สามก๊กฉบับอ่านซ้ำ
ศัตรูราชสมบัติ
“ เล่าเซี่ยงชุน “
ลิฉุยกับกุยกีได้ว่าราชการแทนพระเจ้าเหี้ยนเต้ ซึ่งทรงพระเยาว์อยู่ไม่นานก็ทำการกำเริบหยาบช้าต่าง ๆ ให้อาณาประชาราษฎรเดือดร้อน เช่นเดียวกับที่ตั๋งโต๊ะนายเก่าได้ทำมา และ กุยกีก็เอาเงินทองไปติดสินบนขันทีที่รับใช้ใกล้ชิดฮ่องเต้ ให้เป็นหูเป็นตาคอยรายงานว่าฮ่องเต้จะคิดดีร้ายแก่พวกตนประการใดบ้าง
พระเจ้าเหี้ยนเต้นั้นก็ปล่อยให้ข้าราชการและขุนนางในเมืองหลวง อยู่ในบังคับบัญชาของลิฉุยกับกุยกีสิ้น ทั้งสองจึงให้หาจูฮีขุนนางนอกราชการ ซึ่งเคยเป็นแม่ทัพไปปราบปรามโจรโพกผ้าเหลือง แต่สมัยพระเจ้าเลนเต้ เข้ามาเป็นขุนนางผู้ใหญ่ที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน
อยู่มาไม่นานม้าใช้ก็เข้ามาแจ้งว่า ม้าเท้ง เจ้าเมืองเสเหลียง กับ หันซุย เจ้าเมืองเป๊งจิ๋ว ยกทัพจากสองหัวเมืองประมาณสิบสองหมื่น จะมาตีเมืองเตียงฮัน ทั้งสี่นายก็หารือกับ กาเซี่ยงที่ปรึกษาว่าจะทำประการใด กาเซี่ยงก็แนะนำว่า
“...........ม้าเท้ง หันซุยยกมานั้นเป็นทางไกลกันดาร เราจะรักษาหน้าที่ไว้ให้ยกเข้ามาล้อมถึงเชิงกำแพง ถ้าเห็นว่าขาดเสบียงลงแล้ว จึงให้ยกทหารออกโจมตี ก็จะจับม้าเท้งกับหันซุยได้โดยง่าย.........”
ลิบ้องกับอ่องหอง ขุนนางที่เคยเปิดประตูเมืองให้ลิฉุย ก็อาสาขอทหารหมื่นหนึ่งยกออกไปรบกับม้าเท้งและหันซุย กาเซี่ยงก็ว่าซึ่งจะยกไปนั้นเห็นจะเสียทีเป็นมั่นคง ลิบ้องจึงว่า
“.........ถ้าเราสองคนออกไปไม่ได้ศรีษะม้าเท้งกับหันซุยเข้ามา ท่านจงตัดศรีษะเรานี้แทนเถิด ถ้าได้ศรีษะนายทัพทั้งสองมา ท่านจงตัดศรีษะท่านให้แก่เราด้วย.........”
ลิฉุยก็เห็นด้วย กาเซี่ยงจึงว่า
“..........ลิบ้องอ่องหองจะอาสาออกไปรบก็ตามเถิด แต่เขาเจียวจิดนั้น ทางไกลเมืองหลวงประมาณสองพันเส้น อยู่ฝ่ายตะวันตกมีทางจำเพาะเดินซอกเขา ขอให้เตียวเจหวนเตียวคุมทหารไปซุ่มอยู่ตำบลนั้นให้จงมาก ภายหลังถ้าลิบ้องอ่องหองเสียทีมาประการใด ก็จะได้ช่วย....”
