เสฉวนล่ม ๒๑ เม.ย.๕๗

กระทู้สนทนา
สามก๊กฉบับอ่านซ่ำ

อวสานสามก๊ก

อวสานสามก๊ก

เสฉวนล่ม

“ เล่าเซี่ยงชุน “

        พระเจ้าเล่าเสี้ยนบุตรของพระเจ้าเล่าปี่ เป็นฮ่องเต้ของจ๊กก๊กอยู่ที่เมืองเสฉวน มาได้ยาวนานถึงสี่สิบปี ขงเบ้งมหาอุปราชได้พยายาม ยกกองทัพไปตีวุยก๊กถึงหกครั้ง ก็ไม่สามารถเอาชัยชนะได้ ต้องถึงแก่ความตายลงในสมรภูมิ

        เกียงอุยนายทหารใหญ่ศิษย์เอกของขงเบ้ง ก็ดำเนินรอยตามอาจารย์ ด้วยการยกกองทัพไปตีวุยก๊ก เพื่อจะให้พระเจ้าเล่าเสี้ยนได้เป็นฮ่องเต้เพียงพระองค์เดียวของแผ่นดิน แต่ได้พยายามแล้วถึงแปดครั้ง ก็ไม่มีผลสำเร็จเช่นกัน กองทัพของจ๊กก๊กไม่สามารถล่วงล้ำผ่านเขากิสาน เข้าไปในดินแดนของวุยก๊กได้เลย แม้แต่ครั้งเดียว

        ครั้นถึง พ.ศ.๘๐๖ พระเจ้าโจฮวนแห่งวุยก๊ก ก็ให้ จงโฮย กับ เตงงาย เป็นแม่ทัพยกทหารมาตีจ๊กก๊กเป็นสองทาง เตงงายเข้าตีทางอิมเป๋งต้องผ่านเขามอเทียนเนีย ซึ่งเป็นทางกันดารมีหน้าผาชัน และหุบเหวลึก จะขี่ม้าไปมิได้ ต้องให้ทหารเอาเชือกผูกตัวไต่ไปตามหน้าผา เตงงายก็เดินทัพอยู่ประมาณยี่สิบวัน ได้ระยะทางประมาณพันเส้น เมืองอิวกั๋งเจ้าเมืองก็ยอมอ่อนน้อมด้วย จึงผ่านไปถึงเมืองปวยเสียในแดนเสฉวน

        พระเจ้าเล่าเสี้ยนก็ปรึกษาหารือกับขุนนางทั้งปวง ขุนนางก็ให้หาตัวจูกัดเจี๋ยม มหาอุปราชซึ่งเป็นบุตรของขงเบ้งกับนางอุ๋ยซี และเป็นบุตรเขยของพระเจ้าเล่าเสี้ยนด้วย แล้วตรัสว่า

        “…..บัดนี้เตงงายคุมทหารยกมาตีเอาเมืองปวยเสียได้แล้ว เห็นจะยกเข้ามาทำอันตรายแก่เราเป็นมั่นคง ขอท่านได้เอ็นดูออกมาช่วยทำการคิดอ่านกำจัดศัตรูเสีย ช่วยเอาชีวิตไว้ครั้งนี้เถิด……”

        จูกัดเจี๋ยมได้ฟังดังนั้นก็ร้องไห้ แล้วทูลว่า

        “……เมื่อพระราชบิดาของพระองค์ยังมีพระชนม์อยู่ ก็มีพระคุณแก่บิดาข้าพเจ้า เมื่อบิดาข้าพเจ้าจะถึงแก่ความตาย ก็ได้สั่งไว้ให้ช่วยทำนุบำรุงแผ่นดินสืบไป ข้าพเจ้าก็คิดอยู่ที่จะสนองพระคุณพระองค์ อันราชการครั้งนี้พระองค์อย่าวิตกเลย ข้าพเจ้าจะขออาสาไปกำจัดข้าศึกเสียให้ได้……”

        พระเจ้าเล่าเสี้ยนก็มีความยินดี จึงให้จูกัดเจี๋ยมนำทหารเจ็ดหมื่น ออกไปต่อสู้ศัตรูป้องกันบ้านเมือง เพราะเกียงอุยแม่ทัพใหญ่ไปตั้งขัดตาทัพอยู่ที่เมืองหลงเส กลับเข้ามาช่วยไม่ทันการณ์ จูกัดเจี๋ยมก็ให้จูกัดสงผู้บุตรอายุสิบเก้าปี เป็นแม่ทัพหน้า ยกไปตั้งรับที่เมืองกิมก๊ก

