สามก๊กฉบับลายคราม
ผู้พิชิตสามก๊ก
ตอนที่ ๑๓ สยบแคว้นกังตั๋ง
]
เล่าเซี่ยงชุน
เมื่อจัดการปกครองเมืองเสฉวนแคว้นจ๊กก๊กเรียบร้อยแล้ว ขุนนางทั้งปวงก็ปรึกษากันว่า สุมาเจียวมหาอุปราชครั้งนี้ทำการมีความชอบมาก ควรจะเป็นที่จีนอ๋อง จึงพากันไปกราบทูลพระเจ้าโจฮวน ฮ่องเต้ก็เห็นชอบด้วยจึงตั้งให้สุมาเจียวเป็นที่จีนอ๋อง เช่นเดียวกับที่โจโฉเคยได้เป็นวุยอ๋อง มาแล้วในสมัยพระเจ้าเหี้ยนเต้
สุมาเจียวก็มีใจกำเริบคิดว่า แผ่นดินนี้เป็นของสุมาสูพี่ชายของตน ทำไว้ราบคาบสืบกันมา แลบัดนี้สุมาเอี๋ยน สุมาฮิว บุตรชายทั้งสองก็จำเริญวัยขึ้นแล้ว ควรจะตั้งแต่งให้เป็นใหญ่ อันสุมาเอี๋ยนผู้พี่นั้นลักษณะก็มีวาสนา ผมก็ยาวมือก็ยาว ฟันขาว ปัญญาพาทีเฉลียวฉลาดหลักแหลม แต่ทว่าไม่ค่อยจะถูกใจตน ส่วนสุมาฮิวผู้น้องซึ่งสุมาสูได้รักใคร่เอาไปเลี้ยงแต่เล็กนั้น มีใจสัตย์ซื่อมั่นคงดีควรที่จะตั้งให้เป็นใหญ่ แต่เมื่อปรึกษาขุนนางแล้ว ขุนนางทั้งปวงก็ทักท้วงว่า
“...........ซึ่งท่านจะตั้งสุมาฮิวเป็นชีจู๊นั้นมิชอบ ด้วยข้าพเจ้าเห็นว่าแผ่นดินแต่ก่อนเกิดจลาจลนั้น ก็เพราะกลับเอาผู้ใหญ่เป็นผู้น้อย มิได้ทำตามธรรมเนียมบุราณ ครั้งนี้ท่านจะตั้งน้องให้เป็นใหญ่กว่าพี่นั้นข้าพเจ้าไม่เห็นด้วย.........”
สุมาเจียวก็เห็นด้วยจึงตั้งให้สุมาเอี๋ยนเป็นเจ้าชีจู๊ ค่อมาอีกไม่นานขุนนางเอาเนื้อความมาแจ้งแก่สุมาเจียวว่า
“...........ข้าพเจ้าได้ยินเขาลือว่า เมืองซงบู๊ก๋วนมีคนลงมาแต่สวรรค์ สูงได้สี่วา ฝ่าตีนยาวสองศอก นุ่งเหลืองห่มเหลือง ผมขาวหนวดขาว ถือไม้เท้าเที่ยวร้องประกาศไปรอบเมืองว่า เป็นเจ้าแก่มนุษย์บอกคนทั้งหลายให้รู้ว่า แต่นี้ไปจะมีเจ้าแผ่นดินมาเปลี่ยนใหม่ อาณาประชาราษฎรทั้งปวงจะอยู่เย็นเป็นสุข อย่าปรารมภ์เลย............”
สุมาเจียวได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี สำคัญว่าตัวจะได้เป็นเจ้าแผ่นดิน เลยเกิดเป็นลมล้มแน่นิ่งไป ขุนนางก็พากันถามอาการสุมาเจียวก็พูดไม่ออก เอาแต่มือชี้ไปแต่สุมาเอี๋ยนเท่านั้น แล้วก็สิ้นใจตายไปในทันใด
ขุนนางทั้งปวงก็แต่งการศพสุมาเจียวตามประเพณี แล้วแล้วก็ปรึกษากันว่า
“.........อันราชการบ้านเมืองแต่ก่อนนั้น สิทธิ์ขาดอยู่แก่เจ้าจีนอ๋อง บัดนี้เจ้าจีนอ๋องก็หาบุญไม่แล้ว ควรที่จะยกเจ้าชีจู๊เป็นที่จีนอ๋องว่าราชการบ้านเมืองสืบไป..........”
