เสี้ยวสามก๊ก
ฤทธิ์เดชขันที
เล่าเซี่ยงชุน
ขันทีคือผู้ชายที่ถูกตัดอวัยวะเพศ จนไม่สามารถสืบพันธุ์ได้ ในพงศาวดารจีนแทบทุกเรื่อง จะกล่าวถึงบุคคลพวกนี้ ซึ่งมีหน้าที่ราชการฝ่ายใน รับใช้ฮ่องเต้ ฮองเฮา และปกครองนางสนมกำนัลทั้งปวง เพราะเป็นที่เชื่อใจได้ว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับสตรี ที่มีอยู่นับพันในพระราชวัง ขันทีซึ่งไม่มีความรู้สึกทางเพศนั้น จึงมักจะมีความคิดทะเยอทะยาน อยากเป็นใหญ่ และมีความอิจฉาริษยาอยู่เป็นประจำ ดังนั้นบทบาทของขันทีในเรื่องจีนทั้งหลาย จึงหาคนดีได้น้อยนัก ส่วนใหญ่จะเป็นตัวก่อเหตุให้บ้านเมืองวุ่นวายอยู่เสมอ ไม่เว้นแม้แต่เรื่องสามก๊ก
ขันทีคนแรกที่ปรากฏขึ้นก็คือ เทาเจียด ในรัชสมัยของพระเจ้าเลนเต้ เป็นขันทีผู้ใหญ่กับลูกน้องอีกเก้าคน เห็นว่าฮ่องเต้รักใคร่ไว้วางพระทัย จึงคิดกันกระทำการหยาบช้าต่าง ๆ บรรดาราชกิจทั้งหลายนั้น ก็ว่ากล่าวเอาผิดเป็นชอบ ขุนนางแลอาณาประชาราษฎรได้รับความเดือดร้อนเป็นอันมาก ขุนนางผู้ใดที่เป็นพรรคพวกก็ยกย่องแต่งตั้ง ให้มีตำแหน่งใหญ่ขึ้น ผู้ใดที่ไม่ยอมอ่อนน้อมด้วย ก็หาเหตุให้ถอดจากตำแหน่ง หรือไม่ก็ให้พรรคพวกเอาตัวไปฆ่าเสีย และพระเจ้าเลนเต้ก็เชื่อถือถ้อยคำของขันทีเหล่านี้ทุกประการ ราชการแผ่นดินแลกฎหมายบ้านเมืองก็ผันแปรไป จึงเกิดโจรผู้ร้ายขึ้นเป็นอันมาก กลุ่มที่ใหญ่ที่สุดก็คือกลุ่มโจรโพกผ้าเหลือง
พระเจ้าเลนเต้ก็ให้นายทหารเอกสามนายคุมทหารออกไปปราบปราม และออกประกาศไปตามหัวเมือง รับอาสาสมัครผู้มีฝีมือเข้มแข็งกล้าหาญ ให้ช่วยกันจับโจรโพกผ้าเหลือง ได้แล้วจะปูนบำเหน็จรางวัลและตั้งให้เป็นขุนนางด้วย ก็มีผู้อาสาพาพรรคพวกมาช่วยทหารหลวงปราบปรามพวกโจรกันหลายกลุ่ม รวมทั้ง เล่าปี่ กวนอู เตียวหุย โจโฉ ตั๋งโต๊ะ และซุนเกี๋ยน ด้วย
ในการนี้ เตียวเหยียง ขันทีคนหนึ่งในสิบคนนั้น ก็เป็นหัวหน้าหาประโยชน์จากพวกที่ไปปราบปรามโจรโพกผ้าเหลือง ถ้าผู้ใดมีทรัพย์เอาข้าวของเงินทองมาให้ ก็นำความกราบทูลฮ่องเต้ให้พระราชทานบำเหน็จตามความชอบ ถ้าผู้ใดไม่มีทรัพย์มาให้ ก็ไม่กราบทูลหรือยุยงให้ฮ่องเต้ถอดออกเสียจากตำแหน่งก็มี
ขุนนางเก่าแก่คนหนึ่งชื่อ เล่าโต๋ เคยเป็นพระพี่เลี้ยงได้ทำนุบำรุงสั่งสอนฮ่องเต้มาแต่ก่อน กราบทูลเรื่องที่ขันทีทั้งสิบคนประพฤติผิดคิดมิชอบ พวกขันทีก็หาว่าเล่าโต๋ริษยาพวกตน ฮ่องเต้จึงให้เอาเล่าโต๋ไปประหารเสีย ตันต๋ำขุนนางผู้ใหญ่จึงทูลว่า
“……..ขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อย ทั้งอาณาประชาราษฎรในเมืองแลหัวเมือง ได้ความเดือดร้อนเป็นอันมาก มีใจชังจะใคร่กินเนื้อขันทีสิบคนเสีย แลพระองค์มีพระทัยรักขันทีสิบคน ดุจหนึ่งพระราชวงศ์ผู้ใหญ่ แลจะได้มีความชอบสิ่งใดหามิได้ พระองค์ตั้งให้เป็นขุนนางผู้ใหญ่นั้นไม่สมควร อนึ่งฮองสีขันทีก็คิดการขบถ เป็นไส้ศึกเข้าด้วยพวกโจรโพกผ้าเหลือง มีผู้มากราบทูลพระองค์ ก็มิได้ชำระให้เห็นเท็จจริง พระองค์แกล้งนิ่งเสีย จะให้ราชสมบัติเป็นอันตราย…..”