ลิฉุยกุยกีก็ไม่เห็นด้วย และให้ลิบ้องอ่องหองคุมทหารหมื่นห้าพัน ยกออกไปทางประมาณสองพันเส้น จึงพบกองทัพม้าเท้งและได้เข้ารบพุ่งกันเป็นสามารถ ทั้งลิบ้องและอ่องหอง ก็ถูกม้าเฉียว บุตรคนโตของม้าเท้งอายุเพียงสิบแปดปีฆ่าตายทั้งคู่ เมื่อม้าใช้นำความมาแจ้งให้ทราบ ลิฉุยกุยกีก็คิดว่ากาเซี่ยงว่านั้นชอบแล้ว เรามิได้ทำตามคำจึงเสียทหารไปในครั้งนี้ และแต่นั้นมาทั้งสองก็นับถือเชื่อฟังกาเซี่ยง แล้วให้จัดแจงค่ายคูประตูหอรบ เกณฑ์ทหารขึ้นรักษาหน้าที่เชิงเทินพร้อมมั่นคงทุกด้าน
ม้าเท้งกับหันซุยก็ยกทหารเข้ามาล้อมเมืองเตียงฮันไว้ แต่ล้อมอยู่สองเดือนก็ไม่สามารถตีหักเอาเมืองได้ ทหารในกองทัพก็ขาดเสบียงข้าวปลาอาหารอิดโรยลง
ขณะนั้นคนสนิทของม้าฮูก็มาบอกความแก่ลิฉุยกุยกีว่า
“...........ม้าฮูนายข้าพเจ้าคบคิดกับตงเซียว เลาเฉียรับเป็นไส้ศึก ม้าเท้งจึงยกมาทำการสงคราม...........”
ลิฉุยจึงให้ทหารไปจับตัวไส้ศึกทั้งสามกับบุตรภรรยาพี่น้องมาประหารเสียสิ้น แล้ว ตัดศรีษะตัวนายเสียบประจานไว้บนเชิงเทิน ให้ข้าศึกเห็น ม้าเท้งกับหันซุยเห็นว่าความลับแตกแล้ว จึงถอยทัพกลับ ลิฉุยจึงให้เตียวเจยกทหารตามกองทัพม้าเท้งไปทางหนึ่ง ให้หวนเตียวยกทหารตามกองทัพหันซุยไปอีกทางหนึ่ง แต่ก็ตามไม่ทันต้องกลับมา
ในกองทหารของเตียวเจนั้น มีลิเบียดหลานของลิฉุยไปด้วย ก็กลับมารายงานลิฉุยผู้อาว่า เมื่อหวนเตียวตามม้าเท้งไปทันที่เขาตันฉองนั้น หัยซุยกับหวนเตียวได้พูดจากัน เพราะเป็นชาวบ้านเดียวกันมาก่อน แล้วหวนเตียวก็ปล่อยให้ม้าเท้งนำทหารกลับเมืองเป๊งจิ๋วไป ลิฉุยก็โกรธจะให้ทหารไปจับตัวหวนเตียวมาชำระ กาเซี่ยงก็ห้ามไว้ และแนะอุบายให้ว่า
“...........บัดนี้บ้านเมืองยังมิสงบ ซึ่งจะให้ทหารออกไปจับหวนเตียว เห็นว่า หวนเตียวจะไม่ยอมให้จับโดยง่าย ก็จะเกิดการรบพุ่งกันขึ้นอีก ขอให้แต่งคนออกไปบอกแก่เตียวเจและหวนเตียวโดยดีว่า ซึ่งยกไปตามม้าเท้งและหันซุยไม่ทันนั้นก็แล้วไปเถิด บัดนี้เราแต่งโต๊ะเชิญขุนนางทั้งปวงมาเสพสุรา จึงให้หาเตียวเจหวนเตียวมากินโต๊ะด้วย ถ้าเตียวเจหวนเตียวเข้ามากินโต๊ะแล้วจึงค่อยจับเอา การจึงจะไม่วุ่นวาย..........”
ลิฉุยก็เห็นด้วย จึงให้คนไปเชิญสองนายทหารมาร่วมโต๊ะกินเลี้ยงกับขุนนางทั้งปวง ฉลองชัยที่ข้าศึกยกกองทัพถอยไป เมื่อเสพสุราอยู่นั้น ลิฉุยจึงว่าแก่หวนเตียวว่า
“..............เราให้ยกทหารไปตามจับหันซุย แลตัวมิได้ทำตามคำเรา เอาน้ำใจไปแผ่เผื่อกับหันซุยนั้น ตัวจะคิดร้ายแก่เราหรือ..........”