ขุนนางทั้งปวงเห็นพร้อมกันแล้ว ก็ตั้งให้เจ้าชีจู๊เป็นที่จีนอ๋องแทนสุมาเจียวผู้บิดา และให้โฮเจ้งเป็นที่มหาอุปราช แล้วแต่งตั้งขุนนางทั้งปวงครบตามตำแหน่ง
ต่อมาจีนอ๋องก็ให้หากาอุ้นกับขุนนางมาถามว่าโจโฉกับสุมาเจียวบิดาของตน ผู้ใดจะดีกว่ากัน กาอุ้นก็ว่า
“............อันโจโฉนั้นทำการทั้งปวงมีความชอบมากก็จริง แต่ทว่าอาณาประชาราษฎรหารักใคร่สนิทไม่ ถึงมาตรว่าทำสมบัติไว้ให้แก่โจผีผู้บุตรเล่า ก็ยังมิราบคาบสิ้น ทิศเหนือทิศใต้ก็เป็นเสี้ยนหนามอยู่ อันพระอัยกาของท่านได้ทำการมาก็หนักหนา ปรากฏชื่อเสียงเลื่องลือเป็นอันมาก แลอาณาประชาราษฎรก็รักใคร่สนิท พระบิดาของท่านเล่าก็ซ้ำได้เมืองเสฉวน ครั้งนี้มีเกียรติยศเป็นที่ยำเกรงก็มาก ซึ่งจะเอาโจโฉมาเปรียบกันนั้นเห็นไกลกันนัก.........”
จีนอ๋องจึงว่า
“...........แต่ก่อนแผ่นดินนี้ก็เป็นของพระเจ้าเหี้ยนเต้ โจโฉคิดอ่านกำจัดเสีย ชิงเอาราชสมบัติของพระองค์เป็นของตัวได้ แม้ว่าเราจะชิงเอาสมบัติของพระเจ้าโจฮวน เหมือนกระนั้นบ้างจะไม่ได้เจียวหรือ...........”
กาอุ้นจึงว่า
“..........ท่านว่านี้ชอบ ซึ่งจะชิงเอาราชสมบัติของพระเจ้าโจฮวนนั้น ก็เหมือนช่วยแก็แค้นพระเจ้าเหี้ยนเต้ ท่านคิดฉะนี้ต้องด้วยประเพณีแผ่นดินอยู่แล้ว............”
จีนอ๋องได้ฟังกาอุ้นให้ท้ายเช่นนั้น ก็กำเริบน้ำใจถือกระบี่เข้าไปในวัง พระเจ้า โจฮวนเห็นดังนั้นก็กระทำคำนับแล้วเชิญให้นั่งในที่สมควร แต่จีนอ๋องไม่นั่งกลับถามว่า
“............พระองค์รู้หรือไม่ว่าราชสมบัติบ้านเมืองทั้งปวงนี้ผู้ใดทำไว้............”
พระเจ้าโจฮวนก็ตรัสว่า
“............อันราชสมบัติ บ้านเมืองซึ่งเป็นปกติราบคาบ เราได้อาศัยเป็นสุขอยู่ทั้งนี้ ก็เพราะกำลังปัญญาความคิดปู่ท่านแลบิดาท่านทำไว้ให้แก่เรา...........”
จีนอ๋องจึงว่า
“............ข้าพเจ้าเห็นพระองค์ทุกวันนี้ สติปัญญาก็น้อย จะจัดแจงทหารก็ไม่เป็น จะว่ากล่าวกิจการฝ่ายพลเรือนเล่าก็มิได้ สารพัดที่ไม่สมประกอบสิ้น ต้องการอันใดจะมานั่งกอดสมบัติอยู่ ถ้ายกให้กับผู้อื่นที่มีสติปัญญาว่ากล่าวกิจการแผ่นดิน มิดีหรือ............”
พระเจ้าโจฮวนได้ฟังดังนั้นก็ตกพระทัย กอดพระหัตถ์ซบพระพักตร์นิ่งอยู่ เตียวเจ๊กขุนนางผู้ใหญ่อยู่ในที่เฝ้า จึงว่า
“.............เหตุไฉนท่านจึงมาเจรจาดังนี้ ครั้งเมื่อพระเจ้าโจโฉยังมีพระชนม์อยู่ ทรงพระอุตส่าห์มิได้คิดแก่ชีวิต สู้ทรมานพระองค์ไปเที่ยวปราบปรามหัวเมืองทั้งปวง ให้ราบคาบปราศจากเสี้ยนหนามหลักตอ กำจัดราชศัตรูเสียทำให้อาณาประชาราษฎรเป็นสุข แล้วก็ยกแผ่นดินให้แก่พระญาติวงศ์ครอบครองสืบ ๆ กันมา พระเจ้าโจฮวนก็มิได้ทำสิ่งใดให้แผ่นดินเดือดร้อน หาความผิดมิได้ ซึ่งท่านจะให้ยกสมบัติแก่ผู้อื่นเสียง่าย ๆ นั้นด้วยเหตุอันใด...........”