        เตงงายก็แต่งหนังสือฉบับหนึ่ง ให้คนถือไปให้จูกัดเจี๋ยม มีความว่า

        ….เราผู้ชื่อว่าเตงงายเป็นที่เจงไสจงกุ๋นให้มาถึงท่าน ด้วยเราทำราชการมาแต่ก่อนตราบเท่าบัดนี้ จะเห็นผู้ใดมีปัญญากว้างขวางหลักแหลมเหมือนหนึ่งมหาอุปราชบิดาของท่านหามิได้ แลเมื่ออยู่ในเขาโงลังกั๋งนั้น ได้ทำนายไว้ว่า ในประเทศเมืองจีนนี้จะมีเจ้าแผ่นดินเป็นสามก๊ก ภายหลังจึงมีความอุตส่าห์กระทำราชการได้เมืองเกงจิ๋ว แล้วมาตั้งภูมิฐานเป็นใหญ่อยู่ในเมืองเสฉวนนี้เล่า ก็ต้องด้วยคำของบิดาท่านทำนายไว้ทุกประการ บัดนี้บิดาท่านก็หาบุญไม่แล้ว ถึงกำหนดแผ่นดินจะเกิดจลาจลสาบสูญไมทุกวัน พระเจ้าโจฮวนทราบพระทัยจึงให้เรายกกองทัพมากำจัดราชศัตรูเสีย เมืองเสฉวนก็เห็นจะได้แก่เรามั่นคง เหมือนอยู่ในเงื้อมมือ……

        จูกัดเจี๋ยมอ่านแล้วก็โกรธ สั่งให้ตัดศรีษะทหารผู้ถือหนังสือนั้นเสีย แล้วให้บ่าวซึ่งตามมานั้นเอาศรีษะไปคืนให้แก่เตงงาย จากนั้นทั้งสองทัพก็เข้าต่อสู้กันเป็นสามารถ เตงงายขับทหารเข้าล้อมยิงด้วยเกาทัณฑ์ ถูกม้าจูกัดเจี๋ยมล้มลง จูกัดเจี๋ยมกลิ้งอยู่บนพื้นดิน ก็ร้องว่า

        “……..ตัวเราเป็นชายชาติทหาร ถึงมาตรว่าสิ้นกำลังลงฉะนี้แล้วก็ดี มิย่อท้อคำนับต่อข้าศึก สู้ตายจะเอาชีวิตสนองคุณเจ้า ให้ปรากฏไปภายหน้า…….”

        ว่ายังมิทันขาดคำ ทหารของเตงงายก็วิ่งกรูเข้ามาจะจับตัว จูกัดเจี๋ยมก้เอากระบี่เชือดคอตายเสียในทันใด ฝ่ายจูกัดสงขึ้นรักษาหน้าที่อยู่บนเชิงเทิน แลเห็นบิดาถึงแก่ความตายฉะนั้น ก็ใส่เกราะจับทวนขึ้นม้าออกไปฆ่าฟันทหารข้าศึกด้วยความโกรธ ทหารของเตงงายมีจำนวนมากกว่าทหารที่ติดตามไป ก็รุมล้อมเข้ามาฆ่าฟันจูกัดสงและทหารตายหมดสิ้น ในกลางสนามรบนั้นเอง เตงงายก็ยกทัพเข้ายึดเมือง       กิมก๊กได้

        พระเจ้าเล่าเสี้ยนแจ้งว่าแม่ทัพพ่อลูกถึงแก่ความตาย และเสียเมืองกิมก๊กแล้ว ก็ตกใจจึงปรึกษากับขุนนางทั้งปวงว่า ข้าศึกยกล่วงเข้ามาฉะนี้จะคิดประการใด ขุนนางจึงทูลว่า

        “…….บัดนี้ทแกล้วทหารเราก็ระส่ำระสายอิดโรยนักแล้ว ซึ่งจะต่อสู้ด้วยทหารเตงงายนั้นเห็นมิได้ ขอพระองค์ยกหนีไปข้างทิศใต้เถิด มีหัวเมืองอยู่หกหัวเมือง เราจะไปยับยั้งอาศัยอยู่ ซ่องสุมทหารพร้อมกันแล้ว จึงจะไปคำนับเมืองกังตั๋งขอกำลังมาช่วย จะได้คิดทำการต่อไป….”

