ผู้หักด้ามพร้าด้วยเข่า ๑๗ มี.ค.๖๐

สามก๊กภาคปลาย

๔.ผู้หักด้ามพร้าด้วยเข่า

"เล่าเซี่ยงชุน"

ฝ่าย โจมอ เจ้าเมืองงวนเสีย ซึ่งมีศักดิ์เป็นหลานของ พระเจ้าโจผี เมื่อได้รับหนังสือของ สุมาสู มหาอุปราชเมืองลกเอี๋ยงแล้ว ก็ขึ้นเกวียนขับมาคนเดียว โดยไม่รู้เรื่องว่าเขาเชิญมาทำไม พอมาถึงประตูเมืองทางทิศเหนือเจอกลุ่มขุนนางผู้ใหญ่ที่มารอรับ ก็รีบลงจากเกวียนกระทำคำนับขุนนางกลุ่มนั้น ออกสก ขุนนางอาวุโสก็ห้ามไว้

โจมอก็ตอบโดยซื่อว่า

"....ตัวข้าพเจ้าก็เป็นข้าแผ่นดิน จะมิคำนับท่านนั้นมิควร....."

ขุนนางก็เชิญโจมอขึ้นเกวียนเข้าไปในวัง โจมอก็ขัดขืนไม่ยอมขึ้น คงเดินไปพร้อม ๆ กับขุนนางเหล่านั้น จนพบสุมาสูรออยู่หน้าวัง โจมอก็ก้มลงกราบ สุมาสูก็พยุงโจมอให้ลุกขึ้น แล้วพาเข้าไปเฝ้า นางกวยทายเฮา ในท้องพระโรง

นางกวยทายเฮาก็กล่าวแก่โจมอว่า

".....เมื่อน้อย ๆ ข้าพิเคราะห์ ดูเห็นประหลาด ทั้งกิริยามารยาทและลักขณาราศีดีนัก แปลกเด็กทั้งปวง ข้าก็นึกอยู่ในใจว่า เจ้าจะได้เป็นพระเจ้าแผ่นดินเป็นมั่นคง บัดนี้ก็สมที่นึกไว้ ขุนนางทั้งปวงปรึกษาพร้อมกัน จะให้เสวยราชสมบัติสืบเชื้อพระวงศ์ ถ้าเจ้าได้เป็นเจ้าแผ่นดินแล้ว จงตั้งอยู่ในสัตย์ สุจริต อุตส่าห์เอาใจใส่ราชการทั้งปวง จะทำการสิ่งใดให้พิเคราะห์จงดี ให้รู้จักข้อผิด ข้อชอบหนักเบา อย่ามัวเมาไปด้วยการเล่นและสตรี จงทำตามขนบธรรมนียมโบราณราชประเพณีวงศ์กษัตริย์ ซึ่งเสวยราชสมบัติมาแต่ก่อน....."

โจมอก็ทูลว่าข้าพเจ้านี้สติปัญญาน้อย ไม่ควรแก่ราชสมบัติ นางกวยทายเฮากับขุนนางทั้งปวงก็อ้อนวอนเชื้อเชิญถึงสามครั้ง จึงได้รับ สุมาสูก็เชิญเสด็จประทับที่ว่าราชการ แล้วมอบพระแสงกระบี่กับตราหยกสำหรับกษัตริย์ให้ตามประเพณี และถวาย พระนามว่า พระเจ้าเจงหงวน เริ่มนับรัชกาลที่สี่นี้ตั้งแต่ พ.ศ.๗๙๗

พระเจ้าเจงหงวนหรือพระเจ้าโจมอ ก็ตั้งให้สุมาสูเป็นมหาอุปราชตามเดิม มีเกียรติยศใหญ่สามารถจัดขบวนแห่ถือศาสตรวุธ เข้าเฝ้าได้จนถึงใกล้ที่เสด็จออก และไม่ต้องถวายบังคม เพียงแต่คำนับเท่านั้น