พระเจ้าเลนเต้ก็ไม่เชื่อฟัง ตันต๋ำน้อยใจจึงเอาศีรษะชนแท่นที่ประทับของฮ่องเต้ จนศีรษะแตกโลหิตไหล ฮ่องเต้เลยสั่งให้เอาตัวไปขังไว้ทั้งสองคน แต่ในตอนดึกคืนนั้นพวกขันทีก็ใช้ให้ลูกน้องแอบไปฆ่าเสียทั้งคู่
ต่อมาอีกไม่นานพระเจ้าเลนเต้ก็ประชวร และสิ้นพระชนม์ลงโดยไม่ได้แต่งตั้ง รัชทายาท โฮจิ๋นผู้สำเร็จราชการจึงยก หองจูเปียน ราชบุตรองค์โตที่เกิดจากนางโฮเฮา น้องสาวของตนขึ้นเป็นฮ่องเต้ แต่นางตังไทฮอมารดาเลี้ยงของพระเจ้าเลนเต้ จะให้ หองจูเหียบ ราชบุตรองค์รอง ที่เกิดจากนางอองบีหยินสนมเอกขึ้นเป็นบ้าง จึงเกิดการแบ่งพรรคแบ่งพวกขึ้นในพระราชวัง ขันทีทั้งสิบคนก็เข้าข้างนางตังไทฮอ แต่พอโฮจิ๋นหาเหตุฆ่านางตังไทฮอเสีย ขันทีทั้งสิบคนก็เข้าไปเป็นพวกนางโฮเฮา โฮจิ๋นจึงไม่สามารถกำจัดขันทีพวกนี้ลงได้
โฮจิ๋นก็ปรึกษากับอ้วนเสี้ยวว่าจะทำประการใดดี อ้วนเสี้ยวก็แนะนำให้มีหนังสือไปถึงหัวเมืองให้ยกทัพเข้ามา ประกาศว่าจะจับตัวขันทีทั้งสิบคนมาฆ่าเสีย นางโฮเฮาคงจะยอมส่งตัวขันทีเหล่านั้นให้โดยดี โฮจิ๋นก็เห็นชอบด้วย แม้ว่าจะมีขุนนางคัดค้านมากมายหลายคน
เมื่อตั๋งโต๊ะยกกองทัพมาถึงลกเอี๋ยงเมืองหลวง และมีหนังสือกราบทูลฮ่องเต้ว่าจะเข้ามาจับตัวขันทีทั้งสิบ เตียวเหยียงจึงคบคิดกับพวก ไปหานางโฮเฮาทูลว่า
“…….โฮจิ๋นแอบรับสั่งให้หากองทัพหัวเมืองเข้ามา จะจับเอาข้าพเจ้าทั้งสิบไปฆ่าเสีย ข้าพเจ้าหาที่พึ่งมิได้ เห็นแต่พระองค์จะช่วยชีวิตข้าพเจ้าได้ …….”
นางโฮเฮาจึงบอกให้ออกไปอ้อนวอนงอนง้อโฮจิ๋นเอง โฮจิ๋นก็คงจะมีเมตตาไม่ทำอันตราย เตียวเหยียงก็บ่ายเบี่ยงว่า
“……..โฮจิ๋นนั้นมีใจชังข้าพเจ้าทั้งสิบคนนัก ซึ่งจะให้ข้าพเจ้าออกไปหานั้น เหมือนหนึ่งเอาเนื้อไปสู่เสือ อันจะมีชีวิตคืนมานั้นหามิได้ ถ้าพระองค์เมตตาข้าพเจ้าทั้งนี้ ขอให้เชิญโฮจิ๋นเข้ามา ตรัสขอชีวิตข้าพเจ้าติอพระโอษฐ์ ถึงมาตรว่าโฮจิ๋นจะไม่เมตตาแล้ว ข้าพเจ้าก็จะตายอยู่ต่อหน้าที่นั่งพระองค์……….”
นางโฮเฮาก็หลงคารมของขันทีตัวแสบ จึงเรียกตัวโฮจิ๋นเข้ามาเฝ้าข้างใน โฮจิ๋น ก็เข้าไปในพระราชวัง โดยมีอ้วนเสี้ยวกับโจโฉแต่งตัวใส่เกราะถือกระบี่ติดตามไปด้วย แต่พวกขันทีไม่ยอมให้ผู้ถืออาวุธเข้าไปข้างใน ทั้งสองจึงต้องรออยู่หน้าประตู
พอโฮจิ๋นเข้าไปถึงประตูวังชั้นใน เตียวเหยียงก็พาพวกห้าสิบคนเข้าล้อมไว้ และว่า
“…….ตัวแต่ก่อนนั้นก็เป็นผู้น้อยอยู่ เราได้ช่วยทำนุบำรุงว่ากล่าวพิดทูล ตัวจึงได้เป็นผู้ใหญ่ขึ้นถึงเพียงนี้ แลตัวกำเริบให้คนไปลอบฆ่านางตังไทฮอ ซึ่งเป็นมารดาพระเจ้าเลนเต้ อันหาความผิดมิได้นั้นเสีย แล้วตัวแอบรับสั่งออกไปหาหัวเมืองทั้งปวง ยกทหารเข้ามาจะจับเราซึ่งมีคุณแก่ตัว ฆ่าเสียนั้น ตัวหามีกตัญญูต่อเราไม่……..”
โฮจิ๋นหาที่พึงมิได้ และตกอยู่ในวงล้อมของพวกขันที จึงถูกพวกขันทีกลุ้มรุม ฆ่าตาย แล้วถูกตัดศีรษะโยนออกมาให้อ้วนเสี้ยวกับโจโฉ ที่รออยู่หน้าประตู และประกาศว่า
“……โฮจิ๋นนี้คิดขบถเราฆ่าเสียแล้ว เอาแต่ศีรษะไปเถิด ผู้ใดซึ่งมิได้ร่วมคิดเป็นขบถด้วยนั้น ก็ให้เร่งกลับไปที่อยู่ อย่ามาวุ่นวายเลย…….”
