สามก๊กภาคปลาย
๕.ทายาทคนสุดท้ายของแซ่โจ
"เล่าเซี่ยงชุน"
ครั้น พระเจ้าเจงหงวน หรือ พระเจ้าโจมอ ได้สิ้นพระชนม์ชีพลงเมื่อเดือนเก้าข้างขึ้นในปี พ.ศ.๘๐๓ แล้ว แกฉง ขุนนางผู้บางการให้ เซงเจ ลงมือฆ่าพระเจ้าโจมอ ก็ปรึกษากับขุนนางอื่น ๆ ว่าควรจะเชิญ สุมาเจียว มหาอุปราชผู้ยิ่งใหญ่ได้ขึ้นครองราชสมบัติต่อไป แต่สุมาเจียวยังมีความละอายใจอยู่ จึงปัดว่าเมื่อ พระเจ้าวุยอ๋อง หรือ โจโฉ เป็นใหญ่นั้น ก็หาได้ครองสมบัติไม่ ตนเองจึงจะช่วยทำนุบำรุงแผ่นดินเหมือน พระเจ้าวุยอ๋องนั้น
แล้วสุมาเจียวก็เชิญ โจฮวน ผู้เป็นหลานของโจโฉ แต่คงจะห่างมากให้ขึ้นครองราชย์เป็นรัชกาลที่ห้าของราชวงศ์วุยแทน พระเจ้าโจฮวนก็แต่งตั้งสุมาเจียว เป็นมหาอุปราชดังเดิม
เกียงอุย ทหารเอกเมืองเสฉวน ลูกศิษย์ของ ขงเบ้ง ก็ไม่ได้รอช้ารีบ ยกทัพสิบห้าหมื่นมาตีลกเอี๋ยงตามเคย เดินทัพแยกออกเป็นสามทางแล้วไปบรรจบกันที่เดิม คือเขากิสานซึ่ง เตงงาย ทหารเอกของวุยก๊กตั้งค่ายรออยู่ คราวนี้ อองก๋วน หลานของ อองเก๋ง ขุนนางผู้จงรักภักดีต่อพระเจ้าโจมอ ขออาสาเป็นไส้ศึกไปลวงเกียงอุย แต่กลับถูกเกียงอุยซ้อนกลจนกองทัพของเตงงายถูกเผา แทบจะเอาชีวิตไม่รอด ตัวอองก๋วนหนีไปจนมุมอยู่ริมแม่น้ำเห็นจวนตัวก็เลยโดดน้ำตายเสีย เกียงอุยได้ชัยชนะแล้วก็ยกกลับไปตั้งที่เมืองฮันต๋ง
ส่วนทางฝ่ายเตงงายซึ่งแตกทัพก็ไม่ถูกลงโทษ เพราะมีความชอบอยู่แต่เดิมมาก สุมาเจียวกลับจัดเงินทองปูนบำเหน็จให้เป็นอันมาก และส่งทหารไปเพิ่มให้อีก
ห้าหมื่น เพื่อป้องกันด่านเขากิสานไว้ให้ได้
พอถึงเดือนสิบสองเกียงอุยก็ยกกองทัพสามสิบหมื่นไปตีเมืองเตียวเจี๋ยง อีกจนได้ คราวนี้ก็ถูกอุบายของเตงงายเข้าบ้าง ทำให้ แฮหัวป๋า แม่ทัพหน้า ถึงแก่ความ ตาย แต่ก็กลับไปล้อมค่ายเขากิสานไว้อย่างแน่นหนา ยังไม่ทันเข้าตีแตกหักให้รู้ผลแพ้ชนะ พระเจ้าเล่าเสี้ยน เชื่อคำขันทีสอพลอก็เรียกตัวเกียงอุยกลับไปเสียอีก เกียงอุยดื้ออยู่ถึงสามครั้งจึงยอมกลับ แล้วก็เลยหมดกำลังใจ ขอทหารแปดหมื่นยกไปสะสมเสบียง และฝึกหัดทหารอยู่ที่ตำบลหลงเส เพื่อให้พ้นภัยจากพวกกังฉินที่แวดล้อมพระเจ้าเล่าเสี้ยนอยู่
สุมาเจียวมหาอุปราชของวุยก๊กเห็นได้ที ก็จัดทัพใหญ่ให้ จงโฮย คุมไปทางหนึ่ง เตงงายคุมไปทางหนึ่ง จงโฮยนั้นเข้ารบกับเกียงอุย ส่วนเตงงายมุ่งตรงผ่านหนทางทุรกันดารเข้าไปตีเมืองเสฉวน ไม่มีใครสามารถต้านทานได้ จูกัดเจี๋ยม บุตรชายของขงเบ้งซึ่งเป็นมหาอุปราช นำทัพออกรบขั้นสุดท้ายก็ต้องตายกลางสมรภูมิ จนพระเจ้าเล่าเสี้ยนยอมอ่อนน้อมต่อเตงงาย
