เชื้อสายตนดัง ๒๙ มิ.ย.๕๙

กระทู้สนทนา
เสี้ยวสามก๊ก

    เชื้อสายคนดัง
                                          " เล่าเซี่ยงชุน "

                    ในนิยายอิงพงศาวดารจีนเรื่องสามก๊ก ไม่ว่าจะเป็นฉบับของใคร ต่างก็ยกย่อง ขงเบ้ง ซึ่งมีสมญานามว่า ฮกหลง ชื่อเดิม จูกัดเหลียง ว่าเป็นผู้มีสติปัญญาอันฉลาดเฉลียว และมีความรู้ความสามารถยอดเยี่ยม เหนือกว่าผู้ใดด้วยกันทั้งนั้น แต่เราจะลองไปดูชีวิตของญาติ      พี่น้องของขงเบ้งบ้าง ว่าจะแตกต่างจากคนดังผู้นี้หรือไม่เพียงใด ผู้น้อยจะขอแคะคุ้ยออกมา จากฉบับของท่าน  เจ้าพระยาพระคลัง (หน) พอเป็นสังเขป

                    เมื่อครั้งที่ เล่าปี่ กวนอู เตียวหุย สามพี่น้องร่วมสาบานได้เดินทางไป ขอร้องอ้อนวอน ให้ขงเบ้งมาช่วยกันปราบ โจโฉ  มหาอุปราชผู้ชั่วร้ายของพระเจ้าเหี้ยนเต้ ถึงกระท่อมน้อย    ที่เขาโงลังกั๋ง ตั้งสามครั้งสามครา  เมื่อ พ.ศ.๗๕๐นั้น ก็ได้พบกับหนุ่มน้อยซึ่งอยู่ที่บ้านนั้นด้วย จึงได้ทราบว่าขงเบ้งมีพี่น้องสามคน พี่ใหญ่ชื่อ จูกัดกิ๋น  ทำราชการอยู่ที่เมืองกังตั๋งกับซุนกวน คนกลางคือ จูกัดเหลียง ซึ่งขณะนั้นมีอายุประมาณยี่สิบเจ็ดปี และหนุ่มผู้นั้นคือน้องสุดท้อง ก็ชื่อ จูกัดกิ๋น ซ้ำกับพี่ชายใหญ่  ซึ่งตรงนี้มีผู้ยืนยันว่าในภาษาจีนนั้น จูกัดเหลียงคือจูเก๋อเหลียง จูกัดกิ๋น ก็มาจากจูเก๋อจิ่น ดังนั้นน้องสุดท้องชื่อจูเก๋อจวิน ถ้าจะแปลงเป็น จูกัดวิ่น ก็น่าจะได้    น้องคนนี้ไม่มีความสำคัญแต่อย่างใด เพราะถูกใช้ให้อยู่เฝ้าบ้าน  เมื่อขงเบ้งไปทำราชการกับเล่าปี่เท่านั้น

                   ในการสงครามระหว่างโจโฉกับซุนกวนและ จิวยี่ ทางทะเลหน้าเมืองกังตั๋งนั้น  ขงเบ้งอาสาเล่าปี่ไปเกลี้ยกล่อมซุนกวนให้เป็นพวก และอยู่ช่วยวางแผนการรบด้วย  จิวยี่แม่ทัพใหญ่ก็ให้จูกัดกิ๋นไปพูดจาเกลี้ยกล่อม ให้ขงเบ้งทิ้งเล่าปี่มาอยู่กับซุนกวน แต่ไม่สำเร็จ ขงเบ้งกลับเกลี้ยกล่อมให้พี่ชายทิ้งซุนกวน  ไปอยู่กับตนเพื่อทำนุบำรุงเล่าปี่  ซึ่งเป็นเชื้อพระวงศ์พระเจ้าเหี้ยนเต้เสียอีก    จูกัดกิ๋นจึงต้องถอยฉากไป

                   ต่อมาเมื่อจิวยี่รบชนะโจโฉแล้วไม่ได้รับผลประโยชน์แต่อย่างใดเพราะขงเบ้งวางอุบายยึดเมืองสำคัญไว้ได้หมด โดยเฉพาะเมืองเกงจิ๋ว ซึ่งเป็นหัวเมืองใหญ่แล้วอ้างว่าจะขอยืมเมืองนั้นไว้ชั่วคราว  แต่เมื่อซุนกวนให้ โลซก ที่ปรึกษาซึ่งสนิทสนมคุ้นเคยกับขงเบ้ง ไปทวงถึงสองครั้ง ขงเบ้งก็บิดพริ้วไปต่าง ๆ นา ๆ ครั้งที่สามจึงให้จูกัดกิ๋นไปทวงบ้าง โดยออกอุบายว่าซุนกวนได้เอาครอบครัวของจูกัดกิ๋นไปขังคุกไว้ ถ้าจูกัดกิ๋นทวงเมืองเกงจิ๋วคืนไม่ได้ ก็จะฆ่าเสียทั้งตระกูล