จีนอ๋องก็โกรธจึงว่า
“............ราชสมบัติทั้งนี้ เดิมเป็นของพระเจ้าเหี้ยนเต้ โจโฉเป็นข้าของพระองค์ คิดอ่านกำจัดพระองค์เสีย แล้วชิงเอาเป็นของตัวสิได้ ฝ่ายอัยกาบิดาเราก็ได้ทำสงครามปราบปรามกำจัดศัตรูเสียก็เหมือนกัน แม้จะชิงเอาบ้างจะไม่ได้เจียวหรือ...........”
ว่าแล้วก็ให้ตำรวจวังเอาตัวเตียวเจ๊กไปตีเสียจนตายคาไม้ แล้วก็กลับออกไปเสียปล่อยให้ขุนนางปรึกษากันเอง พระเจ้าโจฮวนก็ว่าการกำเริบฉะนี้แล้วท่านจะคิดประการใด กาอุ้นก็ทูลว่า
“............ทุกวันนี้ข้าพเจ้าพิเคราะห์ดูเห็นแผ่นดินก็จะร่วงโรยลงแล้ว ซึ่งพระองค์จะขัดแข็งอยู่นั้นมิได้ การจวนตัวถึงเพียงนี้ ควรหรือพระองค์จะไม่ผ่อนผันนั้น ก็จะมีภัยมาถึงตัว ขอพระองค์จงยกสมบัติให้แก่จีนอ๋องเสียเถิด ก็จะมีความสุขสืบไป..........”
พระเจ้าโจฮวนก็ยอมทำตามคำของขุนนาง จึงกำหนดวันให้ขุนนางฝ่ายบุ๋นฝ่ายบู๊ทั้งปวงมาพร้อมกันหน้าที่นั่ง แล้วพระเจ้าโจฮวนก็เอาตราหยกสำหรับว่าราชการเมือง มอบให้ จีนอ๋อง เมื่อได้รับมอบแล้ว จีนอ๋องก็ขึ้นไปนั่งบนที่สูง ให้พระเจ้าโจฮวนคุกเข่าลงคำนับต่อหน้าขุนนาง แล้วชักกระบี่ออกประกาศว่า
“...........พระเจ้าเหี้ยนเต้เสวยราชสมบัติ ครองแผ่นดินนี้มาได้ยี่สิบห้าปี โจโฉผู้เป็นอัยกาของท่านกำจัดเสีย ขึ้นครอบครองราชสมบัติสืบแซ่มาถึงสี่สิบห้าปี บัดนี้แผ่นดินร่วงโรยถึงกำหนดที่เราจะได้เป็นใหญ่ในราชสมบัติแล้ว ตัวท่านอย่ามีความวิตกไปเลย.........”
แล้วพระเจ้าจีนอ๋องก็ตั้งให้พระเจ้าโจฮวนเป็นที่ตันลิวอ๋อง ให้ไปอยู่เมืองกิมหลงเสีย กำหนดว่ามิได้มีข้อรับสั่งให้มา ก็อย่ามาเฝ้าเป็นอันขาดทีเดียว พระเจ้าโจฮวนซึ่งเป็นหลานของโจโฉมีวาสนาได้ครองแผ่นดินเพียงห้าปี ก็คำนับลาพาเอาครอบครัวพรรคพวกของตน ไปอยู่ที่เมืองกิมหลงเสีย ตามรับสั่งของฮ่องเต้องค์ใหม่
พระเจ้าจีนอ๋องหรือสุมาเอี๋ยนได้ครองราชสมบัติ เป็นฮ่องเต้ของวุยก๊กและจ๊กก๊กรวมกันตั้งแต่ พ.ศ.๘๐๘ ด้วยความสุขสำราญ ครั้นทางเมืองกังตั๋งแคว้นง่อก๊กเกิดระส่ำระสาย เพราะพระเจ้าซุนโฮมิได้ประพฤติตามขนบธรรมเนียมแต่ก่อน ประเพณีแผ่นดินฟั่นเฟือนอยู่หาเป็นปกติไม่ จึงให้เอียวเก๋าเจ้าเมืองซงหยงตระเตรียมทหารไว้ ถ้าทางเมืองกังตั๋งเกิดจลาจลขึ้นแล้ว ก็ยกทัพใหญ่ไปโจมตีทันที แต่เอียวเก๋าตระเตรียมทหารคอยอยู่เป็นเวลานาน พระเจ้าสุมาเอี๋ยนก็มิได้ยกกองทัพไป จนกระทั่งเอียวเก๋าป่วยถึงแก่ความตายไป