เกียงอุยนั้นพยายามทำอุบายหลอกล่อจงโฮย หวังจะย้อนกลับมากอบกู้เมืองเสฉวน ให้พ้นจากการยึดครอง ถึงแม้จะไม่สำเร็จจนตัวต้องตาย แต่ทั้งจงโฮยและ เตงงายก็ต้องตายตามอุบายของเกียงอุยด้วยเช่นกัน
สุมาเจียวก็ยกทัพหลวงติดตามมาดูผลของการสงคราม โดยตั้งรออยู่ที่ เมืองเตียงอั๋น อากุ้น ขุนนางผู้ใหญ่ในกองทัพของเตงงาย ก็พาพระเจ้าเล่าเสี้ยนมามอบตัว สุมาเจียวก็พากลับไปเมืองลกเอี๋ยง แล้วตั้งให้เป็นที่ อ่านลกก๋ง ตามฐานะเจ้านายประเทศราช ขึ้นอยู่กับวุยก๊กต่อไป จนสิ้นพระชนม์ลงเมื่ออายุได้ประมาณแปดสิบปี
ความชอบอันใหญ่หลวงครั้งนี้ ทำให้ขุนนางทั้งปวงพากันกราบทูลต่อพระเจ้าโจฮวน ให้เลื่อนมหาอุปราชสุมาเจียวขึ้นเป็นจีนอ๋อง ตามอย่างที่โจโฉเคยได้รับเมื่อ ครั้งกระโน้น
สุมาเจียวก็จะตั้งให้ สุมาฮิว บุตรชายคนรองเป็นเจ้าชีจู๊ แต่ขุนนางหลายคนคัดค้านว่า การแต่งตั้งน้องให้เป็นใหญ่กว่าพี่นั้น ไม่ถูกต้องตามขนบธรรมเนียมโบราณ
สุมาเจียวเห็นชอบด้วยจึงตั้ง สุมาเอี๋ยน บุตรชายคนโตเป็นเจ้าชีจู๊
พระเจ้าโจฮวนได้ครองราชย์ต่อมาได้ห้าปี วันหนึ่งมีขุนนางมาแจ้งแก่สุมาเจียวว่า ที่เมืองซงบู๊ก๋วนมีคนอ้างว่าลงมาจากสวรรค์ ตัวสูงสี่วาฝ่าเท้ายาวสองศอก ผมขาวหนวดขาว นุ่งเหลืองห่มเหลือง ถือไม้เท้าเที่ยวร้องประกาศไปรอบเมืองว่า แต่นี้ไปจะมีเจ้าแผ่นดินมาเปลี่ยนใหม่ อาณาประชาราษฎรทั้งปวงจะอยู่เย็นเป็นสุข อย่าตกใจไปเลย สุมาเจียวได้ฟังก็มีความยินดี ความอยากจะเป็นฮ่องเต้ที่เก็บเอาไว้ในใจ ก็ออกฤทธิ์กำเริบขึ้น กลายเป็นลมปัจจุบันล้มลง ขุนนางทั้งหลายเข้าไปแก้ไข ถามว่าเป็นอะไร
สุมาเจียวก็พูดไม่ออกเสียแล้ว ได้แต่ชี้มือไปที่สุมาเอี๋ยน แล้วก็หมดลมหายใจ ขุนนางทั้งปวงก็ยกชีจู๊ขึ้นเป็นจีนอ๋องแทนบิดา แล้วก็ให้ โฮเจ้ง เป็นที่มหาอุปราช
พอวันรุ่งขึ้นสุมาเอี๋ยนจีนอ๋องคนใหม่ ก็ถามขุนนางผู้ใหญ่ว่าโจโฉกับสุมาเจียว
ผู้บิดา ใครจะดีกว่ากัน ขุนนางพลอยพยักก็ตอบว่า
"......อันโจโฉนั้นทำการทั้งปวง มีความชอบมากก็จริง แต่ทว่าอาณาประชาราษฎรหารักใคร่สนิทไม่ ถึงมาทว่าทำสมบัติไว้ให้แก่ โจผี ผู้บุตรนั้นเล่า ก็ยังมิราบคาบสิ้น ทิศเหนือทิศใต้ก็เป็นเสี้ยนหนามอยู่ อันพระอัยกาของท่านได้ทำการมาก็นักหนาปรากฎชื่อเสียงเลื่องลือเป็นอันมาก และอาณาประชาราษฎรก็รักใคร่สนิท พระบิดาของท่านเล่าก็ซ้ำได้เมืองเสฉวน ครั้งนี้มีเกียรติยศเป็นที่ยำเกรงก็มาก ซึ่งจะเอาโจโฉมาเปรียบด้วยนั้น เห็นไกลกันนัก...."