                    ขงเบ้งรู้ทันว่าเป็นอุบาย จึงแกล้งทำเป็นสงสารพี่ชาย  แล้วขอร้องให้เล่าปี่เขียนหนังสือให้จูกัดกิ๋นถือไปหากวนอู ให้แบ่งเมืองโทให้ซุนกวนสามเมือง แต่ครั้นจูกัดกิ๋นเอาหนังสือไปให้กวนอูที่เมืองเกงจิ๋ว   กวนอูกลับโกรธและไม่ยอมยกเมืองทั้งสามให้  ตามหนังสือของเล่าปี่        จูกัดกิ๋นก็อ้อนวอนว่า

        “……….ท่านจงเอ็นดูกับข้าพเจ้าเถิด ซุนกวนเห็นว่าข้าพเจ้ากับขงเบ้งเป็นพี่น้องกัน จึงให้จับบุตรภรรยาข้าพเจ้าจำไว้ แล้วใช้ตัวข้าพเจ้ามาทวงเมืองเกงจิ๋ว ถ้าไม่ได้เมืองคืน ก็จะให้ฆ่าบุตรภรรยาข้าพเจ้าเสีย…….”

        กวนอูก็ว่าซึ่งซุนกวนทำดังนี้เป็นกลอุบาย หวังจะลวงเอาเมืองเกงจิ๋วให้ได้ จูกัดกิ๋นจึงว่าท่านเจรจาดังนี้เหมือนคนหาความคิดไม่  กวนอูได้ฟังดังนั้นก็โกรธ ชักกระบี่ออกแล้วว่า

        “……..ถ้าเราไม่คิดถึงขงเบ้งก็จะตัดศรีษะเสีย แต่นี้ไปตัวอย่าว่าหยาบช้าแก่เราเหมือนดังนี้ ถ้าไม่ฟังเราก็หาอดได้ไม่…….”

                       จูกัดกิ๋นจึงต้องถอยฉากไปอีกครั้งหนึ่ง แต่ก็ยังไม่เข็ด เมื่อโจโฉมีหนังสือมาชักชวน ให้ซุนกวนยกทัพไปตีเมืองเกงจิ๋ว ซุนกวนยังลังเลอยู่ จูกัดกิ๋นก็อาสาว่า  ขณะนั้นกวนอูมีบุตรชายหญิงสองคน บุตรหญิงยังไม่มีสามี ควรจะขอให้แต่งงานกับบุตรชายของซุนกวน เมื่อเป็นพวกเดียวกันแล้วจะได้ร่วมมือกันไปรบโจโฉ ซุนกวนก็เห็นด้วยให้จูกัดกิ๋นไปเป็นเถ้าแก่

        เมื่อจูกัดกิ๋นไปพบกวนอูแล้วก็บอกว่า

        “………ซุนกวนมีบุตรชายคนหนึ่ง มีปัญญาหลักแหลม รู้ว่าท่านมีบุตรหญิงคนหนึ่ง จึงให้ข้าพเจ้ามาสู่ขอ หวังจะได้เป็นมิตรกันทั้งสองฝ่าย จะได้ช่วยกันกำจัดโจโฉ……..”
        กวนอูก็ตอบอย่างไม่มีเยื่อใยว่า

        “……..อันบุตรของเรานี้เป็นชาติเชื้อเหล่าเสือ ไม่สมควรจะให้แก่สุนัข ท่านว่ามาดังนี้ ถ้าเรามิคิดเห็นแก่หน้าขงเบ้งน้องของท่าน เราก็จะฆ่าท่านเสีย……..”

                คราวนี้ซุนกวนจึงอาฆาตกวนอู และร่วมมือกับโจโฉ รบเอาเมืองเกงจิ๋วได้สำเร็จ  กวนอูต้องถอยไปจนมุมอยู่ที่เมืองเป๊กเสีย จูกัดกิ๋นก็ยังพยายามมาเกลี้ยกล่อมอีกครั้งหนึ่งว่า

        “……..ท่านมาอยู่เมืองเป๊กเสียนี้ทหารก็น้อย ทั้งเสบียงก็ขัดสนแลกองทัพซึ่งจะยกมาช่วยนั้นก็ไม่มี ท่านจงสมัครไปอยู่กับซุนกวนเถิด เห็นว่าท่านจะได้ไปอยู่เมืองเกงจิ๋ว กับบุตรภรรยาญาติของท่าน เปนปกติเหมือนแต่ก่อน…….”