หวนเตียวได้ยินดังนั้นก็ตกใจ ยังมิทันตอบประการใด ทหารเพชรฆาตก็ลากเอาตัวหวนเตียวไปประหารเสีย แล้วตัดศรีษะเอามาให้ลิฉุยดู เตียวเจเห็นดังนั้นยังมิรู้เหตุประการใด ก็ตกใจหมอบลงข้างโต๊ะ ลิฉุยก้เข้าไปประคองแล้วว่า
“...........หวนเตียวนั้นเอาใจออกห่างเรา คิดกับหันซุยจะทำร้ายเรา ท่านหาความผิดมิได้อย่าตกใจกลัวเลย..........”
แล้วก็ยกกองทหารที่เคยขึ้นกับหวนเตียว ให้แก่เตียวเจ และให้ยกออกไปรักษาเมืองฮองหลงอยู่ดังแต่ก่อน ขุนนางทั้งปวงก็ยิ่งเกรงกลัวลิฉุยกุยกีขึ้นเป็นอันมาก กาเซี่ยงก็แนะนำให้ทั้งสองเกลี้ยกล่อมเอาใจขุนนางนายทหารแลราษฎรทั้งปวงให้มีน้ำใจรัก ทั้งสองก็มีอำนาจมากขึ้นจะทำการสิ่งใดไม่มีผู้ขัดขวาง
ต่อมามีหนังสือบอกมาจากเมืองเซียงจิ๋วว่า มีโจรโพกผ้าเหลืองประมาณสามสิบสี่สิบหมื่น เที่ยวทำร้ายอาณาประชาราษฎร สองมหาอำมาตย์ก็ปรึกษากับขุนนางทั้งปวงว่า
“..........ซึ่งเกิดโจรทำอันตรายหัวเมืองดังนี้ เราจะคิดประการใด จึงจะบำราบโจรได้.........”
จูฮีที่ปรึกษาก็แนะว่า
“......... ซึ่งเกิดโจรขึ้น ณ แดนเมืองเซียงจิ๋วนั้น ข้าพเจ้าเห็นแต่โจโฉผู้เดียวมีฝีมือ จะไปปราบโจรฝ่ายตะวันออกได้.........”
ลิฉุยก็ถามว่าโจโฉนั้นอยู่แห่งใด จูฮีจึงบอกว่า
“...........โจโฉนั้นได้มาทำการกับอ้วนเสี้ยวเมื่อครั้งรบตั๋งโต๊ะ บัดนี้กลับไปอยู่เมืองตงกุ๋น มีทหารอยู่เป็นอันมาก ขอให้มีหนังสือรับสั่งพระเจ้าเหี้ยนเต้ออกไป ให้โจโฉยกออกไปปราบโจร ณ แดนเมืองเซียงจิ๋ว เห็นจะได้โดยง่าย.........”