ต่อมาอีกสองปี บู๊ขิวเขียม เจ้าเมืองเกงจิ๋วเมืองห้วยหลำและชิวฉุนได้ รวบรวมพรรคพวกของ โจซอง อ้างรับสั่งของนางกวยทายเฮา ยกกองทัพมาตั้งที่เมืองฮางเสีย จะปราบปรามสุมาสูที่ถอดพระเจ้าโจฮองโดยพละการ สุมาสูกำลังป่วยเป็นโรคตาต้อต้องผ่าตัดและใส่ยารักษาอยู่ ไม่รู้ว่าจะใช้ใครดีก็แข็งใจยกกองทัพออกไปเอง โดยให้สุมาเจียวอยู่รักษาเมืองลกเอี๋ยง และมีหนังสือแจ้งให้ เตงงาย เจ้าเมืองกุนจิ๋วยกทัพ มาช่วย

สุมาสูกับเตงงายก็สามารถปราบขบถได้ บู๊ขิวเขียมแตกหนีไปถึงเมืองซิมก๋วน ตัว
เจ้าเมืองเปิดประตูต้อนรับและจัดเลี้ยงอย่างดี พอบู๊ขิวเขียมเมาสุรา เจ้าเมืองก็ฆ่าเสีย แล้วตัดศรีษะไปให้สุมาสูเอาบำเหน็จความชอบ

สุมาสูกลับมาถึงเมืองฮูโต๋แล้ว โรคตาก็กำเริบเจ็บปวดหนัก จึงเรียกสุมาเจียวจากเมืองลกเอี๋ยงมาพบ แล้วสั่งว่า

".......ข้าทำราชการมาก็ได้เป็นที่มหาอุปราช อุตส่าห์รักษาตัวมาได้ไม่มีอันตราย เจ้าจะทำราชการแทนพี่สืบไป อุตส่าห์ระวัง รักษาตัวจงดี ถ้ามีราชการเป็นข้อใหญ่ อย่าไว้ใจแก่ผู้อื่นจะเสียราชการ จะยิ้มสิ้นทั้งโคตร...."

ว่าแล้วก็มอบตราประจำตำแหน่งให้น้องชายรับไว้ สุมาเจียวอยากจะให้พี่ชายสั่งความต่อไป แต่อาการกำเริบหนัก สุมาสูก็ขาดใจตายไป

เมื่อพระเจ้าโจมอทราบเรื่อง ก็ให้สุมาเจียวอยู่รักษาเมืองฮูโต๋ เพื่อ
ป้องกันกองทัพเมืองกังตั๋ง สุมาเจียวไม่พอใจก็ยกกองทัพไปตั้งอยู่ที่ตำบลลกซุน ใกล้เมืองลกเอี๋ยง คอยดูว่าพระเจ้าโจมอจะตั้งใครเป็นอุปราชแทนพี่ชาย

พระเจ้าโจมอตกใจจึงตั้งให้สุมาเจียวเป็นมหาอุปราชสืบต่อไป
สุมาเจียวก็ได้เป็นใหญ่ไม่มีใครเสมอ เช่นเดียวกับสุมาสู สมใจอยาก

ทางเมืองเสฉวนเห็นได้ที เกียงอุย ก็อาสา พระเจ้าเล่าเสี้ยน ยกทัพ หกสิบหมื่นไปตีวุยก๊กเป็นครั้งที่สาม โดยอ้างว่าสุมาสูถอด พระเจ้าโจฮอง ผิดประเพณีจึงยกกองทัพมาทำโทษ แล้วก็ตีกองทหารของฝ่ายวุยก๊กจำนวนเจ็ดหมื่น แตกพ่ายจากแม่น้ำเจ้าซุยเลยไปถึงเมืองเต๊กโต ไปเจอเอา เตงงาย นายทหารฝีมือดีของวุยก๊กยกมาช่วย ทำอุบายหลอกล่อว่ามีกำลังพลมากมาย เกียงอุยเกรงจะเสียกลจึงถอยทัพกลับเสฉวน

พระเจ้าโจมอก็ให้บำเหน็จความชอบแก่เตงงาย เลื่อนเป็นอันไสจงกุ๋น คุมทหารรักษาเมืองเองจิ๋ว เตงงายก็จัดการวางกำลัง ป้องกันเส้นทางที่กองทัพเมืองเสฉวนจะยกเข้ามาให้มั่นคงทุกด่านทุกตำบล

