สามก๊กภาคปลาย
.ผู้กำจัดหอกข้างแคร่
"เล่าเซี่ยงชุน"
ขณะเมื่อ ซุนหลิม ขึ้นครองตำแหน่งมหาอุปราชของ พระเจ้าซุนเหลียงนั้นจูกัดเอี๋ยน เจ้าเมืองห้วยหลำและห้วยเข ซึ่งเดิมอยู่ที่เมืองหลงเส เป็นลูกพี่ลูกน้อง กับขงเบ้ง แต่ทำราชการอยู่ฝ่ายวุยก๊ก เมื่อสมัยขงเบ้งเป็นมหาอุปราชอยู่ฝ่ายจ๊กก๊ก ก็ไม่มีตำแหน่งใหญ่โตอะไร ด้วยต่างก็เกรงว่าจะไปเข้ากับขงเบ้ง จนกระทั่งขงเบ้งตายแล้ว จึงได้เป็นเจ้าเมืองสองเมืองควบ รู้ว่าสุมาเจียวมหาอุปราชของ พระเจ้าโจมอ ที่สืบ ราชสมบัติต่อจากพระเจ้าโจฮอง จะชิงราชสมบัติ จึงยกทัพไปยึดเมืองเกงจิ๋วไว้ แล้วให้
ที่ปรึกษาพาตัว จูกัดเจ้ง ผู้บุตรไปจำนำไว้ที่เมืองกังตั๋งขอกองทัพไปกำจัดสุมาเจียว
ซุนหลิมก็จัดให้ จูอี้ เป็นทัพหน้าให้สองคนพี่น้อง คือ จวนต๋วน กับ จวนเต๊ก เป็นทัพหลวง อีจ้วน เป็นทัพหนุน คุมทหารทั้งสามกองเจ็ดหมื่นคน ไปช่วย จูกัดเอี๋ยน แต่ก็สู้ สุมาเจียวไม่ได้ ต้องถอยเข้าไปตั้งรับที่เมืองชิวฉุน พร้อมกับ จูกัดเอี๋ยน ซุนหลิมก็คาดโทษจูอี้ไว้ครั้งหนึ่ง แต่เมื่อจูอี้ออกรบแก้ตัวก็แตกพ่ายอีกเป็นครั้งที่สอง พอหนีมาหาซุนหลิม จึงให้เอาตัวไปฆ่าเสีย แล้วสั่งให้ จวนฮุย บุตรจวนต๋วน ไปบอกบิดาให้ตีทัพวุยก๊ก ให้ถอยไปจงได้ ถ้ามิฉะนั้นก็อย่ากลับมา จวนฮุยก็เลยไปเข้าด้วยกับสุมาเจียว แล้วเขียนหนังสือถึงบิดาชักชวนให้พาจวนเต๊กผู้เป็นอาสมัครมาอยู่กับสุมาเจียวเถิด เพราะซุนหลิม นั้นเป็นคนโหดร้าย ไม่มีความเมตตากรุณา สองพี่น้องก็พากันไปเข้ากับ สุมาเจียว
จูกัดเอี๋ยนก็เป็นทุกข์หนักจิตใจชักจะแปรปรวนไป ทหารเอกก็เลยหนีไปเข้ากับข้าศึกหมด ลงท้ายก็ถูกตีเมืองแตก ตนเองหนีออกจากเมืองแต่ไม่พ้น โดนฟันด้วยง้าวตายในที่รบ สุมาเจียวก็ปล่อยทหารของเมืองกังตั๋งให้กลับบ้าน เหลือแต่ กึ่งจู นายทหารผู้หนึ่งขอไม่กลับ สุมาเจียวจึงตั้งให้เป็นขุนนางในเมืองชิวฉุน พอซุนหลิมรู้ข่าว ก็ให้ทหารไปจับสมัครพรรคพวกของกึ่งจูมาฆ่าเสียสิ้น พระเจ้าซุนเหลียงซึ่งขณะนั้นมีอายุได้ประมาณสิบเจ็ดปี ก็สังเวชพระทัยในความโหดเหี้ยมของซุนหลิม
อยู่มาวันหนึ่ง เสด็จออกพระที่นั่งเย็น จวนกี๋ ซึ่งเป็นน้าของ พระเจ้าซุน เหลียง ก็เข้าเฝ้า พระเจ้าซุนเหลียงก็กรรแสงตรัสว่า
"...ซุนหลิมตั้งขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยเป็นอันมาก แล้วก็ทำการตามแต่อำเภอใจ นานไปจะเป็นขบถชิงเอาราชสมบัติเราเป็นมั่นคง เราจะคิดอ่านฆ่าซุนหลิมเสียจึงจะชอบ...."