อ้วนเสี้ยวกับโจโฉจึงคุมทหารจุดไฟเผาประตู และพังเข้าไปจับขันทีตัวการฆ่าเสียทั้งหมด ตัวเตียวเหยียงนั้นหนีไปจนมุมอยู่ริมแม่น้ำ จึงตัดสินใจโดดน้ำตายไป
แต่ก็สายไปเสียแล้ว ศีรษะของโฮจิ๋นไม่สามารถจะต่อติดกับตัวได้ดังเดิม แล้ว ตั๋งโต๊ะก็ยกทหารเข้าเมืองหลวงได้ และจัดการปกครองอย่างโหดร้าย จนสองทหารเอกต้องหนีเอาตัวรอดไป และเกิดเป็นสงครามชิงความยิ่งใหญ่ต่อมาอีกหลายสิบปี
สุดท้ายตัวเอกเหล่านั้นก็ถึงแก่ความตายไปหมดสิ้น พระเจ้าเล่าเสี้ยนราชบุตรของพระเจ้าเล่าปี่ ก็ได้เป็นฮ่องเต้ของจ๊กก๊กปกครองแคว้นเสฉวน และมีเกียงอุยเป็นทหารเอก ยกทัพไปทำสงครามกับวุยก๊ก ซึ่งเชื้อสายของโจโฉเป็นฮ่องเต้อยู่ที่เมืองลกเอี๋ยง ต่อมาอีกหลายครั้งก็ยังไม่สามารถเอาชนะได้
พระเจ้าเล่าเสี้ยนมีขันทีคนหนึ่งชื่อ ฮุยโฮ ซึ่งรักใคร่เชื่อถือไว้วางพระทัยเป็นอันมาก และทรงเสพสุราทุกวันมิได้ขาด กับหลงนางสนมกรมใน มิได้นำพาที่จะออกว่าราชการบ้านเมือง บรรดาขุนนางที่มีสติปัญญาเคยทำราชการมาด้วยแต่ก่อน ต่างก็เสียใจพากันเอาตัวออกห่างถ้าผู้ใดมีสมบัติมากไปติดสินบนฮุยโฮแล้ว ก็ได้เป็นที่ขุนนางผู้ใหญ่ ราชการบ้านเมืองก็แปรปรวนไป มีแต่คนใหม่ ๆ ที่ประสมประสานกับฮุยโฮได้ ก็เข้ามาเป็นขุนนางอยู่เท่านั้น
เมื่อเกียงอุยยกทัพไปรบกับเตงงาย แม่ทัพของวุยก๊กเป็นครั้งที่หก ซึ่งเตงงายต้อง เพลี่ยงพล้ำเกือบเสียที จึงจัดคนเอาเงินทองแลพลอยแหวนกับสิ่งของที่ดีเป็นอันมาก ไปติดสินบนฮุยโฮ ให้ฮ่องเต้มีรับสั่งเรียกตัวกลับ โดยอ้างว่าเกียงอุยจะไปเข้าเป็นพวกวุยก๊ก ฮ่องเต้ก็หลงเชื่อมีรับสั่งให้เกียงอุยกลับมาเฝ้า แต่ฮ่องเต้กลับตรัสว่า เห็นเกียงอุยยกทัพไปช้านานนัก เกรงว่าไพร่พลจะเดือดร้อน จึงให้กลับมาพักผ่อนบำรุงกำลังทหารก่อน เกียงอุยก็ทูลว่า
“…….ข้าพเจ้าไปทำการครั้งนี้ก็ได้ท่วงทีเป็นอันมาก หมายว่าจะได้ความชอบอยู่แล้ว ซึ่งต้องถอยทัพมานี้ เห็นจะเป็นกลอุบายของเตงงายคิดอ่านทำ …..ตัวข้าพเจ้านี้ตั้งใจจะทำการสนองพระคุณให้สิ้นศัตรูจงได้ ควรหรือพระองค์มาเชื่อฟังอ้ายคนเล็กน้อยปากตลาด คิดสงสัยข้าพเจ้าเปล่า ๆ …….” ฮ่องเต้ก็ไม่สามารถจะโต้แย้งได้ เกียงอุยจึงออกไปตั้งบำรุงทหารอยู่ที่เมืองฮันต๋ง
ต่อมาเกียงอุยก็ยกทัพไปตีวุยก๊กอีก พอกำลังรบติดพันอยู่ เกิดมีขุนนางคนหนึ่งชื่อเงียมอูเพิ่งมาเป็นขุนนางใหม่อยากจะมีความชอบ จึงติดสินบนฮุยโฮของให้กราบทูลฮ่องเต้ ให้ทรงเปลี่ยนแม่ทัพ เอาตนเองไปแทนเกียงอุย ฮ่องเต้ก็เชื่อฮุยโฮเรียกเกียงอุยกลับมาอีก เกียงอุย พร้อมด้วยนายทหารสิบคน ก็เข้าไปเฝ้าฮ่องเต้ ซึ่งเสพสุราอยู่กับฮุยโฮที่ตำหนักในสวน กราบทูลว่า
“……..ครั้งนี้ข้าพเจ้าไปทำการศึกอยู่ที่เขากิสาน ก็จวนจะได้ชัยชนะแก่ข้าศึกอยู่แล้ว……พระองค์มาเชื่อฟังถ้อยคำฮุยโฮ คิดการทะนงใจนัก เห็นจะเหมือนครั้งพระเจ้าเลนเต้ เมื่อมีขันทีสิบคนนั้น ขอพระองค์เร่งกำจัดอ้ายฮุยโฮเสียเถิด เมืองเสฉวนก็จะอยู่เย็นเป็นสุข แลเมือง วุยก๊กนั้นก็จะได้โดยง่าย…….”