จีนอ๋องจึงว่า
"...แต่ก่อนแผ่นดินนี้ก็เป็นของ พระเจ้าเหี้ยนเต้ โจโฉ ยังคิดกำจัดเสีย ชิงเอาราชสมบัติมาเป็นของตัวได้ คราวนี้เราจะชิงเอาราชสมบัติของ พระเจ้าโจฮวนบ้าง จะไม่ได้หรือ....."
ขุนนางก็พร้อมใจกันว่า
".....ซึ่งจะชิงเอา ราชสมบัติของพระเจ้าโจฮวนนั้น ก็เหมือนกับช่วยแก้แค้นพระเจ้าเหี้ยนเต้ ท่านคิดฉะนี้ก็ต้องด้วยประเพณีแผ่นดินอยู่แล้ว...."
อีกวันหนึ่งต่อมา จีนอ๋องก็ถือกระบี่เข้าไปในวัง พระเจ้าโจฮวนซึ่งไม่สบายพระทัยมาหลายวันแล้ว เห็นดังนั้นก็คำนับแล้วเชิญให้นั่งบนที่สมควร จีนอ๋องก็ถามว่า
".....พระองค์รู้หรือไม่ว่า ราชสมบัติบ้านเมืองทั้งปวงนี้ ผู้ใดทำไว้...."
พระเจ้าโจฮวนก็ตอบว่า
".....อันราชสมบัติบ้านเมืองซึ่งเป็นปกติราบคาบ เราได้อาศัยเป็นสุขอยู่
ทั้งนี้ ก็เพราะปัญญาความติดปู่ท่าน และบิดาท่านทำไว้ให้แก่เรา...."
จีนอ๋องได้ทีจึงว่า
"...ข้าพเจ้าเห็นพระองค์ทุกวันนี้ สติปัญญาก็น้อยจะจัดแจงทหารก็ไม่เป็นจะว่ากล่าวกิจการฝ่ายพลเรือนเล่าก็มิได้ สารพัดจะไม่สมประกอบสิ้น ต้องการอันใดจะมานั่งกอดสมบัติอยู่ ถ้ายกให้กับผู้อื่นที่มีสติปัญญา ว่ากล่าวกิจการ แผ่นดิน มิดีหรือ...."