จวนกี๋ก็รับอาสาจะช่วย พระเจ้าซุนเหลียงจึงให้ไปหา เล่าเสง นายตำรวจวัง ให้จัดพรรคพวกคอยซุ่มอยู่ริมประตู ถ้าซุนหลิมเข้ามาเฝ้าก็ให้จับตัวฆ่าเสียและกำชับว่าเรื่องนี้อย่าให้แพร่งพรายไป เพราะซุนหลิมเป็นน้องมารดาของท่าน จวนกี๋ก็ขอหนังสือรับสั่งไว้เป็นสำคัญ แล้วกลับบ้านไปเล่าเรื่องให้บิดาฟัง บิดาของจวนกี๋ก็เล่าให้ภรรยาฟัง ภรรยาก็ให้คนไปบอกซุนหลิมน้องชายรู้เรื่อง
ซุนหลิมก็ตามตัวน้องชายอีกสี่คน ที่แต่งตั้งให้เป็นขุนนางผู้ใหญ่ บอกเรื่องราวแล้วก็ให้เอาทหารไปล้อมวังของพระเจ้าซุนเหลียงไว้โดยรอบ
เล่าเสงก็ไปทูลพระเจ้าซุนเหลียง ในเวลากลางคืนนั้น พระเจ้าซุนเหลียง ก็เสด็จเข้าไปข้างใน ตรัสแก่มารดาว่า พี่น้องของท่านทำการใหญ่จะทำร้ายแก่ข้าพเจ้า ว่าแล้วก็จับพระแสงกระบี่ จะเสด็จออกไปสู้ด้วยกำลังโทโส มารดาและขันทีทั้งปวงก็ยึดชายฉลองพระองค์ และห้ามปรามไว้
ครั้นเวลาเช้า ซุนหลิมก็เข้าไปในวัง จับตัวเล่าเสงฆ่าเสีย และให้หาขุนนางทั้งปวงมาแจ้งว่า บัดนี้พระเจ้าซุนเหลียงคิดการมิชอบไม่เอาใจใส่ในกิจราชการบ้านเมือง มัวเมาด้วยสตรี เราจะเนรเทศออกจากราชสมบัติเสีย ท่านทั้งปวงจะว่าประการใด
ฮวนอี ขุนนางผู้ใหญ่คนหนึ่ง ก็ร้องด่าซุนหลิมว่าอ้ายโจร พระเจ้าซุนเหลียงมีสติปัญญาหลักแหลม แกล้งเอาความร้ายมาใส่ หวังจะชิงเอาสมบัติ ตัวกูนี้ถึงจะตายก็ไม่เข้าด้วย ซุนหลิมก็ชักกระบี่ออกฟันฮวนอีตายคาที่ ขุนนางทั้งปวงก็เกรงกลัวหัวหด ยอมทำตามด้วยทั้งสิ้น
ซุนหลิมจึงว่าแก่พระเจ้าซุนเหลียงว่า
"......ท่านเป็นคนเขลา มิได้มีสติปัญญาถือผิดเป็นชอบ หากว่าเราใจบุญคิดถึงคุณพระเจ้าซุนกวน ท่านจึงรอดชีวิต เราจะให้ท่านไปเป็นเจ้าเมืองห้อยเข ท่านเร่งไปให้พ้นความตายเถิด...."