เมื่อเกียงอุยยกทัพมาอีกเป็นครั้งที่สี่ จึงถูกเตงงายตีแตกยับเยินกลับไป สุมาเจียวมหาอุปราชก็เลื่อนตำแหน่งเตงงายให้สูงขึ้นไปอีก

เมื่อพระเจ้าโจมอเสวยราชย์เข้าปีที่สาม สุมาเจียวซึ่งเป็นใหญ่เหนือกว่าใครในแผ่นดินวุยก๊ก ก็เริ่มมัวเมาในยศบรรดาศักดิ์ คิดอาจเอื้อมอยากจะชิงเอาราชสมบัติเสียเอง แต่ยังเกรงใจขุนนางอื่น ๆ อยู่ จึงลองให้ลิ่วล้อคนสนิท ไปทาบทามฟังความที่เมืองห้วยหลำก่อน

เจ้าเมืองคือ จูกัดเอี๋ยน เป็นลูกพี่ลูกน้องกับ จูกัดเหลียง หรือ ขงเบ้ง แต่รับราชการคนละก๊ก เมื่อครั้งที่ขงเบ้งยังมีชีวิตอยู่ก็ไม่ค่อยได้ก้าวหน้า เพราะขุนนางทั้งปวงไม่ไว้ใจเกรงจะไปเข้ากับพี่น้อง จนกระทั่งขงเบ้งตายแล้ว จึงได้เป็นเจ้า
เมือง

ปรากฎว่าจูกัดเอี๋ยนยังซื่อสัตย์ต่อพระเจ้าโจมอ สุมาเจียวจึงคิดกำจัดเสีย โดยสั่ง
เรียกตัวจูกัดเอี๋ยนเข้ามาทำราชการในเมืองหลวง จูกัดเอี๋ยนรู้ทันจึงยกทหารเข้าตีเมืองเกงจิ๋ว ซึ่ง งักหลิม เจ้าเมือง เป็นพรรคพวกของสุมาเจียว จูกัดเอี๋ยนก็ฆ่างักหลิมตาย แล้วยึดเมืองไว้ได้

จากนั้นจูกัดเอี๋ยนก็รวบรวมทหาร จากเมืองห้วยหลำเมืองห้วยเข และ เมืองเกงจิ๋วได้ยี่สิบหมื่นเศษ เตรียมม้าเครื่องศาสตราวุธและเสบียงไว้พร้อมสรรพ แล้วก็ส่งบุตรชายไปไว้ที่เมืองกังตั๋ง ขอทหารมาช่วยอีกเจ็ดหมื่น จะยกไปตีเมืองลกเอี๋ยง

สุมาเจียวเกรงว่าถ้ายกกองทัพออกไปสู้คนเดียว จะถูกขุนนางในเมืองหักหลัง จึงเชิญพระเจ้าโจมอและนางกวยทายเฮาไปในกองทัพด้วย พระเจ้าโจมอก็เกิดสงสัยว่า

".....ท่านมหาอุปราชได้ว่าราชการทั้งแผ่นดิน เป็นสิทธิ์ขาดอยู่แก่ท่าน จะบัง
คับบัญชาผู้ใดก็มิได้ขัดขวาง ตามแต่จะไปเถิด ซึ่งจะให้ข้าพเจ้าไปนั้นด้วยเหตุใด....."

สุมาเจียวก็แก้ไปว่า

".....ครั้ง พระเจ้าโจโฉ ไปเที่ยวปราบปราม ศัตรูจนถึงท้องพระมหาสมุทร ฝ่ายพระเจ้าโจผี พระเจ้าโจยอย ก็คิดจะใคร่ให้แผ่นดิน ราบคาบ ถ้าราชศัตรูบังเกิดที่ไหนก็อุตส่าห์ไปปราบทุกทิศ ขอให้พระองค์ไล่ล้างศัตรู ตามอย่างเชื้อพระวงศ์สืบมา ซึ่งพระองค์เกรงกลัวนั้นหาควรไม่....."