เตาอี้เจ้าเมืองเกงจิ๋วก็มีหนังสือมาทูลพระเจ้าสุมาเอี๋ยนว่า ลกข้องแลเตงฮองนายทหารใหญ่ของเมืองกังตั๋ง ได้ถึงแก่ความตายแล้ว พระเจ้าซุนโฮก็ประพฤติการฟั่นเฟือน เสพสุราเป็นนิจ ขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยทูลห้ามปรามก็ให้ตัดปากจมูกเสีย ไพร่ฟ้าอาณาประชาราษฎรได้ความเดือดร้อนเป็นอันมาก จะขอยกทหารไปตีเอาเมืองกังตั๋งให้จงได้
พระเจ้าสุมาเอี๋ยนก็ให้ตังอี้คุมทหารสิบหมื่น เป็นแม่ทัพยกไปทางเมืองกังเหลง ให้สุมาเตี้ยมเจ้าเมืองหลงเสียยกทหารห้าหมื่นไปทางตำบลอิต๋ง และให้นายทหารอีกสี่นายยกทหารคนละห้าหมื่น แยกไปทางตีเมืองกังตั๋งเป็นสี่ทาง และให้อยู่ในบังคับบัญชากับตังอี้ทั้งสิ้นทุกหมวดทุกกอง กับให้นายทหารอีกสองนายคุมเรือสำหรับจะขนส่งทแกล้วทหารทั้งปวง ข้ามปากอ่าวไปตีเมืองกังตั๋งพร้อมกัน
กองทัพของตังอี้ยกไปตีรายทางได้ชัยชนะทั้งทางบกและทางน้ำ จนถึงกำแพงเมืองกังตั๋ง พระเจ้าซุนโฮขึ้นไปทอดพระเนตรบนเชิงเทิน เห็นทหารของพระองค์พ่ายแพ้ไม่อาจต้อสู้ได้ ก็ชักกระบี่ออกจะเชือดพระศอ แต่พวกขุนนางได้ช่วยกันห้ามไว้ แล้วทูลขอให้ยอมอ่อนน้อมเสีย จะได้มีพระชนม์ชีพอยู่ เช่นเดียวกับพระเจ้าเล่าเสี้ยน พระเจ้าซุนโฮจึงยอมอ่อนน้อมต่อแม่ทัพเรือของพระเจ้าสุมาเอี๋ยน แล้วก็พากันมาเฝ้าพระเจ้าสุมาเอี๋ยนที่เมืองลกเอี๋ยง
พระเจ้าสุมาเอี๋ยนทอดพระเนตรเห็นพระเจ้าซุนโฮเข้ามาคำนับแล้วซบพระพักตร์อยู่ จึงตรัสสัพยอกว่า
“..............ที่อันนี้เราแต่งไว้ท่าท่านอยู่ช้านานแล้ว...........”
พระเจ้าซุนโฮก็สนองตอบว่า
“............ข้าพเจ้าอยู่เมืองกังตั๋งนั้น ก็ได้แต่งที่ไว้คำนับพระองค์เหมือนฉะนี้ ก็ช้านานหลายปี เหมือนหนึ่งพระองค์แต่งไว้ท่าข้าพเจ้า.........”
แล้วทั้งสองพระองค์ก็ทรงพระสรวลชื่นชมยินดี แล้วจัดโต๊ะมาเลี้ยงกันตามประเพณี ดุจดังไม่เคยเป็นข้าศึกแก่กันมาก่อนเลย
พระเจ้าสุมาเอี๋ยนก็ตั้งให้พระเจ้าซุนโฮเป็นที่อุ้ยเบ้งเฮา และให้ขุนนางที่ติดตามมา มีตำแหน่งตามฐานาศักดิ์เช่นเดิม
ขณะนั้นเป็น พ.ศ.๘๒๓ ต่อมาอีกสองปี พระเจ้าโจฮวนหรือตันลิวอ๋อง ก็ถึงแก่ความตาย อีกสองปีพระเจ้าซุนโฮหรืออุ้ยเบ้งเฮาก็ถึงแก่ความตาย อีกสามปีพระเจ้าเล่าเสี้ยนหรืออ่านลกก๋งก็ถึงแก่ความตาย
พระเจ้าสุมาเอี๋ยนก็ได้ครอบครองอาณาจักรจีนอันกว้างใหญ่ไพศาลแต่พระองค์เดียว เป็นพระเจ้าซีโจบู๊ฮ่องเต้ เปลี่ยนนามแผ่นดินเป็นไต้จิ้น เริ่มราชวงศ์จิ้นแต่นั้นมา
สามก๊กฉบับลายคราม ก็สิ้นถ้อยกระทงความลงโดยสมบูรณ์แต่เพียงนี้.