พระเจ้าซุนเหลียงก็ทรงพระกรรแสง แล้วก็เสด็จออกจากเมืองไปตามคำสั่งของมหาอุปราชโดยดี
เมื่อซุนหลิมถอดพระเจ้า ซุนเหลียง ออกจากราชสมบัติแล้ว ก็ไปเชิญ ซุนฮิว บุตรคนที่หกของพระเจ้าซุนกวน ซึ่งอยู่ที่เมืองฮ่อหลิมมาครองราชย์แทน ซุนฮิวก็ไม่ค่อยจะแน่ใจในโชคชะตาของตน จัดแจงขึ้นเกวียนออกจากเมืองมาถึงตำบลปอเซ็กตั้งก็หยุดรออยู่ ซุนหลิมจึงจัดรถและเครื่องแห่สำหรับกษัตริย์ พาขุนนางใหญ่น้อยไปรับเสด็จ ซุนฮิวก็ไม่ยอมขึ้นรถคงขี่เกวียนเข้าไปถึงเมืองกังตั๋ง
ซุนหลิมและขุนนางก็เชิญให้ขึ้นนั่งบนแท่นประทับ แล้วเอาตรากับเครื่องกษัตริย์ ซึ่งยึดจากพระเจ้าซุนเหลียงมาถวายให้ และกราบถวายบังคมลงพร้อมกัน พระเจ้าซุนฮิวก็ตั้งให้ซุนหลิม เป็นมหาอุปราชว่าราชการต่อไปตามเดิม
พระเจ้าซุนฮิว แห่งง่อก๊ก ซึ่งได้ครองราชสมบัติโดยบังเอิญ ต่อจาก พระเจ้าซุนเหลียง เมื่อ พ.ศ.๘๐๑ นั้น ต้องนั่งอยู่บนบัลลังก์ด้วยความหวาดระแวงโดยไม่รู้ว่า ซุนหลิม มหาอุปราชผู้มีอำนาจอย่างแท้จริง จะยินยอมให้อยู่ในตำแหน่งไปนานสักเท่าใด
ต่อมาไม่นานนักแค่เดือนยี่ปลายปีนั้นเอง ถึงวันประสูติของพระเจ้าซุนฮิว ซุนหลิมก็แต่งข้าวของ เข้าไปถวายตามประเพณีเป็นอันมาก พระเจ้าซุนฮิวคิดรังเกียจก็มิได้เสวย กลับส่งคืนออกมา ซุนหลิมก็โกรธปรารภกับ เตียวปอ ขุนนางผู้ใหญ่ว่า เมื่อเราเนรเทศพระเจ้าซุนเหลียงนั้น ขุนนางทั้งปวงก็ยอมสมัครให้เราเป็นเจ้า แต่เราคิดถึงคุณพระเจ้าซุนกวน จึงเชิญพระเจ้าซุนฮิวมาครองสมบัติ ที่ทำดูหมิ่นมิได้คิดถึงไมตรีเรานั้น ก็คอยดูไปเถิด ว่าแล้วก็เตรียมการให้ลิ่วล้อคุมทหารหมื่นห้าพัน พร้อมเครื่องสาตรวุธ ไปตั้งอยู่นอกเมืองกังตั๋ง
รุ่งเช้าเตียวปอไปเฝ้าพระเจ้าซุนฮิว ก็ทูลเนื้อความ ที่ได้ยินมาทั้งสิ้นพระเจ้าซุนฮิวก็เรียก เตงฮอง นายทหารเก่าแก่มาปรึกษา เตงฮองก็ทูลว่า พรุ่งนี้เข้าปีใหม่เป็นวันตรุษ พระองค์จงแต่งโต๊ะเลี้ยงขุนนางตามธรรมเนียม แล้วเชิญซุนหลิมเข้ามากินโต๊ะ ก็คงจะจับตัวได้โดยง่าย
รุ่งขึ้นอีกวัน ขันทีก็ไปเชิญซุนหลิมเข้าวัง ซุนหลิมลุกขึ้นแต่งตัวก็กลับล้มลงกับที่ นึกประหลาดใจ แต่ก็แต่งตัวเต็มยศมหาอุปราชจะเข้าไปเฝ้า คนใช้สนิทก็ท้วงว่า เมื่อคืนนี้ก็เกิดพายุพัดต้นไม้หักโค่น เช้านี้ท่านก็เกิดเป็นลมล้มลง น่าสงสัยนัก ซุนหลิมก็ว่าตัวเรานี้เป็นมหาอุปราช พี่น้องสี่คนกับหลานอีกคนก็เป็นขุนนางผู้ใหญ่ ผู้ใดจะบังอาจคิดร้ายต่อเรา ถึงจริงก็ไม่กลัว ทหารของเราอยู่นอกเมืองก็จะเข้ามาช่วยได้ แล้วซุนหลิมก็นั่งรถเข้าไปในวัง