ผู้ว่าราชการทั้งสองก็เห็นชอบด้วย จึงแต่งหนังสือรับสั่งสองฉบับ ให้เปาสิ้นเจ้าเมืองปักเป๋ง ยกทหารไปเข้าด้วยโจโฉ และอีกฉบับหนึ่งให้โจโฉกับเปาสิ้น ยกทหารไปปราบโจรที่เมืองเซียงจิ๋วให้ราบคาบโดยเร็ว
เปาสิ้นกับโจโฉก็ร่วมมือกันนำทหารไปปราบโจรโพกผ้าเหลือง ที่ตำบลซิวสุนแดนเมืองเซียงจิ๋ว แต่เปาสิ้นโชคร้ายถูกพวกโจรฆ่าตายในที่รบ ส่วนโจโฉนั้นได้ชัยชนะ จับเชลยพวกโจรได้และที่ยอมอ่อนน้อมด้วยประมาณสี่ห้าหมื่น แล้วก็ยกกองทหารไปปราบโจรในตำบล อื่น ๆ อีกประมาณสองเดือน ได้พวกโจรมาเข้าด้วยทั้งเก่าใหม่ประมาณสามสิบหมื่น และบรรดาชาวบ้านชาวเมืองที่ถูกพวกโจรยึดครองประมาณร้อยหมื่น โจโฉก็คัดเลือกชายฉกรรจ์เอาไว้เป็นทหารอีกยี่สิบหมื่นเศษ ส่วนชายชรากับหญิงและเด็กนั้น ให้ไปทำมาหากินอยู่ตามภูมิลำเนาเดิม แล้วก็ยกไปตั้งอยู่ที่เมืองกุนจิ๋ว เกลี้ยกล่อมผู้คน และหาผู้มีสติปัญญามาเป็นที่ปรึกษา มีผู้เข้ามาเป็นสมัครพรรคพวกมากมาย
เมื่อโจโฉมีหนังสือเข้ามากราบทูลฮ่องเต้ ว่าได้ปราบปรามพวกโจรให้สงบลงได้แล้ว ฮ่องเต้ก็มีรับสั่งตั้งให้โจโฉเป็นใหญ่กว่าหัวเมืองตะวันออกทั้งปวง
และลิฉุยก็ตั้งตัวเป็นผู้สำเร็จราชการฝ่ายทหาร กุยกีนั้นเป็นผู้สำเร็จราชการฝ่าย พลเรือน ทั้งสองก็มีใจกำเริบขึ้น มิได้เกรงพระเจ้าเหี้ยนเต้แลขุนนางทั้งปวง ทำการหยาบช้าต่าง ๆ เหมือนครั้งตั๋งโต๊ะ
ฝ่ายเอียวปิวกับจูฮีขุนนางผู้ใหญ่เห็นสองอัครมหาเสนาบดี ประพฤติการอันไม่ควรประพฤติ จึงเอาเนื้อความไปกราบทูลฮ่องเต้ว่า
“...........ทุกวันนี้ลิฉุยกุยกีตั้งตัวเป็นใหญ่ ว่าราชการมิได้อยู่ในยุติธรรม ทำการหยาบช้าต่อพระองค์ ข้าพเจ้าเห็นว่าโจโฉมีสติปัญญากล้าหาญ แล้วมีทหารอยู่ประมาณสามสิบหมื่น ทั้งทหารมีฝีมือก็เป็นอันมาก บัดนี้เป็นใหญ่อยู่ฝ่ายหัวเมืองตะวันออก ถ้าได้โจโฉเข้ามาทำราชการในเมืองหลวง เห็นจะปราบปรามเหล่าศัตรูราชสมบัติได้ บ้านเมืองก็จะอยู่เป็นสุขสืบไป..........”
พระเจ้าเหี้ยนเต้ก็ทรงพระกันแสงแล้วตรัสว่า
“...........ทุกวันนี้เรามีความทุกข์เป็นอันมาก แต่ออกปากมิได้ ถ้าได้ผู้มีสติปัญญากล้าหาญ มาล้างศัตรูเราเสียได้ เราจึงจะมีความสบาย.........”
เอียวปิวก็ทูลว่าตนจะคิดอุบายให้ลิฉุยกับกุยกีเกิดผิดใจกันจนรบพุ่งฆ่าฟันกันตาย แล้วจึงมีหนังสือรับสั่งให้โจโฉยกทหารเข้ามา ปราบปรามพวกเหล่าร้ายให้หมดสิ้นไป พระองค์ก็จะได้มีความสุข ฮ่องเต้ก็ทรงพระอักษรมอบให้เอียวปิวไว้ ถ้าเกิดเหตุเมื่อใด ให้ทหารเอาหนังสือนี้ไปให้โจโฉ ตามที่ว่าไว้
ขุนนางผู้เฒ่าจะดำเนินกลอุบายประการใด จึงจะทำให้เสือร้ายสองตัวขบกัดกันเองได้ ก็คงจะต้องรอดูต่อไป.