##########
ผู้พิชิตสามก๊ก (๑๓) ๑๕ ก.พ.๖๑
ผู้พิชิตสามก๊ก
ตอนที่ ๑๓ สยบแคว้นกังตั๋ง
]
เล่าเซี่ยงชุน
เมื่อจัดการปกครองเมืองเสฉวนแคว้นจ๊กก๊กเรียบร้อยแล้ว ขุนนางทั้งปวงก็ปรึกษากันว่า สุมาเจียวมหาอุปราชครั้งนี้ทำการมีความชอบมาก ควรจะเป็นที่จีนอ๋อง จึงพากันไปกราบทูลพระเจ้าโจฮวน ฮ่องเต้ก็เห็นชอบด้วยจึงตั้งให้สุมาเจียวเป็นที่จีนอ๋อง เช่นเดียวกับที่โจโฉเคยได้เป็นวุยอ๋อง มาแล้วในสมัยพระเจ้าเหี้ยนเต้
สุมาเจียวก็มีใจกำเริบคิดว่า แผ่นดินนี้เป็นของสุมาสูพี่ชายของตน ทำไว้ราบคาบสืบกันมา แลบัดนี้สุมาเอี๋ยน สุมาฮิว บุตรชายทั้งสองก็จำเริญวัยขึ้นแล้ว ควรจะตั้งแต่งให้เป็นใหญ่ อันสุมาเอี๋ยนผู้พี่นั้นลักษณะก็มีวาสนา ผมก็ยาวมือก็ยาว ฟันขาว ปัญญาพาทีเฉลียวฉลาดหลักแหลม แต่ทว่าไม่ค่อยจะถูกใจตน ส่วนสุมาฮิวผู้น้องซึ่งสุมาสูได้รักใคร่เอาไปเลี้ยงแต่เล็กนั้น มีใจสัตย์ซื่อมั่นคงดีควรที่จะตั้งให้เป็นใหญ่ แต่เมื่อปรึกษาขุนนางแล้ว ขุนนางทั้งปวงก็ทักท้วงว่า
“...........ซึ่งท่านจะตั้งสุมาฮิวเป็นชีจู๊นั้นมิชอบ ด้วยข้าพเจ้าเห็นว่าแผ่นดินแต่ก่อนเกิดจลาจลนั้น ก็เพราะกลับเอาผู้ใหญ่เป็นผู้น้อย มิได้ทำตามธรรมเนียมบุราณ ครั้งนี้ท่านจะตั้งน้องให้เป็นใหญ่กว่าพี่นั้นข้าพเจ้าไม่เห็นด้วย.........”
สุมาเจียวก็เห็นด้วยจึงตั้งให้สุมาเอี๋ยนเป็นเจ้าชีจู๊ ค่อมาอีกไม่นานขุนนางเอาเนื้อความมาแจ้งแก่สุมาเจียวว่า
“...........ข้าพเจ้าได้ยินเขาลือว่า เมืองซงบู๊ก๋วนมีคนลงมาแต่สวรรค์ สูงได้สี่วา ฝ่าตีนยาวสองศอก นุ่งเหลืองห่มเหลือง ผมขาวหนวดขาว ถือไม้เท้าเที่ยวร้องประกาศไปรอบเมืองว่า เป็นเจ้าแก่มนุษย์บอกคนทั้งหลายให้รู้ว่า แต่นี้ไปจะมีเจ้าแผ่นดินมาเปลี่ยนใหม่ อาณาประชาราษฎรทั้งปวงจะอยู่เย็นเป็นสุข อย่าปรารมภ์เลย............”
สุมาเจียวได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี สำคัญว่าตัวจะได้เป็นเจ้าแผ่นดิน เลยเกิดเป็นลมล้มแน่นิ่งไป ขุนนางก็พากันถามอาการสุมาเจียวก็พูดไม่ออก เอาแต่มือชี้ไปแต่สุมาเอี๋ยนเท่านั้น แล้วก็สิ้นใจตายไปในทันใด
ขุนนางทั้งปวงก็แต่งการศพสุมาเจียวตามประเพณี แล้วแล้วก็ปรึกษากันว่า
“.........อันราชการบ้านเมืองแต่ก่อนนั้น สิทธิ์ขาดอยู่แก่เจ้าจีนอ๋อง บัดนี้เจ้าจีนอ๋องก็หาบุญไม่แล้ว ควรที่จะยกเจ้าชีจู๊เป็นที่จีนอ๋องว่าราชการบ้านเมืองสืบไป..........”
