคนหนึ่งนุ่งแดงมาร้องเพลงอันนี้เล่น  ข้าพเจ้าชอบใจจึงจำเพลงไว้ร้องเล่นต่อมา  แต่เด็กคนนั้นหารู้แห่งว่าบ้านอยู่แห่งใดไม่”
         พระเจ้าซวนอ๋องจึงตรัสว่า  “เพลงนี้เป็นคำหยาบช้าแช่งบ้านเมืองไม่ควรจะร้องเล่น  แต่นี้ไปถ้าพวกเองร้องเพลงนั้นเล่นอีกจะได้ลงโทษแก่บิดามารดา”
         
         พระเจ้าซวนอ๋องก็ให้ปล่อยเด็กนั้นเสีย  แล้วเสด็จเข้าพระราชวังไม่สบายพระทัย  ครั้นเพลาเช้าเสด็จออก 
จึงตรัสเล่าความเด็กทำเพลงนั้นให้ขุนนางทั้งปวงฟัง
         เตียวเฮาเป็นที่ไทจงเปก  พนักงานดูเหตุดีร้ายในแผ่นดินจึงทูลว่า  “ข้าพเจ้าพิเคราะห์ดูเห็นว่าเด็กน้อยซึ่งนุ่งแดงห่มแดงนั้น  จะเป็นเทวดาแปลงลงมาร้องเพลงให้เด็กชาวเมืองจำได้  หวังจะให้รู้เหตุดีแลร้าย  ซึ่งว่าพระอาทิตย์ตกต่ำ  พระจันทร์จะขึ่นนั้น  เชื้อพระวงศ์ของพระองค์ซึ่งจะสืบกษัตริย์ไปภายหน้านั้น  จะเสื่อมสูญเสียเกียรติยศ  ลงทุกครั้งดังดวงอาทิตย์เมื่อบ่ายเย็น  แซ่อื่นจะได้เป็นกษัตริย์สืบพระวงศ์  เปรียบเหมือนพระจันทร์ข้างขึ้น  ข้าซึ่งเอาไม้ซองบกทำเกาทัณฑ์  เป็นเหตุความห้ามการศึก  พระเคราะห์เมืองร้ายนัก  อาวุธเกาทัณฑ์จะเป็นปัจจามิตรแก่พระองค์  ขออย่าเพิ่งยกทัพหลวงไปจากพระนครเลย  จงมีพระทัยโอบอ้อมอารีแก่ขุนนาง อาณาประชาราษฎร์และตั้งอยู่ในยุติธรรมแล้ว  เหตุลางทั้งนี้ก็จะค่อยทุเลาลง”
         พระเจ้าซวนอ๋องได้ทรงฟังดังนั้นตกพระทัย  จึงสั่งให้ขุนนางเมืองไซง่วนเอาลูกเกาทัณฑ์ซึ่งไว้สำหรับศึกนั้นเผาเสีย  แล้วสั่งโจหยีใก้มีกำหนดกฏหมายห้ามมิให้อาณาประชาราษฎร์ทำเกาทัณฑ์ขาย  สั่งแล้วเสด็จเข้าสู่ที่ข้างใน
         นางเกียงฮองฮอมเหสีมาเฝ้าทูลว่า  “หญิงคนโทษเก่าต้องเวนจำอยู่ที่ตึกจำสงัด  หาผัวมิได้มีครรภ์แต่อายุ
สิบสองปี  มาจนอายุห้าสิบสองปี  แต่อยู่ในครรภ์สี่สิบปี  เวลาคืนนี้คลอดบุตรเป็นหญิง  ข้าพเจ้าเห็นจะเป็นอุบาทว์ยิ้ม  จึงให้เอาบุตรหญิงนั้นใส่กระสอบไปทิ้งเสีย”
         พระเจ้าซวนอ๋องได้ฟังดังนั้นอัศจรรย์ใจนัก  จึงให้ขันทีไปถามหญิงคนโทษว่า  “เมื่อจะมีครรภ์บุตรคนนี้มีเหตุประการใดบ้าง”  
         หญิงคนโทษจึงเล่าความว่า  “ครั้งแผ่นดินพระเจ้าเลอ๋อง  ข้าพเจ้าเป็นข้าอยู่ในวังอายุได้สิบสองปี  อยู่มาวันหนึ่งมีผู้หญิงรัศมีสว่างขึ้นในคลัง  เจ้าพนักงานไขหีบดู  เห็นตะพาบน้ำอยู่บนถาดทอง  จึงยกถาดตะพาบน้ำมาถวายพระเจ้าเลอ๋อง  ข้าพเจ้าก็ได้แอบดูอยู่ที่ริมประตูเสด็จออก”