ฮ่องเต้ก็ตรัสว่า
“……….อ้ายฮุยโฮนี้เป็นแต่ขันทีเราใช้อยู่ข้างใน ท่านว่ามันทะนงใจนี้เราไม่เห็นด้วย ท่านจำไม่ได้หรือเมื่อครั้งตั๋งอุ๋นมีความริษยา กล่าวโทษมันนั้น เราก็คิดขัดใจอยู่ บัดนี้ท่านมาว่าอีกเล่า เราหาเชื่อฟังท่านไม่……”
แต่ฮ่องเต้ก็เรียกฮุยโฮให้เข้ามาคำนับเกียงอุย ฮุยโฮก็คำนับเกียงอุยแล้วร้องไห้ว่า
“……..อันตัวข้าพเจ้านี้ ก็เป็นแต่คนใช้ข้างใน หาได้องอาจล่วงไปว่ากล่าวราชการไม่ ขอท่านอย่าได้เชื่อฟังคำคนยุยงเลย อันชีวิตข้าพเจ้านี้ก็จะฝากไว้แก่ท่าน……..”
ว่าแล้วก็ซบหน้าร้องไห้อยู่ เกียงอุยก็ใจอ่อนจึงคำนับลาฮ่องเต้กลับไป แต่ก็เกรงว่าฮุยโฮจะอาฆาตคอยทำร้ายภายหลัง จึงกราบทูลขอลาพาทหารแปดหมื่น ออกไปตั้งกองสะสมเสบียงอยู่ที่ตำบลหลงเส หาหนทางทำศึกกับวุยก๊กต่อไป
คราวนี้ฝ่ายวุยก๊กเห็นได้ที จึงยกกองทัพใหญ่สองกองเข้าตีเมืองเสฉวน โดยที่ เกียงอุยถูกกันไว้ ไม่สามารถกลับมาช่วยทัน ได้แต่ส่งหนังสือมากราบทูลแนะนำฮ่องเต้ ให้เตรียมป้องกันเมือง พระเจ้าเล่าเสี้ยนได้ข่าวศึกก็เรียกฮุยโฮมาปรึกษา ฮุยโฮก็ไปเชิญยายท้าวมาทรงเจ้าเข้าผี แล้วถามถึงการศึกสงคราม ยายท้าวก็ว่า
“……..ซึ่งข้าศึกยกมานี้หาจริงไม่ ท่านอย่าคิดวิตกเลย อันบ้านเมืองของเรานี้จะอยู่เย็นเป็นสุข หาเป็นอันตรายไม่ นานไปเมืองวุยก๊กจะมานบนอบแก่ท่าน……”
ฮ่องเต้ก็ดีพระทัย ไม่สนใจกับหนังสือของเกียงอุย เอาแต่ชวนฮุยโฮเสพสุราต่อไป มิได้คิดการป้องกันข้าศึกเลย จนกองทัพของเตงงายเข้ามายึดเมืองเสฉวนได้ทั้งหมด ฮ่องเต้จึงต้องพาครอบครัวและขุนนางออกไปอ่อนน้อมต่อเตงงาย และเชิญเข้าไปในเมือง มอบทรัพย์สิ่งของทั้งปวงในท้องพระคลังให้แก่แม่ทัพของวุยก๊ก
เตงงายก็ตั้งให้พระเจ้าเล่าเสี้ยนเป็นที่ แพ้วกี๋จงกุ๋น ส่วนฮุยโฮนั้นก็หนีไปแอบซ่อนตัวอยู่นาน จนกระทั่งพระเจ้าเล่าเสี้ยนไปหาสุมาเจียว มหาอุปราชของวุยก๊กที่เมืองเตียงฮัน และถูกพาตัวไปเมืองลกเอี๋ยง สุมาเจียวก็ว่า
“……..ท่านนี้เป็นคนมิดีหาสติปัญญามิได้ เสพแต่สุรามิได้นำพากิจการบ้านเมือง ทำให้แผ่นดินฟั่นเฟือนเสีย จนอาณาประชาราษฎรได้ความเดือดร้อนดังนี้ มิควรนัก ชอบแต่ประหารชีวิตเสียจึงจะควร…….”
เล่าเสี้ยนก็ตกใจหน้าซีดสลด แต่ขุนนางทั้งปวงได้ขอโทษไว้ สุมาเจียวก็อนุญาต แล้วตั้งให้เป็นที่ อ่านลกก๋ง ประทานหญิงคนใช้ให้ร้อยหนึ่ง กับแพรอย่างดีหมื่นพับ แลเงินทองเป็นอันมาก แล้วตั้งขุนนางที่ตามมาด้วยนั้นเป็นขุนนางตามตำแหน่งอันสมควร กับจัดบ้านเรือนให้อยู่ตามประเพณี เจ้าประเทศราชทุกประการ เล่าเสี้ยนบุตรของเล่าปี่ จึงอยู่ด้วยความสุขต่อมาอีกนานกว่าจะสิ้นชีวิต
ส่วนฮุยโฮนั้น สุมาเจียวให้ทหารตามหาตัวมาลงโทษ ฐานเป็นคนชักชวนเจ้านายให้ประพฤติเสียประเพณีแผ่นดิน ให้ตัดมือตัดตีนพาตระเวนรอบเมือง มิให้ผู้ใดเอาเยี่ยงอย่าง แล้วประหารชีวิตเสีย
เรื่องของขันทีตัวร้ายกาจในยุคสามก๊ก จึงสิ้นสุดลงแต่เพียงนี้ ส่วนจะเป็นนิทัศน์หรืออุทาหรณ์สอนใจประการใดบ้างนั้น ก็สุดแล้วแต่วิจารณญาณอันดีของท่านเอง.