พระเจ้าซุนฮิวก็ออกมารับถึงประตูตำหนักจูงมือเข้าไปเสพสุรากินเลี้ยงอยู่ในตำหนักใน ส่วนข้างนอก คนของเตงฮองก็จับบรรดาสมัครพรรคพวกของซุนหลิมเอาไปฆ่าเสียบ้าง จำคุกไว้บ้าง มีเสียงอื้ออึง พอซุนหลิมขยับจะลุกออกมาดู พระเจ้าซุนฮิวก็ฉุดมือไว้ แล้วว่าขุนนางและทหารข้างนอกเมาสุราวิวาทกันก็ตามทีมันเถิด ทันใดนั้นทหารทั้งปวงก็ออกมาจากฉาก รุมกันจับตัวซุนหลิมไว้ได้ เมื่อเห็นว่าสิ้นหนทางจะต่อสู้ ซุนหลิมก็ร้องขอชีวิตไว้ สัญญาว่าจะไม่คิดการอย่างนี้อีก จะถวายบังคมลาออกไปทำมาหากิน อยู่ที่บ้านเก่า
พระเจ้าซุนฮิวก็ว่าเมื่อครั้งที่ฆ่า เตงอิ๋น ขุนนางผู้ใหญ่ก็อ้อนวอนขอชีวิต จะลาไปอยู่บ้านเก่าเหมือนกันทำไมไม่ยกโทษให้เล่า จึงสั่งให้เอาตัวไปประหารเสีย แล้วให้ทหารจับเอาสมัครพรรคพวกของซุนหลิม ที่รับราชการอยู่ประมาณร้อยคนเศษ กับพี่น้องทางบ้านไปฆ่าเสียทั้งโคตร ส่วนบรรดาขุนนางซื่อสัตย์ที่ถูกซุนหลิมฆ่าเสียแต่ก่อน ก็ให้แต่งการศพตามบรรดาศักดิ์ ผู้ที่ถูกจำขังไว้ก็ให้ปล่อยออกมารับราชการตำแหน่งเดิมทั้งสิ้น
พระเจ้าซุนฮิวก็ปกครองง่อก๊ก อยู่ด้วยความสบายพระทัยโดยไม่มีหอกข้างแคร่ ให้หวาดระแวงต่อไปอีกสองปี ทาง พระเจ้าโจมอ แห่งวุยก๊ก ก็ถูกสุมาเจียวมหาอุปราชทำอุบายฆ่าเสีย แล้วเชิญ โจฮวน ขึ้นครองราชย์แทน ต่อมาอีกประมาณสามปี พระเจ้าเล่าเสี้ยน แห่งจ๊กก๊ก พันธมิตรของพระเจ้าซุนฮิว ก็ยอมอ่อนน้อมต่อวุยก๊ก เป็นที่เรียบร้อย
พระเจ้าซุนฮิวก็เห็นว่า เมืองเสฉวนของพระเจ้าเล่าเสี้ยน กับเมืองกังตั๋ง นั้นเปรียบเสมือนปากกับฟัน ถ้าปากเป็นอันตรายฟันก็อยู่ไม่ได้ จึงให้เกณฑ์ทหารไปตั้งค่ายเรียงรายอยู่ตามริมแม่น้ำเมืองกังตั๋ง ถึงสามร้อยค่าย เพื่อป้องกันมิให้กองทัพของ วุยก๊กเข้ามาย่ำยีได้โดยง่าย แต่กองทัพของพระเจ้าโจฮวนก็มิได้ยกมาเลย
จนถึง พ.ศ.๘๐๘ สุมาเจียวเกิดเป็นลมตายไป สุมาเอี๋ยน บุตรชายได้เป็น จีนอ๋องมหาอุปราชของวุยก๊กแทนบิดา ก็มิได้รอช้ารีบจัดการบังคับ ให้พระเจ้าโจฮวน มอบราชสมบัติให้ตนขึ้นครองราชย์แทน และเปลี่ยนชื่อวุยก๊กเป็นไต้จิ๋น แล้วจึงเกณฑ์กองทัพจะยกมาตีเมืองกังตั๋ง
พระเจ้าซุนฮิวรู้กิตติศัพท์ ก็มีพระทัยทุกข์ตรอม ด้วยความเป็นห่วงบ้านเมือง จนถึงกับประชวรลง และในไม่ช้าก็สิ้นพระชนม์.