         พระเจ้าเลอ๋องตรัสถามขุนนางทั้งปวงว่า  “แต่ก่อนถาดทองนี้ใส่ใดไว้  จึงบังเกิดเป็นตะพาบน้ำฉะนี้”  
         ขุนนางผู้เฒ่าคนหนึ่งกราบทูลว่า  “ข้าพเจ้าได้ยินคำผู้ใหญ่เล่าสืบมาว่า  ถาดทองใบนี้ใส่น้ำลายมังกรแต่ครั้งแผ่นดินพระเจ้าเคียดอ๋อง  เมื่อจะได้น้ำลายมังกรนั้น  วันหนึ่งพระเจ้าเคียดอ๋องเสด็จออกขุนนาง  มีมังกรคู่หนึ่งมาพันกันตรงหน้าพระที่นั่ง  พระเจ้าเคียดอ๋องตกพระทัยคิดว่าจะเป็นเหตุแก่ไพร่บ้านพลเมือง  จึงให้ขุนนางพนักงานตั้งพลีกรรมบวงสรวงเสี่ยงทาย  มังกรนั้นพูดได้ว่าเป็นปีศาจเสื้อเมือง  จะมาให้บ้านเมืองอยู่เย็นเป็นสุข  มังกรนั้นก็คายน้ำลายออก  พระเจ้าเคียดอ๋องจึงให้เอาถาดทองรองน้ำลายมังกรไปใส่หีบลั่นกุญแจเก็บไว้ในคลัง  มังกรนั้นก็หายไป  ตั้งแต่แผ่นดินพระเจ้าเคียดอ๋องได้น้ำลายมังกร  สืบกษัตริย์มาถึงยี่สิบแปดชั่วกษัตริย์  นับเป็นปีได้หกร้อยสี่สิบปี  ถึงแผ่นดินพระเจ้าบู๋อ๋องสืบกษัตริย์มาอีกสามร้อยปี  ถึงแผ่นดินพระเจ้าเลอ๋อง  ขณะเมื่อพระเจ้าเลอ๋องทอดพระเนตรน้ำลายมังกรซึ่งกลายเป็นตะพาบน้ำนั้น  ตะพาบน้ำนั้นก็โดดลงจากถาด  คลานมาถึงประตูที่ข้าพเจ้าแอบอยู่แล้วตะพาบน้ำหายไป”
         “ข้าพเจ้าตกใจตัวสั่น  แต่เวลานั้นมาให้บังเอิญอาเจียนเหมือนดังจะมีครรภ์ท้องข้าพเจ้าก็เติบขึ้นกว่าปรกติ  คิดว่าจะเป็นโรค  หาหมอรักษากินยาหลายขนานครรภ์ข้าพเจ้าก็ยิ่งโตขึ้นทุกวัน”
 
 
         “พระเจ้าเลอ๋องเห็นก็ทรงโกรธข้าพเจ้าคบชาย  มิได้ไต่ถาม  ให้เอาตัวข้าพเจ้าคุมไว้ที่ตึกจำสงัด  แต่อายุสิบสองปีมาจนอายุข้าพเจ้าทุกวันนี้ได้ห้าสิบสองปี  จึงคลอดบุตรด้วยเพลาคืนนี้  พระมเหสีทราบความเห็นว่าบุตรข้าพเจ้า
เป็นอุบาทว์บ้านเมืองจึงให้เอาไปทิ้งเสีย”  ขันทีผู้รับสั่งก็จดหมายเอาถ้อยคำหญิงคนโทษขึ้นมากราบทูล  
         พระเจ้าซวนอ๋องแจ้งดังนั้นจึงตรัสว่า  “เหตุทั้งนี้ด้วยเทวดาอาเพศจะให้เป็นวิปริตในการแผ่นดิน  ครั้นจะให้มีโทษแก่หญิงนั้นเล่าก็ไม่ควร”  
         พระเจ้าซวนอ๋องจึงโปรดให้หญิงนั้นพ้นโทษ  แล้วให้หาเป็กเอียงอูเข้ามา  ตรัสเล่าเหตุลางซึ่งหญิงมีครรภ์คลอดบุตรนั้นให้เป็กเอียงอูฟัง  แล้วตรัสว่า  “เหตุทั้งนี้จะดีหรือร้าย”  
         เป๊กเอียงอูจึงกราบทูลว่า  “บุตรหญิงคนโทษนั้นเป็นอุบาทว์เมือง  เหตุลางทั้งนี้เห็นประกอบกันกับที่เด็กร้องเพลง  นานไปหญิงทารกนั้นใหญ่ขึ้นจะทำให้บ้านเมืองวิบัติต่างๆ”
         พระเจ้าซวนอ๋องทรงฟังตกพระทัย  จึงใช้ขันทีให้ไปถามนางเกียงฮองฮอว่า  “บุตรหญิงคนโทษนั้นเอาไปทิ้งไว้แห่งใดให้เอามาจะฆ่าเสีย  ถ้าละไว้ช้ามีผู้ได้ไปเลี้ยงไว้จะทำให้วิบัติบ้านเมือง”  