#########
ศัตรูราชสมบัติ ๒๑ ก.พ.๕๗
ศัตรูราชสมบัติ
“ เล่าเซี่ยงชุน “
ลิฉุยกับกุยกีได้ว่าราชการแทนพระเจ้าเหี้ยนเต้ ซึ่งทรงพระเยาว์อยู่ไม่นานก็ทำการกำเริบหยาบช้าต่าง ๆ ให้อาณาประชาราษฎรเดือดร้อน เช่นเดียวกับที่ตั๋งโต๊ะนายเก่าได้ทำมา และ กุยกีก็เอาเงินทองไปติดสินบนขันทีที่รับใช้ใกล้ชิดฮ่องเต้ ให้เป็นหูเป็นตาคอยรายงานว่าฮ่องเต้จะคิดดีร้ายแก่พวกตนประการใดบ้าง
พระเจ้าเหี้ยนเต้นั้นก็ปล่อยให้ข้าราชการและขุนนางในเมืองหลวง อยู่ในบังคับบัญชาของลิฉุยกับกุยกีสิ้น ทั้งสองจึงให้หาจูฮีขุนนางนอกราชการ ซึ่งเคยเป็นแม่ทัพไปปราบปรามโจรโพกผ้าเหลือง แต่สมัยพระเจ้าเลนเต้ เข้ามาเป็นขุนนางผู้ใหญ่ที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน
อยู่มาไม่นานม้าใช้ก็เข้ามาแจ้งว่า ม้าเท้ง เจ้าเมืองเสเหลียง กับ หันซุย เจ้าเมืองเป๊งจิ๋ว ยกทัพจากสองหัวเมืองประมาณสิบสองหมื่น จะมาตีเมืองเตียงฮัน ทั้งสี่นายก็หารือกับ กาเซี่ยงที่ปรึกษาว่าจะทำประการใด กาเซี่ยงก็แนะนำว่า
“...........ม้าเท้ง หันซุยยกมานั้นเป็นทางไกลกันดาร เราจะรักษาหน้าที่ไว้ให้ยกเข้ามาล้อมถึงเชิงกำแพง ถ้าเห็นว่าขาดเสบียงลงแล้ว จึงให้ยกทหารออกโจมตี ก็จะจับม้าเท้งกับหันซุยได้โดยง่าย.........”
ลิบ้องกับอ่องหอง ขุนนางที่เคยเปิดประตูเมืองให้ลิฉุย ก็อาสาขอทหารหมื่นหนึ่งยกออกไปรบกับม้าเท้งและหันซุย กาเซี่ยงก็ว่าซึ่งจะยกไปนั้นเห็นจะเสียทีเป็นมั่นคง ลิบ้องจึงว่า
“.........ถ้าเราสองคนออกไปไม่ได้ศรีษะม้าเท้งกับหันซุยเข้ามา ท่านจงตัดศรีษะเรานี้แทนเถิด ถ้าได้ศรีษะนายทัพทั้งสองมา ท่านจงตัดศรีษะท่านให้แก่เราด้วย.........”
ลิฉุยก็เห็นด้วย กาเซี่ยงจึงว่า
“..........ลิบ้องอ่องหองจะอาสาออกไปรบก็ตามเถิด แต่เขาเจียวจิดนั้น ทางไกลเมืองหลวงประมาณสองพันเส้น อยู่ฝ่ายตะวันตกมีทางจำเพาะเดินซอกเขา ขอให้เตียวเจหวนเตียวคุมทหารไปซุ่มอยู่ตำบลนั้นให้จงมาก ภายหลังถ้าลิบ้องอ่องหองเสียทีมาประการใด ก็จะได้ช่วย....”