ฤทธิ์เดชขันที ๕ พ.ย.๕๙
ฤทธิ์เดชขันที
เล่าเซี่ยงชุน
ขันทีคือผู้ชายที่ถูกตัดอวัยวะเพศ จนไม่สามารถสืบพันธุ์ได้ ในพงศาวดารจีนแทบทุกเรื่อง จะกล่าวถึงบุคคลพวกนี้ ซึ่งมีหน้าที่ราชการฝ่ายใน รับใช้ฮ่องเต้ ฮองเฮา และปกครองนางสนมกำนัลทั้งปวง เพราะเป็นที่เชื่อใจได้ว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับสตรี ที่มีอยู่นับพันในพระราชวัง ขันทีซึ่งไม่มีความรู้สึกทางเพศนั้น จึงมักจะมีความคิดทะเยอทะยาน อยากเป็นใหญ่ และมีความอิจฉาริษยาอยู่เป็นประจำ ดังนั้นบทบาทของขันทีในเรื่องจีนทั้งหลาย จึงหาคนดีได้น้อยนัก ส่วนใหญ่จะเป็นตัวก่อเหตุให้บ้านเมืองวุ่นวายอยู่เสมอ ไม่เว้นแม้แต่เรื่องสามก๊ก
ขันทีคนแรกที่ปรากฏขึ้นก็คือ เทาเจียด ในรัชสมัยของพระเจ้าเลนเต้ เป็นขันทีผู้ใหญ่กับลูกน้องอีกเก้าคน เห็นว่าฮ่องเต้รักใคร่ไว้วางพระทัย จึงคิดกันกระทำการหยาบช้าต่าง ๆ บรรดาราชกิจทั้งหลายนั้น ก็ว่ากล่าวเอาผิดเป็นชอบ ขุนนางแลอาณาประชาราษฎรได้รับความเดือดร้อนเป็นอันมาก ขุนนางผู้ใดที่เป็นพรรคพวกก็ยกย่องแต่งตั้ง ให้มีตำแหน่งใหญ่ขึ้น ผู้ใดที่ไม่ยอมอ่อนน้อมด้วย ก็หาเหตุให้ถอดจากตำแหน่ง หรือไม่ก็ให้พรรคพวกเอาตัวไปฆ่าเสีย และพระเจ้าเลนเต้ก็เชื่อถือถ้อยคำของขันทีเหล่านี้ทุกประการ ราชการแผ่นดินแลกฎหมายบ้านเมืองก็ผันแปรไป จึงเกิดโจรผู้ร้ายขึ้นเป็นอันมาก กลุ่มที่ใหญ่ที่สุดก็คือกลุ่มโจรโพกผ้าเหลือง
พระเจ้าเลนเต้ก็ให้นายทหารเอกสามนายคุมทหารออกไปปราบปราม และออกประกาศไปตามหัวเมือง รับอาสาสมัครผู้มีฝีมือเข้มแข็งกล้าหาญ ให้ช่วยกันจับโจรโพกผ้าเหลือง ได้แล้วจะปูนบำเหน็จรางวัลและตั้งให้เป็นขุนนางด้วย ก็มีผู้อาสาพาพรรคพวกมาช่วยทหารหลวงปราบปรามพวกโจรกันหลายกลุ่ม รวมทั้ง เล่าปี่ กวนอู เตียวหุย โจโฉ ตั๋งโต๊ะ และซุนเกี๋ยน ด้วย
ในการนี้ เตียวเหยียง ขันทีคนหนึ่งในสิบคนนั้น ก็เป็นหัวหน้าหาประโยชน์จากพวกที่ไปปราบปรามโจรโพกผ้าเหลือง ถ้าผู้ใดมีทรัพย์เอาข้าวของเงินทองมาให้ ก็นำความกราบทูลฮ่องเต้ให้พระราชทานบำเหน็จตามความชอบ ถ้าผู้ใดไม่มีทรัพย์มาให้ ก็ไม่กราบทูลหรือยุยงให้ฮ่องเต้ถอดออกเสียจากตำแหน่งก็มี
ขุนนางเก่าแก่คนหนึ่งชื่อ เล่าโต๋ เคยเป็นพระพี่เลี้ยงได้ทำนุบำรุงสั่งสอนฮ่องเต้มาแต่ก่อน กราบทูลเรื่องที่ขันทีทั้งสิบคนประพฤติผิดคิดมิชอบ พวกขันทีก็หาว่าเล่าโต๋ริษยาพวกตน ฮ่องเต้จึงให้เอาเล่าโต๋ไปประหารเสีย ตันต๋ำขุนนางผู้ใหญ่จึงทูลว่า
“……..ขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อย ทั้งอาณาประชาราษฎรในเมืองแลหัวเมือง ได้ความเดือดร้อนเป็นอันมาก มีใจชังจะใคร่กินเนื้อขันทีสิบคนเสีย แลพระองค์มีพระทัยรักขันทีสิบคน ดุจหนึ่งพระราชวงศ์ผู้ใหญ่ แลจะได้มีความชอบสิ่งใดหามิได้ พระองค์ตั้งให้เป็นขุนนางผู้ใหญ่นั้นไม่สมควร อนึ่งฮองสีขันทีก็คิดการขบถ เป็นไส้ศึกเข้าด้วยพวกโจรโพกผ้าเหลือง มีผู้มากราบทูลพระองค์ ก็มิได้ชำระให้เห็นเท็จจริง พระองค์แกล้งนิ่งเสีย จะให้ราชสมบัติเป็นอันตราย…..”