         ขันทีรับสั่งดังนั้นจึงเข้าไปแจ้งความแก่นางเกียงฮองฮอ  
         นางเกียงฮองฮอแจ้งรับสั่งดังนั้นจึงสั่งหญิงคนใช้ว่า  “ท่านเอาบุตรคนโทษไปทิ้งเสียที่ใดเร่งไปพามาถวาย”  
         หญิงคนใช้นั้นจึงว่า  “เมื่อเอาทารกไปทิ้งน้ำเสียนั้นเป็นกลางคืน  หารู้ว่าทารกจะลอยไปแห่งใดไม่”  
         นางเกียงฮองฮอจึงเข้าไปทูลว่า  “ทารกนั้นเอาถ่วงน้ำเสียแล้ว”  
         พระเจ้าซวนอ๋องได้ฟังยังไม่สิ้นความวิตก  จึงส่งโตเบ๊กให้ไปสืบดูทารกบุตรหญิงคนโทษ  ให้รู้ว่ารอดหรือตายให้เป็นแน่  สั่งแล้วเสด็จขึ้น  
         โตเบ๊กก็ไปเที่ยวหาทารกไม่รู้ว่าเอาไปทิ้งไปแห่งใดแต่เฝ้าคอยเมื่อตรัสถาม จึงจะทูล
         ขณะนั้นมีผัวเมียสองคน  ผัวชื่อซูตายเป็นคนเข็ญใจบ้านอยู่นอกเมือง  เคยทำเกาทัณฑ์ขายมิได้ขาด  ครั้งเพลารุ่งเช้าซูตายแบกเกาทัณฑ์ภรรยาหาบลูกเกาทัณฑ์เข้ามาในเมืองหลวง  พบโจหยีเข้าที่ต้นตลาด  
         โจหยีเห็นดังนั้นจึงคิดว่าเปกเอียงอูกราบทูลว่าบ้านเมืองจะเกิดเหตุเพราะผู้หญิง  บัดนี้ผู้หญิงหาบลูกเกาทัณฑ์เข้ามาในเมืองสมกับคำทำนายต้องด้วยรับสั่งห้ามโทษถึงตาย  โจหยีก็จับหญิงคนนั้นว่าขายของต้องห้าม  ซูตายผู้ผัวตกใจทิ้งอาวุธเสียวิ่งหนีไป  โจหยีก็มัดหญิงผู้นั้นเข้าไปกราบทูลพระเจ้าซวนอ๋อง  
         พระเจ้าซวนอ๋องก็สั่งให้เอาตัวหญิงนั้นไปตัดศีรษะเสีย  โจหยีก็พาไปตามรับสั่ง  
         ฝ่ายซูตายคอยฟังข่าวภรรยาอยู่นอกกำแพงเมือง  ได้ยินคนเดินไปมาพูดกันว่าคนขายลูกเกาทัณฑ์ที่โจหยีจับไปกราบทูล  มีรับสั่งให้ฆ่าเสียแล้ว  ซูตายตกใจกลัวเขาจะตามมาจับก็รีบเดินร้องไห้ไปตามริมคลอง 
         ครั้นพ้นบ้านคนจึงเห็นกระสอบขึ้นเกยตลิ่งอยู่ใบหนึ่ง  ฝูงนกกาลงล้อมอยู่เป็นอันมาก  ซูตายเดินเข้าไปใกล้นกกาก็บินไปสิ้นจึงแก้กระสอบดูเห็นหญิงทารกยังหายใจอยู่ก็รู้ว่ายังไม่ตายมีความสงสัยนัก  จึงคิดว่าทารกนี้มีวาสนา  เขาเอาใส่กระสอบมาทิ้งเสียแล้วยังหาตายไม่  
         บัดนี้ภรรยาเราก็ตายแล้วบุตรก็ไม่มี  จะพาเด็กนี้ไปเลี้ยงไว้เป็นบุตรบุญธรรมเถิดนานไปเมื่อหน้าถ้าบุญของเด็กจะได้ดีบ้างเราจะได้พึ่ง  ซูตายก็อุ้มเด็กออกจากกระสอบ  อาบน้ำชำระให้สดใสแล้วก็พาไปบ้านโปเสีย
แสดงความคิดเห็น
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ  ประวัติศาสตร์จีน
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่