############
วารสารสยามอารยะ
ตุลาคม ๒๕๓๙
ผู้กำจัดหอกข้างแคร่ ๒๕ มี.ค.๖๐
.ผู้กำจัดหอกข้างแคร่
"เล่าเซี่ยงชุน"
ขณะเมื่อ ซุนหลิม ขึ้นครองตำแหน่งมหาอุปราชของ พระเจ้าซุนเหลียงนั้นจูกัดเอี๋ยน เจ้าเมืองห้วยหลำและห้วยเข ซึ่งเดิมอยู่ที่เมืองหลงเส เป็นลูกพี่ลูกน้อง กับขงเบ้ง แต่ทำราชการอยู่ฝ่ายวุยก๊ก เมื่อสมัยขงเบ้งเป็นมหาอุปราชอยู่ฝ่ายจ๊กก๊ก ก็ไม่มีตำแหน่งใหญ่โตอะไร ด้วยต่างก็เกรงว่าจะไปเข้ากับขงเบ้ง จนกระทั่งขงเบ้งตายแล้ว จึงได้เป็นเจ้าเมืองสองเมืองควบ รู้ว่าสุมาเจียวมหาอุปราชของ พระเจ้าโจมอ ที่สืบ ราชสมบัติต่อจากพระเจ้าโจฮอง จะชิงราชสมบัติ จึงยกทัพไปยึดเมืองเกงจิ๋วไว้ แล้วให้
ที่ปรึกษาพาตัว จูกัดเจ้ง ผู้บุตรไปจำนำไว้ที่เมืองกังตั๋งขอกองทัพไปกำจัดสุมาเจียว
ซุนหลิมก็จัดให้ จูอี้ เป็นทัพหน้าให้สองคนพี่น้อง คือ จวนต๋วน กับ จวนเต๊ก เป็นทัพหลวง อีจ้วน เป็นทัพหนุน คุมทหารทั้งสามกองเจ็ดหมื่นคน ไปช่วย จูกัดเอี๋ยน แต่ก็สู้ สุมาเจียวไม่ได้ ต้องถอยเข้าไปตั้งรับที่เมืองชิวฉุน พร้อมกับ จูกัดเอี๋ยน ซุนหลิมก็คาดโทษจูอี้ไว้ครั้งหนึ่ง แต่เมื่อจูอี้ออกรบแก้ตัวก็แตกพ่ายอีกเป็นครั้งที่สอง พอหนีมาหาซุนหลิม จึงให้เอาตัวไปฆ่าเสีย แล้วสั่งให้ จวนฮุย บุตรจวนต๋วน ไปบอกบิดาให้ตีทัพวุยก๊ก ให้ถอยไปจงได้ ถ้ามิฉะนั้นก็อย่ากลับมา จวนฮุยก็เลยไปเข้าด้วยกับสุมาเจียว แล้วเขียนหนังสือถึงบิดาชักชวนให้พาจวนเต๊กผู้เป็นอาสมัครมาอยู่กับสุมาเจียวเถิด เพราะซุนหลิม นั้นเป็นคนโหดร้าย ไม่มีความเมตตากรุณา สองพี่น้องก็พากันไปเข้ากับ สุมาเจียว
จูกัดเอี๋ยนก็เป็นทุกข์หนักจิตใจชักจะแปรปรวนไป ทหารเอกก็เลยหนีไปเข้ากับข้าศึกหมด ลงท้ายก็ถูกตีเมืองแตก ตนเองหนีออกจากเมืองแต่ไม่พ้น โดนฟันด้วยง้าวตายในที่รบ สุมาเจียวก็ปล่อยทหารของเมืองกังตั๋งให้กลับบ้าน เหลือแต่ กึ่งจู นายทหารผู้หนึ่งขอไม่กลับ สุมาเจียวจึงตั้งให้เป็นขุนนางในเมืองชิวฉุน พอซุนหลิมรู้ข่าว ก็ให้ทหารไปจับสมัครพรรคพวกของกึ่งจูมาฆ่าเสียสิ้น พระเจ้าซุนเหลียงซึ่งขณะนั้นมีอายุได้ประมาณสิบเจ็ดปี ก็สังเวชพระทัยในความโหดเหี้ยมของซุนหลิม
อยู่มาวันหนึ่ง เสด็จออกพระที่นั่งเย็น จวนกี๋ ซึ่งเป็นน้าของ พระเจ้าซุน เหลียง ก็เข้าเฝ้า พระเจ้าซุนเหลียงก็กรรแสงตรัสว่า
"...ซุนหลิมตั้งขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยเป็นอันมาก แล้วก็ทำการตามแต่อำเภอใจ นานไปจะเป็นขบถชิงเอาราชสมบัติเราเป็นมั่นคง เราจะคิดอ่านฆ่าซุนหลิมเสียจึงจะชอบ...."