        กวนอูก็ไม่หวั่นไหวตอบว่า

        “……..อันพระเจ้าเล่าปี่ก็ได้ให้ความสัตย์ปฏิญญาเป็นพี่น้องกัน จะสู้เสียชีวิตด้วยกัน อันเราจะกลับไปเข้าด้วยศัตรูนั้นหามิได้ ถึงเราจะแพ้ก็จะขอตายด้วยความสัตย์……….”

        จูกัดกิ๋นจึงว่า

        “……..อันน้ำใจซุนกวนคิดจะใคร่เป็นไมตรีกับท่านโดยสุจริต……เป็นไรท่านจึงมาถือสัตย์อยู่ฉะนี้……”

        คราวนี้กวนเป๋งบุตรชายของกวนอู เป็นผู้ชักกระบี่ออกมาจะฆ่าจูกัดกิ๋น แต่กวนอูก็ห้ามไว้ว่า

        “……..ซึ่งจะฆ่าจูกัดกิ๋นเสียนี้มิได้ ด้วยขงเบ้งผู้น้องชายทำราชการอยู่ในพระเจ้าเล่าปี่ ถ้ารู้ไปเขาจะขัดใจผูกพยาบาทว่า เราฆ่าพี่เขาเสีย……..”

        ว่าแล้วก็ไล่จูกัดกิ๋นกลับไป ซุนกวนจึงให้ทหารเข้าตีเมืองเป๊กเสียแตก และล้อมจับกวนอูมาประหารชีวิตเสีย

                    ครั้นเล่าปี่ได้รับการยกย่องให้เป็นฮ่องเต้แห่งจ๊กก๊ก ที่เมืองเสฉวนแล้ว ยกกองทัพมาตีเมืองกังตั๋งเป็นการแก้แค้นแทนกวนอู  จูกัดกิ๋นก็ขออาสาไปเป็นทูตเจรจากับพระเจ้าเล่าปี่อีกครั้ง ซึ่งขุนนางคนหนึ่งของซุนกวน สงสัยว่าการที่จูกัดกิ๋นอาสาไปเจรจากับพระเจ้าเล่าปี่ครั้งนี้ น่าจะเป็นอุบายที่จะหนีไปเข้ากับพระเจ้าเล่าปี่เป็นแน่  แต่ซุนกวนไม่เชื่อและยืนยันว่า

        “……..จูกัดกิ๋นคนนี้ได้สบถไว้กับข้าพเจ้าช้านานอยู่แล้ว ว่าจะเป็นตายด้วยกัน ข้าพเจ้าเห็นว่าไม่หนี ครั้งเมื่อเราอยู่เมืองฉสองกุ๋น ขงเบ้งมาเมืองเรา ข้าพเจ้าจึงว่าแก่จูกัดกิ๋นว่า ท่านจงไปชวนน้องท่านให้ทำราชการด้วยเรา จูกัดกิ๋นก็ว่า ขงเบ้งได้กินข้าวแดงของเล่าปี่แล้ว ไปชวนเห็นจะไม่มา ด้วยกำพืดน้ำใจเป็นเชื้อชาย เหมือนหนึ่งข้าพเจ้ากระนี้ ได้กินข้าวแดงของท่านแล้ว จะไปอยู่กับผู้อื่นหาควรไม่ ความอันนี้ข้าพเจ้าเห็นว่าจูกัดกิ๋นเป็นคนใจหนักแน่น…….”

        เมื่อจูกัดกิ๋นได้เข้าไปเฝ้าพระเจ้าเล่าปี่แล้ว ก็หว่านล้อมว่า

        “……..ลิบองเป็นคนมีความผิดกับกวนอู คิดอุบายไปตีเมืองเกงจิ๋ว กวนอูจึงเสียที ความทั้งนี้ซุนกวนจะได้คิดเองหามิได้ บัดนี้ลิบองซึ่งเป็นคนผิดก็ตายเสียแล้ว  อนึ่งนางซุนฮูหยินคิดถึงพระองค์นัก ซุนกวนใช้ข้าพเจ้ามาทั้งนี้ ให้แจ้งเนื้อความแล้ว ให้กลับไปพานางซุนฮูหยินมาถวาย แล้วจะให้มัดเอาคนผิดคิดมิชอบ ซึ่งทำร้ายแก่กวนอู แลเอาศรีษะเตียวหุยมาถวาย แล้วจะคืนเมืองเกงจิ๋วให้ จะขอเป็นไมตรีกันสืบไป จะได้ช่วยกันกำจัดโจผีเสีย……..”