พระเจ้าโจฮวนก็กอดพระหัตถ์ซบพักตร์อยู่ ขุนนางผู้ใหญ่คนหนึ่งก็ค้านว่า พระเจ้าโจโฉทรงอุตส่าห์ปราบปรามบ้านเมืองทั้งปวงราบคาบ กำจัดสัตรูเสียทำให้อาณาประชาราษฎรเป็นสุข พระเจ้าโจฮวนก็มิได้ทำสิ่งใดให้แผ่นดินเดือดร้อน หาความผิดมิได้ จะให้ยกสมบัติแก่ผู้อื่นเสียง่าย ๆ นั้นด้วยเหตุอันใด
แต่พอพระเจ้าโจฮวนจะหาเสียงสนับสนุนจากขุนนางคนอื่น ๆ ต่างก็ให้ ความเห็นว่า การจวนตัวถึงเพียงนี้ ถ้าขัดขืนไม่ยอมตามก็จะมีภัยมาถึงต้ว ขอให้ยกสมบัติให้จีนอ๋องเสียเถิด จะได้มีความสุขสืบไป
พระเจ้าโจฮวนจึงยอมตกลง
เมื่อถึงเดือนยี่ขึ้นหนึ่งค่ำ พ.ศ.๘๐๘ ขุนนางทั้งหลายมาพร้อมในที่เฝ้า แล้ว พระเจ้าโจฮวนก็ยกเอาตราสำหรับว่าราชการเมือง มอบให้จีนอ๋อง เมื่อจีนอ๋องรั ไว้แล้วก็ขึ้นนั่งบนที่สูง ชูกระบี่ขึ้นท่ามกลางที่ประชุมขุนนาง แล้วสั่งให้พระเจ้าโจฮวนเข้ามาคุกเข่าคำนับ
กับมีโองการประกาศว่า พระเจ้าเหี้ยนเต้ได้เสวยราชสมบัติครอบครอง แผ่นดินนี้มาได้ยี่สิบห้าปี โจโฉก็กำจัดเสียและได้ครองราชย์สืบแซ่กันมาถึงสี่สิบห้าปี บัดนี้
ถึงกำหนดที่เราจะได้เป็นใหญ่ในราชสมบัติแล้ว และตั้งให้พระเจ้าโจฮวนเป็น ตันลิวอ๋อง ไปพำนักอยู่ที่เมืองกิมลงเสีย พระเจ้าโจฮวนก็ซบพักตร์ลงร้องไห้ แล้วก็คำนับลาไปตามประกาสิตนั้นแต่โดยดี
พระเจ้าสุมาเอี๋ยนก็เปลี่ยนชื่อวุยก๊ก เป็นไต้จิ๋น เริ่มราชวงศ์จิ๋นขึ้นเป็น รัชกาลแรก และสืบราชสมบัติต่อไปอีกยาวนาน จนรวมแผ่นดินจีนให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวได้สำเร็จ
สำหรับ พระเจ้าโจฮวน ฮ่องเต้องค์สุดท้ายของแซ่โจที่อยู่ในราชสมบัติได้เพียงห้าปีนั้น ต้องทนรับผลที่บรรพบุรุษได้กระทำไว้ตั้งแต่โบราณกาล ด้วยความขมขื่น ต่อไปอีกสิบห้าปี จึงได้ถึงแก่ความตายพ้นเวรกรรมไปเสียที.
##########
ทายาทตนสุดท้าย ๑๘ ม.ค.๖๐
๕.ทายาทคนสุดท้ายของแซ่โจ
"เล่าเซี่ยงชุน"
ครั้น พระเจ้าเจงหงวน หรือ พระเจ้าโจมอ ได้สิ้นพระชนม์ชีพลงเมื่อเดือนเก้าข้างขึ้นในปี พ.ศ.๘๐๓ แล้ว แกฉง ขุนนางผู้บางการให้ เซงเจ ลงมือฆ่าพระเจ้าโจมอ ก็ปรึกษากับขุนนางอื่น ๆ ว่าควรจะเชิญ สุมาเจียว มหาอุปราชผู้ยิ่งใหญ่ได้ขึ้นครองราชสมบัติต่อไป แต่สุมาเจียวยังมีความละอายใจอยู่ จึงปัดว่าเมื่อ พระเจ้าวุยอ๋อง หรือ โจโฉ เป็นใหญ่นั้น ก็หาได้ครองสมบัติไม่ ตนเองจึงจะช่วยทำนุบำรุงแผ่นดินเหมือน พระเจ้าวุยอ๋องนั้น
แล้วสุมาเจียวก็เชิญ โจฮวน ผู้เป็นหลานของโจโฉ แต่คงจะห่างมากให้ขึ้นครองราชย์เป็นรัชกาลที่ห้าของราชวงศ์วุยแทน พระเจ้าโจฮวนก็แต่งตั้งสุมาเจียว เป็นมหาอุปราชดังเดิม