ขุนนางทั้งปวงเห็นพร้อมกันแล้ว ก็ตั้งให้เจ้าชีจู๊เป็นที่จีนอ๋องแทนสุมาเจียวผู้บิดา และให้โฮเจ้งเป็นที่มหาอุปราช แล้วแต่งตั้งขุนนางทั้งปวงครบตามตำแหน่ง
ต่อมาจีนอ๋องก็ให้หากาอุ้นกับขุนนางมาถามว่าโจโฉกับสุมาเจียวบิดาของตน ผู้ใดจะดีกว่ากัน กาอุ้นก็ว่า
“............อันโจโฉนั้นทำการทั้งปวงมีความชอบมากก็จริง แต่ทว่าอาณาประชาราษฎรหารักใคร่สนิทไม่ ถึงมาตรว่าทำสมบัติไว้ให้แก่โจผีผู้บุตรเล่า ก็ยังมิราบคาบสิ้น ทิศเหนือทิศใต้ก็เป็นเสี้ยนหนามอยู่ อันพระอัยกาของท่านได้ทำการมาก็หนักหนา ปรากฏชื่อเสียงเลื่องลือเป็นอันมาก แลอาณาประชาราษฎรก็รักใคร่สนิท พระบิดาของท่านเล่าก็ซ้ำได้เมืองเสฉวน ครั้งนี้มีเกียรติยศเป็นที่ยำเกรงก็มาก ซึ่งจะเอาโจโฉมาเปรียบกันนั้นเห็นไกลกันนัก.........”
จีนอ๋องจึงว่า
“...........แต่ก่อนแผ่นดินนี้ก็เป็นของพระเจ้าเหี้ยนเต้ โจโฉคิดอ่านกำจัดเสีย ชิงเอาราชสมบัติของพระองค์เป็นของตัวได้ แม้ว่าเราจะชิงเอาสมบัติของพระเจ้าโจฮวน เหมือนกระนั้นบ้างจะไม่ได้เจียวหรือ...........”
กาอุ้นจึงว่า
“..........ท่านว่านี้ชอบ ซึ่งจะชิงเอาราชสมบัติของพระเจ้าโจฮวนนั้น ก็เหมือนช่วยแก็แค้นพระเจ้าเหี้ยนเต้ ท่านคิดฉะนี้ต้องด้วยประเพณีแผ่นดินอยู่แล้ว............”
จีนอ๋องได้ฟังกาอุ้นให้ท้ายเช่นนั้น ก็กำเริบน้ำใจถือกระบี่เข้าไปในวัง พระเจ้า โจฮวนเห็นดังนั้นก็กระทำคำนับแล้วเชิญให้นั่งในที่สมควร แต่จีนอ๋องไม่นั่งกลับถามว่า
“............พระองค์รู้หรือไม่ว่าราชสมบัติบ้านเมืองทั้งปวงนี้ผู้ใดทำไว้............”
พระเจ้าโจฮวนก็ตรัสว่า
“............อันราชสมบัติ บ้านเมืองซึ่งเป็นปกติราบคาบ เราได้อาศัยเป็นสุขอยู่ทั้งนี้ ก็เพราะกำลังปัญญาความคิดปู่ท่านแลบิดาท่านทำไว้ให้แก่เรา...........”
จีนอ๋องจึงว่า
“............ข้าพเจ้าเห็นพระองค์ทุกวันนี้ สติปัญญาก็น้อย จะจัดแจงทหารก็ไม่เป็น จะว่ากล่าวกิจการฝ่ายพลเรือนเล่าก็มิได้ สารพัดที่ไม่สมประกอบสิ้น ต้องการอันใดจะมานั่งกอดสมบัติอยู่ ถ้ายกให้กับผู้อื่นที่มีสติปัญญาว่ากล่าวกิจการแผ่นดิน มิดีหรือ............”
พระเจ้าโจฮวนได้ฟังดังนั้นก็ตกพระทัย กอดพระหัตถ์ซบพระพักตร์นิ่งอยู่ เตียวเจ๊กขุนนางผู้ใหญ่อยู่ในที่เฝ้า จึงว่า
“.............เหตุไฉนท่านจึงมาเจรจาดังนี้ ครั้งเมื่อพระเจ้าโจโฉยังมีพระชนม์อยู่ ทรงพระอุตส่าห์มิได้คิดแก่ชีวิต สู้ทรมานพระองค์ไปเที่ยวปราบปรามหัวเมืองทั้งปวง ให้ราบคาบปราศจากเสี้ยนหนามหลักตอ กำจัดราชศัตรูเสียทำให้อาณาประชาราษฎรเป็นสุข แล้วก็ยกแผ่นดินให้แก่พระญาติวงศ์ครอบครองสืบ ๆ กันมา พระเจ้าโจฮวนก็มิได้ทำสิ่งใดให้แผ่นดินเดือดร้อน หาความผิดมิได้ ซึ่งท่านจะให้ยกสมบัติแก่ผู้อื่นเสียง่าย ๆ นั้นด้วยเหตุอันใด...........”