พระเจ้าเลนเต้ก็ไม่เชื่อฟัง ตันต๋ำน้อยใจจึงเอาศีรษะชนแท่นที่ประทับของฮ่องเต้ จนศีรษะแตกโลหิตไหล ฮ่องเต้เลยสั่งให้เอาตัวไปขังไว้ทั้งสองคน แต่ในตอนดึกคืนนั้นพวกขันทีก็ใช้ให้ลูกน้องแอบไปฆ่าเสียทั้งคู่
ต่อมาอีกไม่นานพระเจ้าเลนเต้ก็ประชวร และสิ้นพระชนม์ลงโดยไม่ได้แต่งตั้ง รัชทายาท โฮจิ๋นผู้สำเร็จราชการจึงยก หองจูเปียน ราชบุตรองค์โตที่เกิดจากนางโฮเฮา น้องสาวของตนขึ้นเป็นฮ่องเต้ แต่นางตังไทฮอมารดาเลี้ยงของพระเจ้าเลนเต้ จะให้ หองจูเหียบ ราชบุตรองค์รอง ที่เกิดจากนางอองบีหยินสนมเอกขึ้นเป็นบ้าง จึงเกิดการแบ่งพรรคแบ่งพวกขึ้นในพระราชวัง ขันทีทั้งสิบคนก็เข้าข้างนางตังไทฮอ แต่พอโฮจิ๋นหาเหตุฆ่านางตังไทฮอเสีย ขันทีทั้งสิบคนก็เข้าไปเป็นพวกนางโฮเฮา โฮจิ๋นจึงไม่สามารถกำจัดขันทีพวกนี้ลงได้
โฮจิ๋นก็ปรึกษากับอ้วนเสี้ยวว่าจะทำประการใดดี อ้วนเสี้ยวก็แนะนำให้มีหนังสือไปถึงหัวเมืองให้ยกทัพเข้ามา ประกาศว่าจะจับตัวขันทีทั้งสิบคนมาฆ่าเสีย นางโฮเฮาคงจะยอมส่งตัวขันทีเหล่านั้นให้โดยดี โฮจิ๋นก็เห็นชอบด้วย แม้ว่าจะมีขุนนางคัดค้านมากมายหลายคน
เมื่อตั๋งโต๊ะยกกองทัพมาถึงลกเอี๋ยงเมืองหลวง และมีหนังสือกราบทูลฮ่องเต้ว่าจะเข้ามาจับตัวขันทีทั้งสิบ เตียวเหยียงจึงคบคิดกับพวก ไปหานางโฮเฮาทูลว่า
“…….โฮจิ๋นแอบรับสั่งให้หากองทัพหัวเมืองเข้ามา จะจับเอาข้าพเจ้าทั้งสิบไปฆ่าเสีย ข้าพเจ้าหาที่พึ่งมิได้ เห็นแต่พระองค์จะช่วยชีวิตข้าพเจ้าได้ …….”
นางโฮเฮาจึงบอกให้ออกไปอ้อนวอนงอนง้อโฮจิ๋นเอง โฮจิ๋นก็คงจะมีเมตตาไม่ทำอันตราย เตียวเหยียงก็บ่ายเบี่ยงว่า
“……..โฮจิ๋นนั้นมีใจชังข้าพเจ้าทั้งสิบคนนัก ซึ่งจะให้ข้าพเจ้าออกไปหานั้น เหมือนหนึ่งเอาเนื้อไปสู่เสือ อันจะมีชีวิตคืนมานั้นหามิได้ ถ้าพระองค์เมตตาข้าพเจ้าทั้งนี้ ขอให้เชิญโฮจิ๋นเข้ามา ตรัสขอชีวิตข้าพเจ้าติอพระโอษฐ์ ถึงมาตรว่าโฮจิ๋นจะไม่เมตตาแล้ว ข้าพเจ้าก็จะตายอยู่ต่อหน้าที่นั่งพระองค์……….”
นางโฮเฮาก็หลงคารมของขันทีตัวแสบ จึงเรียกตัวโฮจิ๋นเข้ามาเฝ้าข้างใน โฮจิ๋น ก็เข้าไปในพระราชวัง โดยมีอ้วนเสี้ยวกับโจโฉแต่งตัวใส่เกราะถือกระบี่ติดตามไปด้วย แต่พวกขันทีไม่ยอมให้ผู้ถืออาวุธเข้าไปข้างใน ทั้งสองจึงต้องรออยู่หน้าประตู
พอโฮจิ๋นเข้าไปถึงประตูวังชั้นใน เตียวเหยียงก็พาพวกห้าสิบคนเข้าล้อมไว้ และว่า
“…….ตัวแต่ก่อนนั้นก็เป็นผู้น้อยอยู่ เราได้ช่วยทำนุบำรุงว่ากล่าวพิดทูล ตัวจึงได้เป็นผู้ใหญ่ขึ้นถึงเพียงนี้ แลตัวกำเริบให้คนไปลอบฆ่านางตังไทฮอ ซึ่งเป็นมารดาพระเจ้าเลนเต้ อันหาความผิดมิได้นั้นเสีย แล้วตัวแอบรับสั่งออกไปหาหัวเมืองทั้งปวง ยกทหารเข้ามาจะจับเราซึ่งมีคุณแก่ตัว ฆ่าเสียนั้น ตัวหามีกตัญญูต่อเราไม่……..”
โฮจิ๋นหาที่พึงมิได้ และตกอยู่ในวงล้อมของพวกขันที จึงถูกพวกขันทีกลุ้มรุม ฆ่าตาย แล้วถูกตัดศีรษะโยนออกมาให้อ้วนเสี้ยวกับโจโฉ ที่รออยู่หน้าประตู และประกาศว่า
“……โฮจิ๋นนี้คิดขบถเราฆ่าเสียแล้ว เอาแต่ศีรษะไปเถิด ผู้ใดซึ่งมิได้ร่วมคิดเป็นขบถด้วยนั้น ก็ให้เร่งกลับไปที่อยู่ อย่ามาวุ่นวายเลย…….”