เกียงอุย ทหารเอกเมืองเสฉวน ลูกศิษย์ของ ขงเบ้ง ก็ไม่ได้รอช้ารีบ ยกทัพสิบห้าหมื่นมาตีลกเอี๋ยงตามเคย เดินทัพแยกออกเป็นสามทางแล้วไปบรรจบกันที่เดิม คือเขากิสานซึ่ง เตงงาย ทหารเอกของวุยก๊กตั้งค่ายรออยู่ คราวนี้ อองก๋วน หลานของ อองเก๋ง ขุนนางผู้จงรักภักดีต่อพระเจ้าโจมอ ขออาสาเป็นไส้ศึกไปลวงเกียงอุย แต่กลับถูกเกียงอุยซ้อนกลจนกองทัพของเตงงายถูกเผา แทบจะเอาชีวิตไม่รอด ตัวอองก๋วนหนีไปจนมุมอยู่ริมแม่น้ำเห็นจวนตัวก็เลยโดดน้ำตายเสีย เกียงอุยได้ชัยชนะแล้วก็ยกกลับไปตั้งที่เมืองฮันต๋ง
ส่วนทางฝ่ายเตงงายซึ่งแตกทัพก็ไม่ถูกลงโทษ เพราะมีความชอบอยู่แต่เดิมมาก สุมาเจียวกลับจัดเงินทองปูนบำเหน็จให้เป็นอันมาก และส่งทหารไปเพิ่มให้อีก
ห้าหมื่น เพื่อป้องกันด่านเขากิสานไว้ให้ได้
พอถึงเดือนสิบสองเกียงอุยก็ยกกองทัพสามสิบหมื่นไปตีเมืองเตียวเจี๋ยง อีกจนได้ คราวนี้ก็ถูกอุบายของเตงงายเข้าบ้าง ทำให้ แฮหัวป๋า แม่ทัพหน้า ถึงแก่ความ ตาย แต่ก็กลับไปล้อมค่ายเขากิสานไว้อย่างแน่นหนา ยังไม่ทันเข้าตีแตกหักให้รู้ผลแพ้ชนะ พระเจ้าเล่าเสี้ยน เชื่อคำขันทีสอพลอก็เรียกตัวเกียงอุยกลับไปเสียอีก เกียงอุยดื้ออยู่ถึงสามครั้งจึงยอมกลับ แล้วก็เลยหมดกำลังใจ ขอทหารแปดหมื่นยกไปสะสมเสบียง และฝึกหัดทหารอยู่ที่ตำบลหลงเส เพื่อให้พ้นภัยจากพวกกังฉินที่แวดล้อมพระเจ้าเล่าเสี้ยนอยู่
สุมาเจียวมหาอุปราชของวุยก๊กเห็นได้ที ก็จัดทัพใหญ่ให้ จงโฮย คุมไปทางหนึ่ง เตงงายคุมไปทางหนึ่ง จงโฮยนั้นเข้ารบกับเกียงอุย ส่วนเตงงายมุ่งตรงผ่านหนทางทุรกันดารเข้าไปตีเมืองเสฉวน ไม่มีใครสามารถต้านทานได้ จูกัดเจี๋ยม บุตรชายของขงเบ้งซึ่งเป็นมหาอุปราช นำทัพออกรบขั้นสุดท้ายก็ต้องตายกลางสมรภูมิ จนพระเจ้าเล่าเสี้ยนยอมอ่อนน้อมต่อเตงงาย
เกียงอุยนั้นพยายามทำอุบายหลอกล่อจงโฮย หวังจะย้อนกลับมากอบกู้เมืองเสฉวน ให้พ้นจากการยึดครอง ถึงแม้จะไม่สำเร็จจนตัวต้องตาย แต่ทั้งจงโฮยและ เตงงายก็ต้องตายตามอุบายของเกียงอุยด้วยเช่นกัน
สุมาเจียวก็ยกทัพหลวงติดตามมาดูผลของการสงคราม โดยตั้งรออยู่ที่ เมืองเตียงอั๋น อากุ้น ขุนนางผู้ใหญ่ในกองทัพของเตงงาย ก็พาพระเจ้าเล่าเสี้ยนมามอบตัว สุมาเจียวก็พากลับไปเมืองลกเอี๋ยง แล้วตั้งให้เป็นที่ อ่านลกก๋ง ตามฐานะเจ้านายประเทศราช ขึ้นอยู่กับวุยก๊กต่อไป จนสิ้นพระชนม์ลงเมื่ออายุได้ประมาณแปดสิบปี