ลิฉุยกุยกีก็ไม่เห็นด้วย และให้ลิบ้องอ่องหองคุมทหารหมื่นห้าพัน ยกออกไปทางประมาณสองพันเส้น จึงพบกองทัพม้าเท้งและได้เข้ารบพุ่งกันเป็นสามารถ ทั้งลิบ้องและอ่องหอง ก็ถูกม้าเฉียว บุตรคนโตของม้าเท้งอายุเพียงสิบแปดปีฆ่าตายทั้งคู่ เมื่อม้าใช้นำความมาแจ้งให้ทราบ ลิฉุยกุยกีก็คิดว่ากาเซี่ยงว่านั้นชอบแล้ว เรามิได้ทำตามคำจึงเสียทหารไปในครั้งนี้ และแต่นั้นมาทั้งสองก็นับถือเชื่อฟังกาเซี่ยง แล้วให้จัดแจงค่ายคูประตูหอรบ เกณฑ์ทหารขึ้นรักษาหน้าที่เชิงเทินพร้อมมั่นคงทุกด้าน
ม้าเท้งกับหันซุยก็ยกทหารเข้ามาล้อมเมืองเตียงฮันไว้ แต่ล้อมอยู่สองเดือนก็ไม่สามารถตีหักเอาเมืองได้ ทหารในกองทัพก็ขาดเสบียงข้าวปลาอาหารอิดโรยลง
ขณะนั้นคนสนิทของม้าฮูก็มาบอกความแก่ลิฉุยกุยกีว่า
“...........ม้าฮูนายข้าพเจ้าคบคิดกับตงเซียว เลาเฉียรับเป็นไส้ศึก ม้าเท้งจึงยกมาทำการสงคราม...........”
ลิฉุยจึงให้ทหารไปจับตัวไส้ศึกทั้งสามกับบุตรภรรยาพี่น้องมาประหารเสียสิ้น แล้ว ตัดศรีษะตัวนายเสียบประจานไว้บนเชิงเทิน ให้ข้าศึกเห็น ม้าเท้งกับหันซุยเห็นว่าความลับแตกแล้ว จึงถอยทัพกลับ ลิฉุยจึงให้เตียวเจยกทหารตามกองทัพม้าเท้งไปทางหนึ่ง ให้หวนเตียวยกทหารตามกองทัพหันซุยไปอีกทางหนึ่ง แต่ก็ตามไม่ทันต้องกลับมา
ในกองทหารของเตียวเจนั้น มีลิเบียดหลานของลิฉุยไปด้วย ก็กลับมารายงานลิฉุยผู้อาว่า เมื่อหวนเตียวตามม้าเท้งไปทันที่เขาตันฉองนั้น หัยซุยกับหวนเตียวได้พูดจากัน เพราะเป็นชาวบ้านเดียวกันมาก่อน แล้วหวนเตียวก็ปล่อยให้ม้าเท้งนำทหารกลับเมืองเป๊งจิ๋วไป ลิฉุยก็โกรธจะให้ทหารไปจับตัวหวนเตียวมาชำระ กาเซี่ยงก็ห้ามไว้ และแนะอุบายให้ว่า
“...........บัดนี้บ้านเมืองยังมิสงบ ซึ่งจะให้ทหารออกไปจับหวนเตียว เห็นว่า หวนเตียวจะไม่ยอมให้จับโดยง่าย ก็จะเกิดการรบพุ่งกันขึ้นอีก ขอให้แต่งคนออกไปบอกแก่เตียวเจและหวนเตียวโดยดีว่า ซึ่งยกไปตามม้าเท้งและหันซุยไม่ทันนั้นก็แล้วไปเถิด บัดนี้เราแต่งโต๊ะเชิญขุนนางทั้งปวงมาเสพสุรา จึงให้หาเตียวเจหวนเตียวมากินโต๊ะด้วย ถ้าเตียวเจหวนเตียวเข้ามากินโต๊ะแล้วจึงค่อยจับเอา การจึงจะไม่วุ่นวาย..........”
ลิฉุยก็เห็นด้วย จึงให้คนไปเชิญสองนายทหารมาร่วมโต๊ะกินเลี้ยงกับขุนนางทั้งปวง ฉลองชัยที่ข้าศึกยกกองทัพถอยไป เมื่อเสพสุราอยู่นั้น ลิฉุยจึงว่าแก่หวนเตียวว่า
“..............เราให้ยกทหารไปตามจับหันซุย แลตัวมิได้ทำตามคำเรา เอาน้ำใจไปแผ่เผื่อกับหันซุยนั้น ตัวจะคิดร้ายแก่เราหรือ..........”