        แต่ก็มีขุนนางคัดค้านว่า

        “…….อันธรรมเนียมโบราณซึ่งจะตั้งตัวเป็นเจ้าแผ่นดินนั้น จะได้อาศัยกำลังผู้อื่นมิได้ ย่อมเพียรพยายามได้เป็นดีด้วยปัญญาความคิด แลกำลังของตัว เมื่อแลต่อด้วยข้าศึกมิได้ เข้าไปนบนอบเมืองกังตั๋งนั้น ใช่ว่าเมืองกังตั๋งจะตั้งมั่นเป็นเอกโทอยู่ก็หาไม่ ก็จะเสียแก่วุยก๊กเป็นมั่นคง นานไปก็ต้องกลับไปคำนับเขาก็จะมิได้อัปยศเป็นซ้ำสองไปหรือ ถ้าเข้าคำนับแก่พระเจ้าวุยก๊กเสียครั้งนี้ เห็นจะได้อายแต่ครั้งเดียว ขอให้พระองค์ดำริดูเถิด………”

        พระเจ้าเล่าเสี้ยนก็เห็นชอบด้วย จึงให้จัดแจงสิ่งของเครื่องบรรณาการ ซึ่งจะออกไปคำนับ ในที่ประชุมต่างก็ไม่มีผู้ใดคัดค้าน รวมทั้งบุตรของพระเจ้าเล่าเสี้ยนทั้งหกคน เว้นแต่เล่าขำผู้บุตรที่ห้า จึงว่าแก่ขุนนางผู้นั้นว่า

        “………นี้เป็นคนมิดีหากตัญญูมิได้ การศึกมีมามิได้คิดอ่านรักษาเจ้า ธรรมเนียมมีหรือเป็นกษัตริย์จะไปคำนับผู้อื่น ถึงมาตรว่าจะตายก็ควรจะสู้เสียชีวิต จะนบนอบแก่ข้าศึกหาควรไม่……”

        พระเจ้าเล่าเสี้ยนได้ยินดังนั้นจึงว่า

        “……บรรดาขุนนางทั้งปวงปรึกษาว่าจะไปคำนับ เห็นชอบด้วยกันสิ้น เป็นไฉนตัวเจ้าก้เป็นเด็ก ถือทิฐิมานะว่าฝีมือกล้าแข็งรู้กว่าผู้ใหญ่ จะให้อาณาประชาราษฎรได้ความเดือดร้อนนั้นมิชอบ…….”

        เล่าขำจึงทูลว่า

        “……..ทหารในเมืองเสฉวนยังมีอยู่เป็นหลายหมื่น พอจะจัดแจงกองทัพออกไปต่อสู้ด้วยข้าศึกได้อยู่ อนึ่งเกียงอุยก็ตั้งรักษาด่านอยู่ภายนอก ถ้าจะมีหนังสือออกไปให้ตีกระหนาบหลังข้าศึก เข้ามากระทบเป็นสองทัพ ศัตรูก็จะแตกกลับไป ไม่พอที่จะอัปยศแก่ทหารเมืองวุยกีกเลย….”

        พระเจ้าเล่าเสี้ยนจึงว่า ตัวนี้เป็นเด็กมิได้รู้ลักษณะดีแลร้าย จะมาขัดขืนผู้ใหญ่นั้น ไม่ขอเชื่อฟัง เล่าขำได้ฟังพระราชบิดาว่าก็น้อยใจ เอาหน้าลงกระทบศิลาแล้วจึงว่า

        “…….พระอัยกาอุตส่าห์กระทำความเพียรมา ก็ได้ความลำบากพระองค์เป็นสาหัส จึงได้มาตั้งเป็นภูมิฐานอยู่ ณ เมืองเสฉวน จนได้สมบัติสืบวงศ์มา ควรหรือมิได้คิดถึงความยากของพระอัยกาเลย ยังมิทันไรจะเอาสมบัติไปยกให้ผู้อื่นเสียฉะนี้มิควรนัก มาตรว่าการมาจวนตัวเข้าก็ดี พระองค์กับข้าพเจ้าผู้บุตรทั้งเจ็ดคน แลเสนาบดีทั้งปวง ก็ควรจะช่วยกันไปต่อด้วยข้าศึก ให้ตายเสียในกลางสงครามประเสริฐกว่าอัปยศแก่คน ถึงว่าจะตายไปพบพระอัยกาในเมืองผี ก็หาความติโทษมิได้…….”