อ้วนเสี้ยวกับโจโฉจึงคุมทหารจุดไฟเผาประตู และพังเข้าไปจับขันทีตัวการฆ่าเสียทั้งหมด ตัวเตียวเหยียงนั้นหนีไปจนมุมอยู่ริมแม่น้ำ จึงตัดสินใจโดดน้ำตายไป
แต่ก็สายไปเสียแล้ว ศีรษะของโฮจิ๋นไม่สามารถจะต่อติดกับตัวได้ดังเดิม แล้ว ตั๋งโต๊ะก็ยกทหารเข้าเมืองหลวงได้ และจัดการปกครองอย่างโหดร้าย จนสองทหารเอกต้องหนีเอาตัวรอดไป และเกิดเป็นสงครามชิงความยิ่งใหญ่ต่อมาอีกหลายสิบปี
สุดท้ายตัวเอกเหล่านั้นก็ถึงแก่ความตายไปหมดสิ้น พระเจ้าเล่าเสี้ยนราชบุตรของพระเจ้าเล่าปี่ ก็ได้เป็นฮ่องเต้ของจ๊กก๊กปกครองแคว้นเสฉวน และมีเกียงอุยเป็นทหารเอก ยกทัพไปทำสงครามกับวุยก๊ก ซึ่งเชื้อสายของโจโฉเป็นฮ่องเต้อยู่ที่เมืองลกเอี๋ยง ต่อมาอีกหลายครั้งก็ยังไม่สามารถเอาชนะได้
พระเจ้าเล่าเสี้ยนมีขันทีคนหนึ่งชื่อ ฮุยโฮ ซึ่งรักใคร่เชื่อถือไว้วางพระทัยเป็นอันมาก และทรงเสพสุราทุกวันมิได้ขาด กับหลงนางสนมกรมใน มิได้นำพาที่จะออกว่าราชการบ้านเมือง บรรดาขุนนางที่มีสติปัญญาเคยทำราชการมาด้วยแต่ก่อน ต่างก็เสียใจพากันเอาตัวออกห่างถ้าผู้ใดมีสมบัติมากไปติดสินบนฮุยโฮแล้ว ก็ได้เป็นที่ขุนนางผู้ใหญ่ ราชการบ้านเมืองก็แปรปรวนไป มีแต่คนใหม่ ๆ ที่ประสมประสานกับฮุยโฮได้ ก็เข้ามาเป็นขุนนางอยู่เท่านั้น
เมื่อเกียงอุยยกทัพไปรบกับเตงงาย แม่ทัพของวุยก๊กเป็นครั้งที่หก ซึ่งเตงงายต้อง เพลี่ยงพล้ำเกือบเสียที จึงจัดคนเอาเงินทองแลพลอยแหวนกับสิ่งของที่ดีเป็นอันมาก ไปติดสินบนฮุยโฮ ให้ฮ่องเต้มีรับสั่งเรียกตัวกลับ โดยอ้างว่าเกียงอุยจะไปเข้าเป็นพวกวุยก๊ก ฮ่องเต้ก็หลงเชื่อมีรับสั่งให้เกียงอุยกลับมาเฝ้า แต่ฮ่องเต้กลับตรัสว่า เห็นเกียงอุยยกทัพไปช้านานนัก เกรงว่าไพร่พลจะเดือดร้อน จึงให้กลับมาพักผ่อนบำรุงกำลังทหารก่อน เกียงอุยก็ทูลว่า
“…….ข้าพเจ้าไปทำการครั้งนี้ก็ได้ท่วงทีเป็นอันมาก หมายว่าจะได้ความชอบอยู่แล้ว ซึ่งต้องถอยทัพมานี้ เห็นจะเป็นกลอุบายของเตงงายคิดอ่านทำ …..ตัวข้าพเจ้านี้ตั้งใจจะทำการสนองพระคุณให้สิ้นศัตรูจงได้ ควรหรือพระองค์มาเชื่อฟังอ้ายคนเล็กน้อยปากตลาด คิดสงสัยข้าพเจ้าเปล่า ๆ …….” ฮ่องเต้ก็ไม่สามารถจะโต้แย้งได้ เกียงอุยจึงออกไปตั้งบำรุงทหารอยู่ที่เมืองฮันต๋ง
ต่อมาเกียงอุยก็ยกทัพไปตีวุยก๊กอีก พอกำลังรบติดพันอยู่ เกิดมีขุนนางคนหนึ่งชื่อเงียมอูเพิ่งมาเป็นขุนนางใหม่อยากจะมีความชอบ จึงติดสินบนฮุยโฮของให้กราบทูลฮ่องเต้ ให้ทรงเปลี่ยนแม่ทัพ เอาตนเองไปแทนเกียงอุย ฮ่องเต้ก็เชื่อฮุยโฮเรียกเกียงอุยกลับมาอีก เกียงอุย พร้อมด้วยนายทหารสิบคน ก็เข้าไปเฝ้าฮ่องเต้ ซึ่งเสพสุราอยู่กับฮุยโฮที่ตำหนักในสวน กราบทูลว่า
“……..ครั้งนี้ข้าพเจ้าไปทำการศึกอยู่ที่เขากิสาน ก็จวนจะได้ชัยชนะแก่ข้าศึกอยู่แล้ว……พระองค์มาเชื่อฟังถ้อยคำฮุยโฮ คิดการทะนงใจนัก เห็นจะเหมือนครั้งพระเจ้าเลนเต้ เมื่อมีขันทีสิบคนนั้น ขอพระองค์เร่งกำจัดอ้ายฮุยโฮเสียเถิด เมืองเสฉวนก็จะอยู่เย็นเป็นสุข แลเมือง วุยก๊กนั้นก็จะได้โดยง่าย…….”