จีนอ๋องก็โกรธจึงว่า
“............ราชสมบัติทั้งนี้ เดิมเป็นของพระเจ้าเหี้ยนเต้ โจโฉเป็นข้าของพระองค์ คิดอ่านกำจัดพระองค์เสีย แล้วชิงเอาเป็นของตัวสิได้ ฝ่ายอัยกาบิดาเราก็ได้ทำสงครามปราบปรามกำจัดศัตรูเสียก็เหมือนกัน แม้จะชิงเอาบ้างจะไม่ได้เจียวหรือ...........”
ว่าแล้วก็ให้ตำรวจวังเอาตัวเตียวเจ๊กไปตีเสียจนตายคาไม้ แล้วก็กลับออกไปเสียปล่อยให้ขุนนางปรึกษากันเอง พระเจ้าโจฮวนก็ว่าการกำเริบฉะนี้แล้วท่านจะคิดประการใด กาอุ้นก็ทูลว่า
“............ทุกวันนี้ข้าพเจ้าพิเคราะห์ดูเห็นแผ่นดินก็จะร่วงโรยลงแล้ว ซึ่งพระองค์จะขัดแข็งอยู่นั้นมิได้ การจวนตัวถึงเพียงนี้ ควรหรือพระองค์จะไม่ผ่อนผันนั้น ก็จะมีภัยมาถึงตัว ขอพระองค์จงยกสมบัติให้แก่จีนอ๋องเสียเถิด ก็จะมีความสุขสืบไป..........”
พระเจ้าโจฮวนก็ยอมทำตามคำของขุนนาง จึงกำหนดวันให้ขุนนางฝ่ายบุ๋นฝ่ายบู๊ทั้งปวงมาพร้อมกันหน้าที่นั่ง แล้วพระเจ้าโจฮวนก็เอาตราหยกสำหรับว่าราชการเมือง มอบให้ จีนอ๋อง เมื่อได้รับมอบแล้ว จีนอ๋องก็ขึ้นไปนั่งบนที่สูง ให้พระเจ้าโจฮวนคุกเข่าลงคำนับต่อหน้าขุนนาง แล้วชักกระบี่ออกประกาศว่า
“...........พระเจ้าเหี้ยนเต้เสวยราชสมบัติ ครองแผ่นดินนี้มาได้ยี่สิบห้าปี โจโฉผู้เป็นอัยกาของท่านกำจัดเสีย ขึ้นครอบครองราชสมบัติสืบแซ่มาถึงสี่สิบห้าปี บัดนี้แผ่นดินร่วงโรยถึงกำหนดที่เราจะได้เป็นใหญ่ในราชสมบัติแล้ว ตัวท่านอย่ามีความวิตกไปเลย.........”
แล้วพระเจ้าจีนอ๋องก็ตั้งให้พระเจ้าโจฮวนเป็นที่ตันลิวอ๋อง ให้ไปอยู่เมืองกิมหลงเสีย กำหนดว่ามิได้มีข้อรับสั่งให้มา ก็อย่ามาเฝ้าเป็นอันขาดทีเดียว พระเจ้าโจฮวนซึ่งเป็นหลานของโจโฉมีวาสนาได้ครองแผ่นดินเพียงห้าปี ก็คำนับลาพาเอาครอบครัวพรรคพวกของตน ไปอยู่ที่เมืองกิมหลงเสีย ตามรับสั่งของฮ่องเต้องค์ใหม่
พระเจ้าจีนอ๋องหรือสุมาเอี๋ยนได้ครองราชสมบัติ เป็นฮ่องเต้ของวุยก๊กและจ๊กก๊กรวมกันตั้งแต่ พ.ศ.๘๐๘ ด้วยความสุขสำราญ ครั้นทางเมืองกังตั๋งแคว้นง่อก๊กเกิดระส่ำระสาย เพราะพระเจ้าซุนโฮมิได้ประพฤติตามขนบธรรมเนียมแต่ก่อน ประเพณีแผ่นดินฟั่นเฟือนอยู่หาเป็นปกติไม่ จึงให้เอียวเก๋าเจ้าเมืองซงหยงตระเตรียมทหารไว้ ถ้าทางเมืองกังตั๋งเกิดจลาจลขึ้นแล้ว ก็ยกทัพใหญ่ไปโจมตีทันที แต่เอียวเก๋าตระเตรียมทหารคอยอยู่เป็นเวลานาน พระเจ้าสุมาเอี๋ยนก็มิได้ยกกองทัพไป จนกระทั่งเอียวเก๋าป่วยถึงแก่ความตายไป
