ผู้นีางบนบัลลีงก์หนาม ๑๖ มี.ค.๖๐

สามก๊กภาคปลาย

๓.ผู้นั่งบนบัลลังก์หนาม

"เล่าเซี่ยงชุน"

พระเจ้าโจฮอง นั้น ความจริงเป็นเพียง พระราชบุตรเลี้ยงของ พระเจ้าโจยอย เท่านั้น แต่พระเจ้าโจยอยก็รักมาก ครั้นขึ้นครองราชสมบัติตั้งแต่ พ.ศ.๗๘๓ แล้ว ก็ได้ สุมาอี้ เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ กับ โจซอง เป็นผู้ช่วย อันโจซองผู้นี้เป็นบุตรของ โจจิ๋น ซึ่งเคยมีเรื่องชิงดีชิงเด่นกับสุมาอี้ ตั้งแต่สมัยที่ ขงเบ้ง ยกทัพมาตีวุยก๊กครั้งที่สามเมื่อหลายปีมาแล้ว

ต่อมาโจซองมีพรรคพวกมากขึ้น ก็ให้พระเจ้าโจฮองตั้งตนเองเป็นผู้สำเร็จราชการแทน แล้วให้สุมาอี้เป็นอาจารย์ใหญ่ที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน สุมาอี้จึงลาออกไปอยู่บ้านนอก และไม่ยุ่งกับราชการแผ่นดิน

หลังจากนั้นโจซองก็หลงอำนาจกระทำการอาจเอื้อมต่าง ๆ ให้เทียมฮ่องเต้ จนวันหนึ่งพลาดท่า สุมาอี้กลับมายึดอำนาจได้ จึงจับโจซองและครอบครัวตลอดจนพรรคพวก ไปประหารเสียจนสิ้นซาก

เมื่อกำจัด โจซอง ลงได้แล้ว สุมาอี้ ก็ได้รับการแต่งตั้งให้กลับคืนเป็นมหาอุปราช มีเครื่องยศเก้าสิ่ง เช่นเดียวกับที่ โจโฉ เคยได้รับจาก พระเจ้าเหี้ยนเต้ ในอดีต และทั้งสามพ่อลูกก็ว่าราชการงานเมืองได้โดยเด็ดขาด สุมาอี้ก็ส่ง กวยหวย กับ ต้านท่าย ออกไปปราบปราม แฮหัวป๋า ญาติของโจซองที่ตั้งแข็งเมืองอยู่ แฮหัวป๋าสู้ไม่ได้จึงหนีไปเข้าข้าง พระเจ้าเล่าเสี้ยน ที่เมืองฮันต๋ง

เกียงอุย ศิษย์เอกของ ขงเบ้ง ซึ่งเป็นผู้รักษาเมืองก็รับไว้ แล้วยกทัพมาตีวุยก๊ก สุมาอี้ก็ให้ สุมาสู บุตรชายคนโตคุมพลห้าหมื่น ไปช่วยกวยหวยและต้านท่ายรับกับเกียงอุยและแฮหัวป๋า ทั้งสองฝ่ายต่างก็เสียรี้พล ไปเป็นอันมาก แต่ก็ไม่แพ้ไม่ชนะกัน เกียงอุยจึงยกทัพกลับไปรักษาเมืองฮันต๋งตามเดิม

ปีต่อมาถึงเดือนสิบ สุมาอี้ป่วยหนักรู้ตัวว่าไม่รอดแล้ว จึงให้หาสุมาสูกับ สุมาเจียว บุตรคนรอง เข้าไปในห้องนอนสั่งเสียว่า

".....บิดาได้เป็นที่มหาอุปราชว่าราชการทั้งแผ่นดินโดยสัตย์โดยธรรม หาได้คิดคดต่อแผ่นดินไม่ คนทั้งปวงยังมาแกล้งว่า เป็นขบถต่อแผ่นดิน เราอาศัยสัตย์สุจริตรักษาตัวหาเป็นอันตรายไม่ บัดนี้บิดาจะตายแล้ว เจ้าจะเป็นข้าราชการสืบไป จงตั้งใจสัตย์ซื่อสามิภักดิ์ต่อเจ้าแผ่นดิน กว่าจะสิ้นชีวิต ทำการสิ่งใดอย่าเบาแก่ความ จงตรึกตรองให้ละเอียดแล้วจึงทำ...."