ฮ่องเต้ก็ตรัสว่า
“……….อ้ายฮุยโฮนี้เป็นแต่ขันทีเราใช้อยู่ข้างใน ท่านว่ามันทะนงใจนี้เราไม่เห็นด้วย ท่านจำไม่ได้หรือเมื่อครั้งตั๋งอุ๋นมีความริษยา กล่าวโทษมันนั้น เราก็คิดขัดใจอยู่ บัดนี้ท่านมาว่าอีกเล่า เราหาเชื่อฟังท่านไม่……”
แต่ฮ่องเต้ก็เรียกฮุยโฮให้เข้ามาคำนับเกียงอุย ฮุยโฮก็คำนับเกียงอุยแล้วร้องไห้ว่า
“……..อันตัวข้าพเจ้านี้ ก็เป็นแต่คนใช้ข้างใน หาได้องอาจล่วงไปว่ากล่าวราชการไม่ ขอท่านอย่าได้เชื่อฟังคำคนยุยงเลย อันชีวิตข้าพเจ้านี้ก็จะฝากไว้แก่ท่าน……..”
ว่าแล้วก็ซบหน้าร้องไห้อยู่ เกียงอุยก็ใจอ่อนจึงคำนับลาฮ่องเต้กลับไป แต่ก็เกรงว่าฮุยโฮจะอาฆาตคอยทำร้ายภายหลัง จึงกราบทูลขอลาพาทหารแปดหมื่น ออกไปตั้งกองสะสมเสบียงอยู่ที่ตำบลหลงเส หาหนทางทำศึกกับวุยก๊กต่อไป
คราวนี้ฝ่ายวุยก๊กเห็นได้ที จึงยกกองทัพใหญ่สองกองเข้าตีเมืองเสฉวน โดยที่ เกียงอุยถูกกันไว้ ไม่สามารถกลับมาช่วยทัน ได้แต่ส่งหนังสือมากราบทูลแนะนำฮ่องเต้ ให้เตรียมป้องกันเมือง พระเจ้าเล่าเสี้ยนได้ข่าวศึกก็เรียกฮุยโฮมาปรึกษา ฮุยโฮก็ไปเชิญยายท้าวมาทรงเจ้าเข้าผี แล้วถามถึงการศึกสงคราม ยายท้าวก็ว่า
“……..ซึ่งข้าศึกยกมานี้หาจริงไม่ ท่านอย่าคิดวิตกเลย อันบ้านเมืองของเรานี้จะอยู่เย็นเป็นสุข หาเป็นอันตรายไม่ นานไปเมืองวุยก๊กจะมานบนอบแก่ท่าน……”
ฮ่องเต้ก็ดีพระทัย ไม่สนใจกับหนังสือของเกียงอุย เอาแต่ชวนฮุยโฮเสพสุราต่อไป มิได้คิดการป้องกันข้าศึกเลย จนกองทัพของเตงงายเข้ามายึดเมืองเสฉวนได้ทั้งหมด ฮ่องเต้จึงต้องพาครอบครัวและขุนนางออกไปอ่อนน้อมต่อเตงงาย และเชิญเข้าไปในเมือง มอบทรัพย์สิ่งของทั้งปวงในท้องพระคลังให้แก่แม่ทัพของวุยก๊ก
เตงงายก็ตั้งให้พระเจ้าเล่าเสี้ยนเป็นที่ แพ้วกี๋จงกุ๋น ส่วนฮุยโฮนั้นก็หนีไปแอบซ่อนตัวอยู่นาน จนกระทั่งพระเจ้าเล่าเสี้ยนไปหาสุมาเจียว มหาอุปราชของวุยก๊กที่เมืองเตียงฮัน และถูกพาตัวไปเมืองลกเอี๋ยง สุมาเจียวก็ว่า
“……..ท่านนี้เป็นคนมิดีหาสติปัญญามิได้ เสพแต่สุรามิได้นำพากิจการบ้านเมือง ทำให้แผ่นดินฟั่นเฟือนเสีย จนอาณาประชาราษฎรได้ความเดือดร้อนดังนี้ มิควรนัก ชอบแต่ประหารชีวิตเสียจึงจะควร…….”
เล่าเสี้ยนก็ตกใจหน้าซีดสลด แต่ขุนนางทั้งปวงได้ขอโทษไว้ สุมาเจียวก็อนุญาต แล้วตั้งให้เป็นที่ อ่านลกก๋ง ประทานหญิงคนใช้ให้ร้อยหนึ่ง กับแพรอย่างดีหมื่นพับ แลเงินทองเป็นอันมาก แล้วตั้งขุนนางที่ตามมาด้วยนั้นเป็นขุนนางตามตำแหน่งอันสมควร กับจัดบ้านเรือนให้อยู่ตามประเพณี เจ้าประเทศราชทุกประการ เล่าเสี้ยนบุตรของเล่าปี่ จึงอยู่ด้วยความสุขต่อมาอีกนานกว่าจะสิ้นชีวิต
ส่วนฮุยโฮนั้น สุมาเจียวให้ทหารตามหาตัวมาลงโทษ ฐานเป็นคนชักชวนเจ้านายให้ประพฤติเสียประเพณีแผ่นดิน ให้ตัดมือตัดตีนพาตระเวนรอบเมือง มิให้ผู้ใดเอาเยี่ยงอย่าง แล้วประหารชีวิตเสีย
เรื่องของขันทีตัวร้ายกาจในยุคสามก๊ก จึงสิ้นสุดลงแต่เพียงนี้ ส่วนจะเป็นนิทัศน์หรืออุทาหรณ์สอนใจประการใดบ้างนั้น ก็สุดแล้วแต่วิจารณญาณอันดีของท่านเอง.