จวนกี๋ก็รับอาสาจะช่วย พระเจ้าซุนเหลียงจึงให้ไปหา เล่าเสง นายตำรวจวัง ให้จัดพรรคพวกคอยซุ่มอยู่ริมประตู ถ้าซุนหลิมเข้ามาเฝ้าก็ให้จับตัวฆ่าเสียและกำชับว่าเรื่องนี้อย่าให้แพร่งพรายไป เพราะซุนหลิมเป็นน้องมารดาของท่าน จวนกี๋ก็ขอหนังสือรับสั่งไว้เป็นสำคัญ แล้วกลับบ้านไปเล่าเรื่องให้บิดาฟัง บิดาของจวนกี๋ก็เล่าให้ภรรยาฟัง ภรรยาก็ให้คนไปบอกซุนหลิมน้องชายรู้เรื่อง
ซุนหลิมก็ตามตัวน้องชายอีกสี่คน ที่แต่งตั้งให้เป็นขุนนางผู้ใหญ่ บอกเรื่องราวแล้วก็ให้เอาทหารไปล้อมวังของพระเจ้าซุนเหลียงไว้โดยรอบ
เล่าเสงก็ไปทูลพระเจ้าซุนเหลียง ในเวลากลางคืนนั้น พระเจ้าซุนเหลียง ก็เสด็จเข้าไปข้างใน ตรัสแก่มารดาว่า พี่น้องของท่านทำการใหญ่จะทำร้ายแก่ข้าพเจ้า ว่าแล้วก็จับพระแสงกระบี่ จะเสด็จออกไปสู้ด้วยกำลังโทโส มารดาและขันทีทั้งปวงก็ยึดชายฉลองพระองค์ และห้ามปรามไว้
ครั้นเวลาเช้า ซุนหลิมก็เข้าไปในวัง จับตัวเล่าเสงฆ่าเสีย และให้หาขุนนางทั้งปวงมาแจ้งว่า บัดนี้พระเจ้าซุนเหลียงคิดการมิชอบไม่เอาใจใส่ในกิจราชการบ้านเมือง มัวเมาด้วยสตรี เราจะเนรเทศออกจากราชสมบัติเสีย ท่านทั้งปวงจะว่าประการใด
ฮวนอี ขุนนางผู้ใหญ่คนหนึ่ง ก็ร้องด่าซุนหลิมว่าอ้ายโจร พระเจ้าซุนเหลียงมีสติปัญญาหลักแหลม แกล้งเอาความร้ายมาใส่ หวังจะชิงเอาสมบัติ ตัวกูนี้ถึงจะตายก็ไม่เข้าด้วย ซุนหลิมก็ชักกระบี่ออกฟันฮวนอีตายคาที่ ขุนนางทั้งปวงก็เกรงกลัวหัวหด ยอมทำตามด้วยทั้งสิ้น
ซุนหลิมจึงว่าแก่พระเจ้าซุนเหลียงว่า
"......ท่านเป็นคนเขลา มิได้มีสติปัญญาถือผิดเป็นชอบ หากว่าเราใจบุญคิดถึงคุณพระเจ้าซุนกวน ท่านจึงรอดชีวิต เราจะให้ท่านไปเป็นเจ้าเมืองห้อยเข ท่านเร่งไปให้พ้นความตายเถิด...."