พระเจ้าโจมอก็ไม่กล้าขัดขืน จึงนำทัพจากเมืองลกเอี๋ยงและเมืองฮูโต๋ รวมยี่สิบหกหมื่น ยกไปทำศึกกับจูกัดเอี๋ยน จนแตกเตลิดไปถึงเมืองชิวฉุน สุมาเจียวก็ตีหักเข้าเมืองได้ จูกัดเอี๋ยนจะหนีออกจากเมือง ก็ถูกฆ่าตายตรงสะพานหกหน้าเมืองนั้นเอง

สุมาเจียวจึงให้จับบุตรภรรยา และญาติข้างบิดามารดาของจูกัดเอี๋ยน มาฆ่าเสียทั้งสามโคตร

เกียงอุยรู้ข่าวศึกครั้งนี้ ก็ยกทัพมาเป็นครั้งที่ห้า เข้าตีเมืองเตียงเสีย เพื่อจะมุ่งหน้าไปตีเมืองลกเอี๋ยง ยังไม่ทันสำเร็จก็พบกับกองทัพเตงงายคู่แค้นเก่า แต่ คราวนี้เตงงายสัญญาว่าจะออกมารบกันแล้วก็เฉยเสีย ไม่ยอมออกมาถึงหกครั้ง คอยอยู่จนสุมาเจียวจัดการกับจูกัดเอี๋ยนเรียบร้อยแล้วยกมาสมทบกับเตงงาย

เกียงอุยจึงถอยทัพและทำกลลวงจะคอยเผากองทัพเตงงายที่ติดตามมา แต่ไม่สมหวังจึงต้องกลับไปมือเปล่า

หลังจากนั้นแล้ว เกียงอุยก็ยังไม่เลิก ได้ยกทัพมาฟาดกับเตงงายที่เขากิสานอีกเป็นครั้งที่หก คราวนี้เตงงายถูกเกาทัณฑ์สี่แผลเห็นท่าจะแย่ จึงแอบให้ทหารไปติดสินบน ฮุยโฮ ขันทีของพระเจ้าเล่าเสี้ยน ให้เรียกตัวเกียงอุยกลับไปเสีย

พระเจ้าโจมอครองราชย์มาถึงปีที่ห้า สุมาเจียวก็เลิกเคารพ เพราะ
พระเจ้าโจมอเขียนโคลงมีใจความว่า

".....มังกรอันมีฤทธิ์เดช ก็อัศจรรย์ตกลงขังอยู่ในสระ ให้ปลาเล็กปลาน้อยล่วงดูถูก ก็อุปมาเหมือนตัวเรานี้ มีแต่ผู้เบียดเบียนให้ได้รับความเดือดร้อน...."

สุมาเจียวร้อนตัวและโกรธที่รู้ทัน จึงว่า

"..ตัวเราทำราชการมีความชอบเป็นอันมาก ท่านไม่รู้คุณเราทำโคลงเปรียบเทียบเราต่าง ๆ ท่านทำทั้งนี้เห็นชอบอยู่ แล้วหรือ..."

พระเจ้าโจมอก็นิ่งเสียไม่ต่อล้อต่อเถียงด้วย สุมาเจียวจึงหัวเราะเยาเย้ย แล้วลุกเดินออกจากที่เฝ้าโดยมิได้ถวายบังคม

พระเจ้าโจมอเสด็จเข้าวังแล้วก็เรียกขุนนางผู้ใหญ่สามคนเข้ามาหารือว่า สุมาเจียวบังอาจทำหยาบช้าต่อหน้าที่นั่ง เห็นจะเป็นขบถแน่จะทำอย่างไรดี ขุนนางก็พากันห้ามว่าอย่าวู่วามไป เพราะเขามีกำลังมาก แต่พระเจ้าโจมอไม่ฟังเสียงทักท้วงถือกระบี่เสด็จออกไปขับรถ เรียกขุนนางและทหารประมาณสามร้อยคน ยกไปบ้านสุมาเจียว

อองเก๋ง ขุนนางผู้จงรักภักดีก็ร้องไห้ทูลว่า

".....ซึ่งพระองค์ จะยกทหารสามร้อยไปรบกับสุมาเจียวนั้น เหมือนหนึ่งต้อนแพะเข้าไปในปากเสือ ขอพระองค์ จงยับยั้งก่อน....."