        แต่พระเจ้าเล่าปี่กลับตอบว่า

        “………ศัตรูฆ่าน้องเราเสียครั้งนี้ เรามีความแค้นเท่าแผ่นดินแผ่นฟ้า เราจะยกทัพมาแก้แค้นให้ได้ เรามีชีวิตอยู่ตราบใดจะไม่ถอยทัพกลับเลย ถ้าเราตายแล้วทัพนี้จึงจะกลับ นี่หาก ว่าเราคิดถึงขงเบ้ง หาไม่จะฆ่าท่านเสีย  ท่านจงกลับไปบอกซุนกวนให้ล้างคอไว้ท่าดาบเราถิด….”

         เป็นอันว่าที่จูกัดกิ๋นรอดคมดาบมาได้ถึงสามครั้งนี้ ก็เพราะความที่เป็นพี่ชายของขงเบ้งนั่นเอง  แต่งานที่รับอาสามาก็ไม่สำเร็จอีก เพราะพระเจ้าเล่าปี่มีความประสงค์อย่างแรงกล้าที่จะฆ่าซุนกวน  เพียงอย่างเดียว จึงเป็นเหตุให้เกิดศึกใหญ่ และลกซุน แม่ทัพหน้าใหม่ของเมือง  กังตั๋งก็สามารตีกองทัพของพระเจ้าเล่าปี่แตกยับเยิน จนพระเจ้าเล่าปี่ตรอมใจสิ้นพระชนม์ลงเมื่อ  พ.ศ.๗๖๖ อาเต๊า หรือเล่าเสี้ยน บุตรชายคนโต จึงได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้

                    ต่อมาอีกนานหลังจากโจโฉตายไปแล้ว โจผี ลูกชายคนโตของโจโฉซึ่งบังคับเอาราชสมบัติจากพระเจ้าเหี้ยนเต้ มาครอบครองเป็นฮ่องเต้ ก็สิ้นพระชนม์ไปอีก   ถึงรัชสมัยของ พระเจ้าโจยอย ขงเบ้งยกทัพไปรบกับ สุมาอี้ หลายครั้งก็ไม่สำเร็จ จึงขอให้เมืองกังตั๋งช่วยยกทัพตีกระหนาบ  ซุนกวนก็ให้ ลกซุน เป็นแม่ทัพยกไป มีจูกัดกิ๋นเป็นแม่ทัพหน้า วางกำลังกองทัพเรืออยู่ที่หน้าเมืองกังแฮ เกิดความประมาท จึงถูกแม่ทัพของพระเจ้าโจยอยลอบเข้าโจมตีแตกพ่าย จนต้องถอนทหารกลับเมืองกังตั๋ง

                   ต่อมาเมื่อจูกัดกิ๋นเสียชีวิตไปแล้ว  ซุนกวนได้รับการยกย่องให้เป็นฮ่องเต้แห่งง่อก๊ก  ที่เมืองกังตั๋งเมื่อ พ.ศ.๗๗๒ จึงได้ตั้งให้ จูกัดเก๊ก บุตรชายของจูกัดกิ๋น เป็น เสนาบดีฝ่ายขวา                                                                            

ส่วนตัวขงเบ้งเองนั้น ก็ได้ป่วยและถึงแก่ความตาย  กลางสนามรบที่เขากิสาน  เมื่อ พ.ศ.๗๗๗ อายุได้ห้าสิบสี่ปี หลังจากที่ได้ออกมาจากกระท่อมที่เขาโงลังกั๋งได้ยี่สิบเจ็ดปี
  
                 พระเจ้าซุนกวนครองราชย์อยู่ได้ยี่สิบสามปีก็สิ้นพระชนม์เมื่อ พ.ศ.๗๙๕   ขุนนางทั้งปวงก็ยกให้ ซุนเหลียง หลานของพระเจ้าซุนกวน ขึ้นเป็นฮ่องเต้ของจ๊กก๊ก