พระเจ้าซุนเหลียงก็ทรงพระกรรแสง แล้วก็เสด็จออกจากเมืองไปตามคำสั่งของมหาอุปราชโดยดี
เมื่อซุนหลิมถอดพระเจ้า ซุนเหลียง ออกจากราชสมบัติแล้ว ก็ไปเชิญ ซุนฮิว บุตรคนที่หกของพระเจ้าซุนกวน ซึ่งอยู่ที่เมืองฮ่อหลิมมาครองราชย์แทน ซุนฮิวก็ไม่ค่อยจะแน่ใจในโชคชะตาของตน จัดแจงขึ้นเกวียนออกจากเมืองมาถึงตำบลปอเซ็กตั้งก็หยุดรออยู่ ซุนหลิมจึงจัดรถและเครื่องแห่สำหรับกษัตริย์ พาขุนนางใหญ่น้อยไปรับเสด็จ ซุนฮิวก็ไม่ยอมขึ้นรถคงขี่เกวียนเข้าไปถึงเมืองกังตั๋ง
ซุนหลิมและขุนนางก็เชิญให้ขึ้นนั่งบนแท่นประทับ แล้วเอาตรากับเครื่องกษัตริย์ ซึ่งยึดจากพระเจ้าซุนเหลียงมาถวายให้ และกราบถวายบังคมลงพร้อมกัน พระเจ้าซุนฮิวก็ตั้งให้ซุนหลิม เป็นมหาอุปราชว่าราชการต่อไปตามเดิม
พระเจ้าซุนฮิว แห่งง่อก๊ก ซึ่งได้ครองราชสมบัติโดยบังเอิญ ต่อจาก พระเจ้าซุนเหลียง เมื่อ พ.ศ.๘๐๑ นั้น ต้องนั่งอยู่บนบัลลังก์ด้วยความหวาดระแวงโดยไม่รู้ว่า ซุนหลิม มหาอุปราชผู้มีอำนาจอย่างแท้จริง จะยินยอมให้อยู่ในตำแหน่งไปนานสักเท่าใด
ต่อมาไม่นานนักแค่เดือนยี่ปลายปีนั้นเอง ถึงวันประสูติของพระเจ้าซุนฮิว ซุนหลิมก็แต่งข้าวของ เข้าไปถวายตามประเพณีเป็นอันมาก พระเจ้าซุนฮิวคิดรังเกียจก็มิได้เสวย กลับส่งคืนออกมา ซุนหลิมก็โกรธปรารภกับ เตียวปอ ขุนนางผู้ใหญ่ว่า เมื่อเราเนรเทศพระเจ้าซุนเหลียงนั้น ขุนนางทั้งปวงก็ยอมสมัครให้เราเป็นเจ้า แต่เราคิดถึงคุณพระเจ้าซุนกวน จึงเชิญพระเจ้าซุนฮิวมาครองสมบัติ ที่ทำดูหมิ่นมิได้คิดถึงไมตรีเรานั้น ก็คอยดูไปเถิด ว่าแล้วก็เตรียมการให้ลิ่วล้อคุมทหารหมื่นห้าพัน พร้อมเครื่องสาตรวุธ ไปตั้งอยู่นอกเมืองกังตั๋ง
รุ่งเช้าเตียวปอไปเฝ้าพระเจ้าซุนฮิว ก็ทูลเนื้อความ ที่ได้ยินมาทั้งสิ้นพระเจ้าซุนฮิวก็เรียก เตงฮอง นายทหารเก่าแก่มาปรึกษา เตงฮองก็ทูลว่า พรุ่งนี้เข้าปีใหม่เป็นวันตรุษ พระองค์จงแต่งโต๊ะเลี้ยงขุนนางตามธรรมเนียม แล้วเชิญซุนหลิมเข้ามากินโต๊ะ ก็คงจะจับตัวได้โดยง่าย
รุ่งขึ้นอีกวัน ขันทีก็ไปเชิญซุนหลิมเข้าวัง ซุนหลิมลุกขึ้นแต่งตัวก็กลับล้มลงกับที่ นึกประหลาดใจ แต่ก็แต่งตัวเต็มยศมหาอุปราชจะเข้าไปเฝ้า คนใช้สนิทก็ท้วงว่า เมื่อคืนนี้ก็เกิดพายุพัดต้นไม้หักโค่น เช้านี้ท่านก็เกิดเป็นลมล้มลง น่าสงสัยนัก ซุนหลิมก็ว่าตัวเรานี้เป็นมหาอุปราช พี่น้องสี่คนกับหลานอีกคนก็เป็นขุนนางผู้ใหญ่ ผู้ใดจะบังอาจคิดร้ายต่อเรา ถึงจริงก็ไม่กลัว ทหารของเราอยู่นอกเมืองก็จะเข้ามาช่วยได้ แล้วซุนหลิมก็นั่งรถเข้าไปในวัง