พระเจ้าโจมอกำลังหน้ามืดด้วยโทสะก็ไม่ยอมฟังอะไรทั้งสิ้น ยกทหารออกจากประตูวังได้ ก็เจอเอา แกฉง คนสนิทของสุมาเจียว และ เซงเจ กับ เซงจุย สองพี่น้องนายทหารคู่ใจ คุมทหารพันหนึ่งเข้าตีกองทหารรักษาพระองค์ พระเจ้าโจมอก็แกว่งพระแสงกระบี่ร้องประกาศว่า

".....ตัวเราเป็นกษัตริย์ อ้ายเหล่านี้ทำบังอาจหักหาญเข้ามา จะทำร้ายเราหรือ...."

ทหารของสุมาเจียวก็ชงักไม่กล้าเข้าใกล้

แกฉงจึงสั่งเซงเจ ให้จัดการกับพระเจ้าโจมอเสีย เซงเจก็ควงง้าว
ควบม้าบุกเข้าไปถึงรถพระที่นั่ง แทงพระเจ้าโจมอถูกอกพลัดตกลงจากรถ แล้วก็ฟันซ้ำจนสิ้นพระชนม์อยู่กลางถนนนั้นเอง

อองเก๋งร้องด่าว่าไอ้โจรขบถ บังอาจฆ่าฮ่องเต้เชียวหรือ แกฉงก็สั่งให้ทหารจับตัวอองเก๋งไปให้สุมาเจียว

เมื่อสุมาเจียวรู้ข่าว ก็ทำเป็นตกอกตกใจ ขึ้นม้าพาทหารเข้าไปถึงวัง ถวายบังคมพระศพ แล้วก็ร้องไห้ร่ำไรอยู่เป็นอันมาก และสั่งให้เชิญพระศพไปจัดพิธีตามป
ประเพณีกษัตริย์ เสร็จแล้วสุมาเจียวก็ปรึกษากับขุนนางผู้ใหญ่ว่า บัดนี้มีผู้ทำร้ายพระเจ้าโจมอ จะให้ทำโทษประการใด

ต้านท่าย ขุนนางผู้ใหญ่จึงว่า เหตุเกิดทั้งนี้เพราะแกฉงผู้เดียว ให้เอาตัวไปฆ่าเสียจึงจะชอบ สุมาเจียวก็บ่ายเบี่ยงว่า แกฉงมาด้วยก็จริงแต่หาได้ลงมือทำการไม่ เซงเจเป็นตัวขบถควรจะฆ่าเสียทั้งสามชั่วโคตรจึงจะชอบ

เซงเจได้ฟังก็ซัดว่าแกฉงเป็นคนบงการ แต่สุมาเจียวไม่ฟังเสียง รีบให้เอาตัวไปประหารเสียโดยด่วน รวมทั้งเซงจุยผู้น้องและญาติพี่น้องสมัครพรรคพวกทั้งหมด เซงเจผู้ต้องตกเป็นแพะรับบาป ก็ร้องแช่งด่าสุมาเจียวไปจนขาดใจตาย

แล้วสุมาเจียวก็ให้เอาตัวอองเก๋งซึ่งไม่ได้มีความผิดเลย มาพิจารณาโทษเสียด้วย อองเก๋งรู้ชะตากรรมของตนเองดีก็คำนับลามารดาแล้วก็ร้องไห้ มารดากลับหัวเราะแล้วว่า

"....เกิดมาแล้วจะหนีความตายไปไหนพ้น ตัวเราจะตายก็ไม่เสียดายชีวิต เพราะมีความสัตย์กตัญญูต่อเจ้า ก็จะปรากฎชื่อไปภายหน้า....."

แล้วก็ถูกนำไปประหารเสียอีกหนึ่งโคตร

พระเจ้าโจมอซึ่งราชรถมาเกยให้เป็นฮ่องเต้โดยไม่รู้ตัว ได้เพียงห้าปี ก็ถึงกาลอวสานลงเพราะคิดสั้น

ดังพังเพยจีนที่ว่า เอาฟองไก่ไปกระทบศิลา หรือ หักด้ามพร้าด้วยเข่า ตามพังเพยไทย ซึ่งมีแต่จะทำให้ตนเองต้องประสบความพินาศย่อยยับ เป็น อันตรายถึงแก่ชีวิต ไปอย่างง่ายดายเช่นนี้.

##########
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่