หวนเตียวได้ยินดังนั้นก็ตกใจ ยังมิทันตอบประการใด ทหารเพชรฆาตก็ลากเอาตัวหวนเตียวไปประหารเสีย แล้วตัดศรีษะเอามาให้ลิฉุยดู เตียวเจเห็นดังนั้นยังมิรู้เหตุประการใด ก็ตกใจหมอบลงข้างโต๊ะ ลิฉุยก้เข้าไปประคองแล้วว่า
“...........หวนเตียวนั้นเอาใจออกห่างเรา คิดกับหันซุยจะทำร้ายเรา ท่านหาความผิดมิได้อย่าตกใจกลัวเลย..........”
แล้วก็ยกกองทหารที่เคยขึ้นกับหวนเตียว ให้แก่เตียวเจ และให้ยกออกไปรักษาเมืองฮองหลงอยู่ดังแต่ก่อน ขุนนางทั้งปวงก็ยิ่งเกรงกลัวลิฉุยกุยกีขึ้นเป็นอันมาก กาเซี่ยงก็แนะนำให้ทั้งสองเกลี้ยกล่อมเอาใจขุนนางนายทหารแลราษฎรทั้งปวงให้มีน้ำใจรัก ทั้งสองก็มีอำนาจมากขึ้นจะทำการสิ่งใดไม่มีผู้ขัดขวาง
ต่อมามีหนังสือบอกมาจากเมืองเซียงจิ๋วว่า มีโจรโพกผ้าเหลืองประมาณสามสิบสี่สิบหมื่น เที่ยวทำร้ายอาณาประชาราษฎร สองมหาอำมาตย์ก็ปรึกษากับขุนนางทั้งปวงว่า
“..........ซึ่งเกิดโจรทำอันตรายหัวเมืองดังนี้ เราจะคิดประการใด จึงจะบำราบโจรได้.........”
จูฮีที่ปรึกษาก็แนะว่า
“......... ซึ่งเกิดโจรขึ้น ณ แดนเมืองเซียงจิ๋วนั้น ข้าพเจ้าเห็นแต่โจโฉผู้เดียวมีฝีมือ จะไปปราบโจรฝ่ายตะวันออกได้.........”
ลิฉุยก็ถามว่าโจโฉนั้นอยู่แห่งใด จูฮีจึงบอกว่า
“...........โจโฉนั้นได้มาทำการกับอ้วนเสี้ยวเมื่อครั้งรบตั๋งโต๊ะ บัดนี้กลับไปอยู่เมืองตงกุ๋น มีทหารอยู่เป็นอันมาก ขอให้มีหนังสือรับสั่งพระเจ้าเหี้ยนเต้ออกไป ให้โจโฉยกออกไปปราบโจร ณ แดนเมืองเซียงจิ๋ว เห็นจะได้โดยง่าย.........”