                    ขณะนั้นฝ่ายวุยก๊กได้เปลี่ยนฮ่องเต้ จากพระเจ้าโจยอยเป็น  พระเจ้าโจฮอง โดยมี   สุมาสู และ สุมาเจียว บุตรของสุมาอี้เป็นเสนาบดีผู้ใหญ่ทั้งฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊ สุมาเจียวก็ยกกองทัพยี่สิบหมื่นไปตีเมืองกังตั๋ง จูกัดเก๊กก็ยกกำลังสามหมื่นสามพัน ไปรบกันที่เมืองตังหินหน้าด่านของเมืองกังตั๋ง ฝ่ายวุยก๊กก็แตกพ่ายไป จูกัดเก๊กจึงยกทหารติดตามข้าศึกไปตีเมืองซินเสียด่านหน้าของวุยก๊ก แต่คราวนี้ล้อมเมืองอยู่ถึงสามเดือน ก็ไม่สามารถจะตีหักเข้าไปได้ เสบียงอาหารก็ขาดแคลนลง พวกไพร่พลก็เจ็บป่วยอิดโรยไม่มีกำลังใจจะรบพุ่ง จูกัดเก๊กก็ลงอาญาทั้งนายไพร่ จนต้องหนีไปเข้ากับข้าศึกเป็นจำนวนมาก ที่เหลืออยู่ก็ผอมแห้งแรงน้อย ตนเองก็ถูกยิงด้วยเกาทัณฑ์ที่หน้าผาก ต้องล่าทัพกลับเมืองกังตั๋ง และมานอนป่วยอยู่ที่บ้าน
  
                  จูกัดเก๊กมีความละอายใจที่ต้องพ่ายแพ้ข้าศึกเสียทัพกลับมา จึงพาลเอากับขุนนางทั้งปวงไม่เลือกหน้า ตามอำนาจของมหาอุปราช ถึงกับถอด ซุนจุ่น นายทหารรักษาพระองค์ ซึ่งเป็นหลานของ ซุนเกี๋ยน บิดาของพระเจ้าซุนกวน  จึงมีผู้คบคิดกันจะกำจัดเสีย  พระเจ้าซุนเหลียงก็เป็นใจ ลวงให้จูกัดเก๊กเข้าไปเฝ้าในพระราชวัง และให้ซุ่นจุ่นกับพรรคพวก รุมกันทำร้ายจนถึงแก่ความตาย แล้วเอาเสื่อพันศพไปโยนทิ้งเสียที่นอกกำแพงเมือง                          

                   ญาติอีกคนหนึ่งของขงเบ้งชื่อ จูกัดเอี๋ยน เป็นลูกพี่ลูกน้องกับขงเบ้ง  เดิมอยู่เมืองหลงเส   ทำราชการอยู่กับวุยก๊กของโจโฉ   เมื่อขงเบ้งเป็นมหาอุปราชอยู่ที่เมืองเสฉวน ก็ไม่ได้รับยศฐาบรรดาศักดิ์แต่อย่างใด  ด้วยเกรงว่าจะไปเข้ากับพี่น้อง จนกระทั่งขงเบ้งได้ถึงแก่ความตายไปแล้ว จึงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าเมืองห้วยหลำและห้อยเข  
  
                  ขณะนั้นวุยก๊กเปลี่ยนฮ่องเต้จากพระเจ้าโจฮอง เป็น พระเจ้าโจมอ หลานของพระเจ้าโจผีได้สองปี สุมาสูก็ถึงแก่ความตายไป เหลือแต่สุมาเจียว  จึงได้เป็นมหาอุปราชแต่ผู้เดียว                                                  

สุมาเจียวคิดจะชิงราชสมบัติจากพระเจ้าโจมอ แต่เกรงว่าจะมีผู้ขัดขวาง จึงส่งคนสนิทไปทาบทามจูกัดเอี๋ยนให้ร่วมมือด้วย  จูกัดเอี๋ยนมีความจงรักภักดีต่อราชวงศ์วุยแซ่โจก็ไม่ยินยอม  สุมาเจียวจึงถอดออกจากตำแหน่งเจ้าเมือง แล้วสั่งให้เจ้าเมืองเองจิ๋วจัดการกำจัดเสีย    จูกัดเอี๋ยนรู้ตัวจึงยกทหารไปตีเมืองเองจิ๋ว ฆ่าเจ้าเมืองตาย  และมีหนังสือกราบทูลพระเจ้าโจมอให้ทรงทราบ  แล้วก็เกณฑ์ทหารจากหัวเมืองในปกครองได้ยี่สิบหมื่นเศษ พร้อมศัสตราวุธและเสบียงอาหาร เพื่อจะยกไปกำจัดสุมาเจียวศัตรูแผ่นดินเสีย แต่ก็เกรงว่าจะไม่สำเร็จจึงให
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่