สั่งเสร็จก็สิ้นใจ

พระเจ้าโจฮองจัดการทำศพสุมาอี้ ตามฐานะมหาอุปราชแล้ว ก็ตั้งให้สุมาสูเป็นเสนาบดีผู้ใหญ่ ให้สุมาเจียวเป็นผู้บัญชาการทหารทั้งปวง

อีกปีต่อมา พระเจ้า ซุนกวน แห่งง่อก๊กเมืองกังตั๋งก็สิ้นพระชนม์ลง พระเจ้าซุนเหลียง รับราชสมบัติต่อ สุมาสู ก็ให้สุมาเจียวคุมทัพใหญ่มีพลยี่สิบหมื่น ยกไปตีเมืองกังตั๋งรบกับ จูกัดเก๊ก แม่ทัพของเมืองกังตั๋งก็พ่ายแพ้ต้องถอยกลับมา

จูกัดเก๊กได้ใจยกทหารตามมาตีด่านซินเสีย และมีหนังสือขอให้เกียงอุยซึ่งเป็นพันธมิตร ยกไปตีกระหนาบทางทิศเหนือ สุมาสูก็ให้สุมาเจียวยกไปป้องกัน ทางเหนือที่เมืองเองจิ๋ว และให้ บู๊ขิวเขียม กับ อ้าวจุ้น ยกไปช่วย เตียวเต๊ก ที่ด่านซินเสีย

คราวนี้จูกัดเก๊กเสียทีถูกยิงด้วยเกาทัณฑ์ที่หน้าผากต้องถอย และถูกไล่ตามตีแตกพ่ายไป

ฝ่ายเกียงอุยกับแฮหัวป๋าซึ่งยกมาช่วยจูกัดเก๊ก ก็ทำอุบายล้อมสุมาเจียว กับทหารหกพันไว้ที่เขาเทียดลองสัน ต้องอดน้ำแทบตาย แม้กวยหวยจะยกพลมาช่วยแก้ไข ให้สุมาเจียวหลุดออกจากที่ล้อมได้ ตัวกวยหวยเองก็ถูกเกียงอุยแทงตาย และเกียงอุยกับแฮหัวป๋าก็ยกทัพกลับ

จากนั้นสุมาสูกับสุมาเจียวก็มีอำนาจมากขึ้นไปอีก เวลาเฝ้าสุมาสูก็ถือกระบี่เข้าไปโดยมิได้เกรงใจ พระเจ้าโจฮองแม้จะกลัวสุมาสู แต่ก็แค้นอยู่ในใจ จึงได้ปรึกษาหารือกับขุนนางผู้ใหญ่ที่ใกล้ชิด คือ เตียวอิบ บิดาของนางเตียวฮองเฮามเหสี กับ ลิฮอง และ แฮเฮาเหียน ปรารภว่า

".....ทุกวันนี้สุมาสูดูถูกเราเหมือนเด็กน้อย ดูถูกขุนนางทั้งปวงเหมือนหญ้าแพรก เราเห็นไม่ช้าแล้วราชสมบัติก็จะเป็นของสุมาสู...."