ผู้ว่าราชการทั้งสองก็เห็นชอบด้วย จึงแต่งหนังสือรับสั่งสองฉบับ ให้เปาสิ้นเจ้าเมืองปักเป๋ง ยกทหารไปเข้าด้วยโจโฉ และอีกฉบับหนึ่งให้โจโฉกับเปาสิ้น ยกทหารไปปราบโจรที่เมืองเซียงจิ๋วให้ราบคาบโดยเร็ว
เปาสิ้นกับโจโฉก็ร่วมมือกันนำทหารไปปราบโจรโพกผ้าเหลือง ที่ตำบลซิวสุนแดนเมืองเซียงจิ๋ว แต่เปาสิ้นโชคร้ายถูกพวกโจรฆ่าตายในที่รบ ส่วนโจโฉนั้นได้ชัยชนะ จับเชลยพวกโจรได้และที่ยอมอ่อนน้อมด้วยประมาณสี่ห้าหมื่น แล้วก็ยกกองทหารไปปราบโจรในตำบล อื่น ๆ อีกประมาณสองเดือน ได้พวกโจรมาเข้าด้วยทั้งเก่าใหม่ประมาณสามสิบหมื่น และบรรดาชาวบ้านชาวเมืองที่ถูกพวกโจรยึดครองประมาณร้อยหมื่น โจโฉก็คัดเลือกชายฉกรรจ์เอาไว้เป็นทหารอีกยี่สิบหมื่นเศษ ส่วนชายชรากับหญิงและเด็กนั้น ให้ไปทำมาหากินอยู่ตามภูมิลำเนาเดิม แล้วก็ยกไปตั้งอยู่ที่เมืองกุนจิ๋ว เกลี้ยกล่อมผู้คน และหาผู้มีสติปัญญามาเป็นที่ปรึกษา มีผู้เข้ามาเป็นสมัครพรรคพวกมากมาย
เมื่อโจโฉมีหนังสือเข้ามากราบทูลฮ่องเต้ ว่าได้ปราบปรามพวกโจรให้สงบลงได้แล้ว ฮ่องเต้ก็มีรับสั่งตั้งให้โจโฉเป็นใหญ่กว่าหัวเมืองตะวันออกทั้งปวง
และลิฉุยก็ตั้งตัวเป็นผู้สำเร็จราชการฝ่ายทหาร กุยกีนั้นเป็นผู้สำเร็จราชการฝ่าย พลเรือน ทั้งสองก็มีใจกำเริบขึ้น มิได้เกรงพระเจ้าเหี้ยนเต้แลขุนนางทั้งปวง ทำการหยาบช้าต่าง ๆ เหมือนครั้งตั๋งโต๊ะ
ฝ่ายเอียวปิวกับจูฮีขุนนางผู้ใหญ่เห็นสองอัครมหาเสนาบดี ประพฤติการอันไม่ควรประพฤติ จึงเอาเนื้อความไปกราบทูลฮ่องเต้ว่า
“...........ทุกวันนี้ลิฉุยกุยกีตั้งตัวเป็นใหญ่ ว่าราชการมิได้อยู่ในยุติธรรม ทำการหยาบช้าต่อพระองค์ ข้าพเจ้าเห็นว่าโจโฉมีสติปัญญากล้าหาญ แล้วมีทหารอยู่ประมาณสามสิบหมื่น ทั้งทหารมีฝีมือก็เป็นอันมาก บัดนี้เป็นใหญ่อยู่ฝ่ายหัวเมืองตะวันออก ถ้าได้โจโฉเข้ามาทำราชการในเมืองหลวง เห็นจะปราบปรามเหล่าศัตรูราชสมบัติได้ บ้านเมืองก็จะอยู่เป็นสุขสืบไป..........”
พระเจ้าเหี้ยนเต้ก็ทรงพระกันแสงแล้วตรัสว่า
“...........ทุกวันนี้เรามีความทุกข์เป็นอันมาก แต่ออกปากมิได้ ถ้าได้ผู้มีสติปัญญากล้าหาญ มาล้างศัตรูเราเสียได้ เราจึงจะมีความสบาย.........”
เอียวปิวก็ทูลว่าตนจะคิดอุบายให้ลิฉุยกับกุยกีเกิดผิดใจกันจนรบพุ่งฆ่าฟันกันตาย แล้วจึงมีหนังสือรับสั่งให้โจโฉยกทหารเข้ามา ปราบปรามพวกเหล่าร้ายให้หมดสิ้นไป พระองค์ก็จะได้มีความสุข ฮ่องเต้ก็ทรงพระอักษรมอบให้เอียวปิวไว้ ถ้าเกิดเหตุเมื่อใด ให้ทหารเอาหนังสือนี้ไปให้โจโฉ ตามที่ว่าไว้
ขุนนางผู้เฒ่าจะดำเนินกลอุบายประการใด จึงจะทำให้เสือร้ายสองตัวขบกัดกันเองได้ ก็คงจะต้องรอดูต่อไป.
#########