ความชอบอันใหญ่หลวงครั้งนี้ ทำให้ขุนนางทั้งปวงพากันกราบทูลต่อพระเจ้าโจฮวน ให้เลื่อนมหาอุปราชสุมาเจียวขึ้นเป็นจีนอ๋อง ตามอย่างที่โจโฉเคยได้รับเมื่อ ครั้งกระโน้น
สุมาเจียวก็จะตั้งให้ สุมาฮิว บุตรชายคนรองเป็นเจ้าชีจู๊ แต่ขุนนางหลายคนคัดค้านว่า การแต่งตั้งน้องให้เป็นใหญ่กว่าพี่นั้น ไม่ถูกต้องตามขนบธรรมเนียมโบราณ
สุมาเจียวเห็นชอบด้วยจึงตั้ง สุมาเอี๋ยน บุตรชายคนโตเป็นเจ้าชีจู๊
พระเจ้าโจฮวนได้ครองราชย์ต่อมาได้ห้าปี วันหนึ่งมีขุนนางมาแจ้งแก่สุมาเจียวว่า ที่เมืองซงบู๊ก๋วนมีคนอ้างว่าลงมาจากสวรรค์ ตัวสูงสี่วาฝ่าเท้ายาวสองศอก ผมขาวหนวดขาว นุ่งเหลืองห่มเหลือง ถือไม้เท้าเที่ยวร้องประกาศไปรอบเมืองว่า แต่นี้ไปจะมีเจ้าแผ่นดินมาเปลี่ยนใหม่ อาณาประชาราษฎรทั้งปวงจะอยู่เย็นเป็นสุข อย่าตกใจไปเลย สุมาเจียวได้ฟังก็มีความยินดี ความอยากจะเป็นฮ่องเต้ที่เก็บเอาไว้ในใจ ก็ออกฤทธิ์กำเริบขึ้น กลายเป็นลมปัจจุบันล้มลง ขุนนางทั้งหลายเข้าไปแก้ไข ถามว่าเป็นอะไร
สุมาเจียวก็พูดไม่ออกเสียแล้ว ได้แต่ชี้มือไปที่สุมาเอี๋ยน แล้วก็หมดลมหายใจ ขุนนางทั้งปวงก็ยกชีจู๊ขึ้นเป็นจีนอ๋องแทนบิดา แล้วก็ให้ โฮเจ้ง เป็นที่มหาอุปราช
พอวันรุ่งขึ้นสุมาเอี๋ยนจีนอ๋องคนใหม่ ก็ถามขุนนางผู้ใหญ่ว่าโจโฉกับสุมาเจียว
ผู้บิดา ใครจะดีกว่ากัน ขุนนางพลอยพยักก็ตอบว่า
"......อันโจโฉนั้นทำการทั้งปวง มีความชอบมากก็จริง แต่ทว่าอาณาประชาราษฎรหารักใคร่สนิทไม่ ถึงมาทว่าทำสมบัติไว้ให้แก่ โจผี ผู้บุตรนั้นเล่า ก็ยังมิราบคาบสิ้น ทิศเหนือทิศใต้ก็เป็นเสี้ยนหนามอยู่ อันพระอัยกาของท่านได้ทำการมาก็นักหนาปรากฎชื่อเสียงเลื่องลือเป็นอันมาก และอาณาประชาราษฎรก็รักใคร่สนิท พระบิดาของท่านเล่าก็ซ้ำได้เมืองเสฉวน ครั้งนี้มีเกียรติยศเป็นที่ยำเกรงก็มาก ซึ่งจะเอาโจโฉมาเปรียบด้วยนั้น เห็นไกลกันนัก...."
จีนอ๋องจึงว่า
"...แต่ก่อนแผ่นดินนี้ก็เป็นของ พระเจ้าเหี้ยนเต้ โจโฉ ยังคิดกำจัดเสีย ชิงเอาราชสมบัติมาเป็นของตัวได้ คราวนี้เราจะชิงเอาราชสมบัติของ พระเจ้าโจฮวนบ้าง จะไม่ได้หรือ....."
ขุนนางก็พร้อมใจกันว่า
".....ซึ่งจะชิงเอา ราชสมบัติของพระเจ้าโจฮวนนั้น ก็เหมือนกับช่วยแก้แค้นพระเจ้าเหี้ยนเต้ ท่านคิดฉะนี้ก็ต้องด้วยประเพณีแผ่นดินอยู่แล้ว...."
อีกวันหนึ่งต่อมา จีนอ๋องก็ถือกระบี่เข้าไปในวัง พระเจ้าโจฮวนซึ่งไม่สบายพระทัยมาหลายวันแล้ว เห็นดังนั้นก็คำนับแล้วเชิญให้นั่งบนที่สมควร จีนอ๋องก็ถามว่า
".....พระองค์รู้หรือไม่ว่า ราชสมบัติบ้านเมืองทั้งปวงนี้ ผู้ใดทำไว้...."