พระเจ้าซุนฮิวก็ออกมารับถึงประตูตำหนักจูงมือเข้าไปเสพสุรากินเลี้ยงอยู่ในตำหนักใน ส่วนข้างนอก คนของเตงฮองก็จับบรรดาสมัครพรรคพวกของซุนหลิมเอาไปฆ่าเสียบ้าง จำคุกไว้บ้าง มีเสียงอื้ออึง พอซุนหลิมขยับจะลุกออกมาดู พระเจ้าซุนฮิวก็ฉุดมือไว้ แล้วว่าขุนนางและทหารข้างนอกเมาสุราวิวาทกันก็ตามทีมันเถิด ทันใดนั้นทหารทั้งปวงก็ออกมาจากฉาก รุมกันจับตัวซุนหลิมไว้ได้ เมื่อเห็นว่าสิ้นหนทางจะต่อสู้ ซุนหลิมก็ร้องขอชีวิตไว้ สัญญาว่าจะไม่คิดการอย่างนี้อีก จะถวายบังคมลาออกไปทำมาหากิน อยู่ที่บ้านเก่า
พระเจ้าซุนฮิวก็ว่าเมื่อครั้งที่ฆ่า เตงอิ๋น ขุนนางผู้ใหญ่ก็อ้อนวอนขอชีวิต จะลาไปอยู่บ้านเก่าเหมือนกันทำไมไม่ยกโทษให้เล่า จึงสั่งให้เอาตัวไปประหารเสีย แล้วให้ทหารจับเอาสมัครพรรคพวกของซุนหลิม ที่รับราชการอยู่ประมาณร้อยคนเศษ กับพี่น้องทางบ้านไปฆ่าเสียทั้งโคตร ส่วนบรรดาขุนนางซื่อสัตย์ที่ถูกซุนหลิมฆ่าเสียแต่ก่อน ก็ให้แต่งการศพตามบรรดาศักดิ์ ผู้ที่ถูกจำขังไว้ก็ให้ปล่อยออกมารับราชการตำแหน่งเดิมทั้งสิ้น
พระเจ้าซุนฮิวก็ปกครองง่อก๊ก อยู่ด้วยความสบายพระทัยโดยไม่มีหอกข้างแคร่ ให้หวาดระแวงต่อไปอีกสองปี ทาง พระเจ้าโจมอ แห่งวุยก๊ก ก็ถูกสุมาเจียวมหาอุปราชทำอุบายฆ่าเสีย แล้วเชิญ โจฮวน ขึ้นครองราชย์แทน ต่อมาอีกประมาณสามปี พระเจ้าเล่าเสี้ยน แห่งจ๊กก๊ก พันธมิตรของพระเจ้าซุนฮิว ก็ยอมอ่อนน้อมต่อวุยก๊ก เป็นที่เรียบร้อย
พระเจ้าซุนฮิวก็เห็นว่า เมืองเสฉวนของพระเจ้าเล่าเสี้ยน กับเมืองกังตั๋ง นั้นเปรียบเสมือนปากกับฟัน ถ้าปากเป็นอันตรายฟันก็อยู่ไม่ได้ จึงให้เกณฑ์ทหารไปตั้งค่ายเรียงรายอยู่ตามริมแม่น้ำเมืองกังตั๋ง ถึงสามร้อยค่าย เพื่อป้องกันมิให้กองทัพของ วุยก๊กเข้ามาย่ำยีได้โดยง่าย แต่กองทัพของพระเจ้าโจฮวนก็มิได้ยกมาเลย
จนถึง พ.ศ.๘๐๘ สุมาเจียวเกิดเป็นลมตายไป สุมาเอี๋ยน บุตรชายได้เป็น จีนอ๋องมหาอุปราชของวุยก๊กแทนบิดา ก็มิได้รอช้ารีบจัดการบังคับ ให้พระเจ้าโจฮวน มอบราชสมบัติให้ตนขึ้นครองราชย์แทน และเปลี่ยนชื่อวุยก๊กเป็นไต้จิ๋น แล้วจึงเกณฑ์กองทัพจะยกมาตีเมืองกังตั๋ง
พระเจ้าซุนฮิวรู้กิตติศัพท์ ก็มีพระทัยทุกข์ตรอม ด้วยความเป็นห่วงบ้านเมือง จนถึงกับประชวรลง และในไม่ช้าก็สิ้นพระชนม์.
############
วารสารสยามอารยะ
ตุลาคม ๒๕๓๙