        พระเจ้าเล่าเสี้ยนก็มิฟังตวาดเอาแล้วก็ขับให้ออกไปเสีย เล่าขำกลัวบิดาจะอยู่มิได้ก็เดินร้องไห้ออกมา แล้วกลับไปยังตำหนักที่อยู่ ถอดกระบี่ออกจะเชือดคอตาย นางชุยฮูหยินก็ยินดีจะตายตาม จึงเอาศรีษะฟัดลงกับศิลาถึงแก่ความตายไป เล่าขำก็ฆ่าบุตรทั้งสามคนเสีย แล้วตัดศรีษะบุตรกับภรรยา ไปบูชาไว้ที่หน้าตึกฝังศพพระเจ้าเล่าปี่ แล้วก็เอากระบี่เชือดคอตายอยู่ในที่นั้น

        พระเจ้าเล่าเสี้ยนก็แต่งหนังสือไปถึงเกียงอุยให้เร่งมาคำนับนบนอบแก่เตงงายเสีย แล้วให้ขุนนางออกไปแจ้งแก่เตงงายว่า เดือนยี่ขึ้นหนึ่งค่ำจะออกมาคำนับ แล้วให้เอาบัญชีพลเมืองแลสิ่งของในท้องพระคลัง ส่งให้ทั้งหมดไปมอบให้เตงงายด้วย เมื่อถึงกำหนดนัดเตงงายก็ยกกองทัพเข้าไปในเมือง ให้ทหารตรวจตราเอาทรัพย์สิ่งของทั้งปวงในท้องพระคลัง ครบตามบัญชีทุกประการ แล้วตั้งให้พระเจ้าเล่าเสี้ยนเป็นที่ แพ้วกี๋จงกุน

        ต่อมาเตงงายมีเรื่องขัดเคืองกับจงโฮย จึงถูกกำจัดไป และเกียงอุยก็พยายามจะกำจัดจงโฮย เพื่อแย่งเอาเมืองเสฉวนคืนมา แต่ไม่สำเร็จ ทั้งจงโฮยและเกียงอุยก็ถึงแก่ความตายไป ขุนนางของ       วุยก๊กก็พาพระเจ้าเล่าเสี้ยนไปหาสุมาเจียวมหาอุปราชของวุยก๊ก ที่เมืองเตียงฮัน

        สุมาเจียวก็พาพระเจ้าเล่าเสี้ยน และกองทัพกลับเมืองหลวง เมื่อถึงเมืองแล้วสุมาเจียวจึงว่าแก่พระเจ้าเล่าเสี้ยนว่า

        “……..ท่านนี้เป็นคนมิดีหาสติปัญญามิได้ เสพแต่สุรามิได้นำพากิจการบ้านเมือง ทำให้แผ่นดินฟั่นเฟือน เสียจนอาณาประชาราษฎร ได้ความเดือดร้อนดังนี้มิควรนัก ชอบแต่ประหารชีวิตเสียจึงจะควร……..”

        พระเจ้าเล่าเสี้ยนก็มีความกลัวเป็นกำลัง หน้าเศร้าสลดลงในทันใด และหมอบนิ่งอยู่ ขุนนางทั้งปวงก็ชวนกันขอโทษไว้ สุมาเจียวก็อนุญาติให้ แล้วตั้งพระเจ้าเล่าเสี้ยนให้เป็นที่ อ่านลกก๋ง ประทานหญิงคนใช้ให้ร้อยหนึ่ง กับแพรอย่างดีหมื่นพับแลเงินทองเป็นอันมาก แล้วตั้งทหารที่ตามมาด้วยนั้น เป็นขุนนางตามตำแหน่งอันสมควร กับจัดบ้านเรือนให้อยู่ตามประเพณี ทุกประการ

        พระเจ้าเล่าเสี้ยนหรือแพ้วกี๋จงกุ๋น หรืออ่านลกก๋ง ก็ได้อาศัยอยู่ในแคว้นวุยก๊ก อย่างสุขสบายไม่คิดที่จะกลับไปเมืองเสฉวน จนมีอายุได้
แปดสิบปีจึงได้ถึงแก่กรรม อาณาจักรของจ๊กก๊กก็ถูกยึดครองโดย พระเจ้าโจฮวนของวุยก๊กนับแต่บัดนั้นมา ไม่มีโอกาสฟื้นคืนกลับไปเป็นเอกราชอย่างเดิมอีกเลย.

#########
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่