พระเจ้าโจฮวนก็ตอบว่า
".....อันราชสมบัติบ้านเมืองซึ่งเป็นปกติราบคาบ เราได้อาศัยเป็นสุขอยู่
ทั้งนี้ ก็เพราะปัญญาความติดปู่ท่าน และบิดาท่านทำไว้ให้แก่เรา...."
จีนอ๋องได้ทีจึงว่า
"...ข้าพเจ้าเห็นพระองค์ทุกวันนี้ สติปัญญาก็น้อยจะจัดแจงทหารก็ไม่เป็นจะว่ากล่าวกิจการฝ่ายพลเรือนเล่าก็มิได้ สารพัดจะไม่สมประกอบสิ้น ต้องการอันใดจะมานั่งกอดสมบัติอยู่ ถ้ายกให้กับผู้อื่นที่มีสติปัญญา ว่ากล่าวกิจการ แผ่นดิน มิดีหรือ...."
พระเจ้าโจฮวนก็กอดพระหัตถ์ซบพักตร์อยู่ ขุนนางผู้ใหญ่คนหนึ่งก็ค้านว่า พระเจ้าโจโฉทรงอุตส่าห์ปราบปรามบ้านเมืองทั้งปวงราบคาบ กำจัดสัตรูเสียทำให้อาณาประชาราษฎรเป็นสุข พระเจ้าโจฮวนก็มิได้ทำสิ่งใดให้แผ่นดินเดือดร้อน หาความผิดมิได้ จะให้ยกสมบัติแก่ผู้อื่นเสียง่าย ๆ นั้นด้วยเหตุอันใด
แต่พอพระเจ้าโจฮวนจะหาเสียงสนับสนุนจากขุนนางคนอื่น ๆ ต่างก็ให้ ความเห็นว่า การจวนตัวถึงเพียงนี้ ถ้าขัดขืนไม่ยอมตามก็จะมีภัยมาถึงต้ว ขอให้ยกสมบัติให้จีนอ๋องเสียเถิด จะได้มีความสุขสืบไป
พระเจ้าโจฮวนจึงยอมตกลง
เมื่อถึงเดือนยี่ขึ้นหนึ่งค่ำ พ.ศ.๘๐๘ ขุนนางทั้งหลายมาพร้อมในที่เฝ้า แล้ว พระเจ้าโจฮวนก็ยกเอาตราสำหรับว่าราชการเมือง มอบให้จีนอ๋อง เมื่อจีนอ๋องรั ไว้แล้วก็ขึ้นนั่งบนที่สูง ชูกระบี่ขึ้นท่ามกลางที่ประชุมขุนนาง แล้วสั่งให้พระเจ้าโจฮวนเข้ามาคุกเข่าคำนับ
กับมีโองการประกาศว่า พระเจ้าเหี้ยนเต้ได้เสวยราชสมบัติครอบครอง แผ่นดินนี้มาได้ยี่สิบห้าปี โจโฉก็กำจัดเสียและได้ครองราชย์สืบแซ่กันมาถึงสี่สิบห้าปี บัดนี้
ถึงกำหนดที่เราจะได้เป็นใหญ่ในราชสมบัติแล้ว และตั้งให้พระเจ้าโจฮวนเป็น ตันลิวอ๋อง ไปพำนักอยู่ที่เมืองกิมลงเสีย พระเจ้าโจฮวนก็ซบพักตร์ลงร้องไห้ แล้วก็คำนับลาไปตามประกาสิตนั้นแต่โดยดี
พระเจ้าสุมาเอี๋ยนก็เปลี่ยนชื่อวุยก๊ก เป็นไต้จิ๋น เริ่มราชวงศ์จิ๋นขึ้นเป็น รัชกาลแรก และสืบราชสมบัติต่อไปอีกยาวนาน จนรวมแผ่นดินจีนให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวได้สำเร็จ
สำหรับ พระเจ้าโจฮวน ฮ่องเต้องค์สุดท้ายของแซ่โจที่อยู่ในราชสมบัติได้เพียงห้าปีนั้น ต้องทนรับผลที่บรรพบุรุษได้กระทำไว้ตั้งแต่โบราณกาล ด้วยความขมขื่น ต่อไปอีกสิบห้าปี จึงได้ถึงแก่ความตายพ้นเวรกรรมไปเสียที.
##########