เตาอี้เจ้าเมืองเกงจิ๋วก็มีหนังสือมาทูลพระเจ้าสุมาเอี๋ยนว่า ลกข้องแลเตงฮองนายทหารใหญ่ของเมืองกังตั๋ง ได้ถึงแก่ความตายแล้ว พระเจ้าซุนโฮก็ประพฤติการฟั่นเฟือน เสพสุราเป็นนิจ ขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยทูลห้ามปรามก็ให้ตัดปากจมูกเสีย ไพร่ฟ้าอาณาประชาราษฎรได้ความเดือดร้อนเป็นอันมาก จะขอยกทหารไปตีเอาเมืองกังตั๋งให้จงได้
พระเจ้าสุมาเอี๋ยนก็ให้ตังอี้คุมทหารสิบหมื่น เป็นแม่ทัพยกไปทางเมืองกังเหลง ให้สุมาเตี้ยมเจ้าเมืองหลงเสียยกทหารห้าหมื่นไปทางตำบลอิต๋ง และให้นายทหารอีกสี่นายยกทหารคนละห้าหมื่น แยกไปทางตีเมืองกังตั๋งเป็นสี่ทาง และให้อยู่ในบังคับบัญชากับตังอี้ทั้งสิ้นทุกหมวดทุกกอง กับให้นายทหารอีกสองนายคุมเรือสำหรับจะขนส่งทแกล้วทหารทั้งปวง ข้ามปากอ่าวไปตีเมืองกังตั๋งพร้อมกัน
กองทัพของตังอี้ยกไปตีรายทางได้ชัยชนะทั้งทางบกและทางน้ำ จนถึงกำแพงเมืองกังตั๋ง พระเจ้าซุนโฮขึ้นไปทอดพระเนตรบนเชิงเทิน เห็นทหารของพระองค์พ่ายแพ้ไม่อาจต้อสู้ได้ ก็ชักกระบี่ออกจะเชือดพระศอ แต่พวกขุนนางได้ช่วยกันห้ามไว้ แล้วทูลขอให้ยอมอ่อนน้อมเสีย จะได้มีพระชนม์ชีพอยู่ เช่นเดียวกับพระเจ้าเล่าเสี้ยน พระเจ้าซุนโฮจึงยอมอ่อนน้อมต่อแม่ทัพเรือของพระเจ้าสุมาเอี๋ยน แล้วก็พากันมาเฝ้าพระเจ้าสุมาเอี๋ยนที่เมืองลกเอี๋ยง
พระเจ้าสุมาเอี๋ยนทอดพระเนตรเห็นพระเจ้าซุนโฮเข้ามาคำนับแล้วซบพระพักตร์อยู่ จึงตรัสสัพยอกว่า
“..............ที่อันนี้เราแต่งไว้ท่าท่านอยู่ช้านานแล้ว...........”
พระเจ้าซุนโฮก็สนองตอบว่า
“............ข้าพเจ้าอยู่เมืองกังตั๋งนั้น ก็ได้แต่งที่ไว้คำนับพระองค์เหมือนฉะนี้ ก็ช้านานหลายปี เหมือนหนึ่งพระองค์แต่งไว้ท่าข้าพเจ้า.........”
แล้วทั้งสองพระองค์ก็ทรงพระสรวลชื่นชมยินดี แล้วจัดโต๊ะมาเลี้ยงกันตามประเพณี ดุจดังไม่เคยเป็นข้าศึกแก่กันมาก่อนเลย
พระเจ้าสุมาเอี๋ยนก็ตั้งให้พระเจ้าซุนโฮเป็นที่อุ้ยเบ้งเฮา และให้ขุนนางที่ติดตามมา มีตำแหน่งตามฐานาศักดิ์เช่นเดิม
ขณะนั้นเป็น พ.ศ.๘๒๓ ต่อมาอีกสองปี พระเจ้าโจฮวนหรือตันลิวอ๋อง ก็ถึงแก่ความตาย อีกสองปีพระเจ้าซุนโฮหรืออุ้ยเบ้งเฮาก็ถึงแก่ความตาย อีกสามปีพระเจ้าเล่าเสี้ยนหรืออ่านลกก๋งก็ถึงแก่ความตาย
พระเจ้าสุมาเอี๋ยนก็ได้ครอบครองอาณาจักรจีนอันกว้างใหญ่ไพศาลแต่พระองค์เดียว เป็นพระเจ้าซีโจบู๊ฮ่องเต้ เปลี่ยนนามแผ่นดินเป็นไต้จิ้น เริ่มราชวงศ์จิ้นแต่นั้นมา
สามก๊กฉบับลายคราม ก็สิ้นถ้อยกระทงความลงโดยสมบูรณ์แต่เพียงนี้.
##########