ลิฮองก็แนะนำว่า จะขอตรารับสั่งออกไปเกลี้ยกล่อมหัวเมือง หาคนดีมีสติปัญญา และฝีมือกล้าแข็ง มากำจัดสุมาสูกับสุมาเจียวเสีย แฮเฮาเหียนซึ่งเป็นน้องชายของแฮหัวป๋า ก็ขออาสาจะไปตามพี่ชายมาช่วย พระเจ้าโจฮองก็เกรงว่าจะทำไม่สำเร็จ ขุนนางทั้งสามก็ตั้งสัตย์สาบานว่าจะพร้อมใจกันคิดอ่านกำจัดศัตรูแผ่นดินให้จงได้

พระเจ้าโจฮองก็เปลื้องเสื้อทรงซับในออก แล้วกัดนิ้วเอาโลหิตเขียนเป็นรับสั่งลงในเสื้อ มีความว่า

"...สุมาสูและพวกคิดอ่านจะชิงราชสมบัติ ถ้าขุนนางทั้งปวงมีใจสามิภักดิ์ต่อเรา เร่งคิดอ่านกำจัดศัตรูแผ่นดินเสียได้แล้ว เราจะให้เลื่อนที่ มีบำเหน็จรางวัลจงหนัก...."

เมื่อส่งเสื้อให้กับตันอิบก็ปรารภว่า

"....เมื่อครั้งพระเจ้าโจโฉปู่ทวดของเราฆ่าพวก ตังสิน เสียนั้น เพราะทำการไม่มิด ท่านทั้งสามจะกระทำครั้งนี้ ถ้าแพร่งพรายสิมิเป็นการ...."

ลิฮองก็ว่า

"........ยังมิทันไรพระองค์ก็มาว่า ให้เป็นลางดังนี้เล่า ข้าพเจ้าจะโง่เหมือนตังสิน หรือสุมาสูจะหลักแหลมเหมือนพระเจ้าโจโฉนั้นหรือ พระองค์อย่าสงสัยเลย....."

แต่ทั้งสามขุนนางยังไม่ทันจะออกจากประตูวัง ก็เจอสุมาสูคุมทหารห้าร้อยคนถืออาวุธมาดักอยู่แล้ว ถามว่า

"......ขุนนางออกจากเฝ้าพร้อมกันแล้ว ท่านทั้งสามล่าช้าอยู่ด้วยราชการอันใด...."

ทั้งสามคนจึงว่าพระเจ้าโจฮองจะทรงฟัง หนังสือพงศาวดาร จึงให้อ่านถวาย สุมาสูถามว่าอ่านตอนไหน ลิฮองจึงว่าอ่านตอนที่ จิวถอง เป็นมหาอุปราชของ อิอิ๋น และประจบว่าได้ทูลพระเจ้าโจฮองว่า จิวถองได้บำรุงแผ่นดิน เช่นเดียวกับมหาอุปราชบำรุงรักษาแผ่นดินในสมัยนี้เหมือนกัน

สุมาสูรู้ทันก็หัวเราะว่าเรารู้น้ำใจท่านอยู่ คงจะเปรียบเราเหมือน ตั๋งโต๊ะ มากกว่า ขุนนางทั้งสามก็ตกใจพยายามแก้ตัว แต่สุมาสู ซึ่งได้รับแจ้งเรื่องราว จากสายลับแล้ว จึงซักต่อว่าทั้งสามคนทูลความยุยงซุบซิบในที่ลับแล้วร้องไห้กันด้วยเหตุใด ทั้งสามคนต่างก็ปฏิเสธ

สุมาสูก็ยันว่าร้องไห้ตายังแดงอยู่ จะปฏิเสธได้อย่างไร แฮเฮาเหียน เกิดโทสะเพราะจนแต้มจึงว่า

".......กูร้องไห้ทั้งนี้เพราะคิดอ่านจะชิงเอาราชสมบัติ ...."

สุมาสูก็สั่งให้ทหารจับตัวทั้งสามคน แฮเฮาเหียนมีแต่มือเปล่าก็ตั้งมวยเข้าชกสุมาสู แต่ทหารก็เข้ากลุ้มรุมจับไว้ได้ สุมาสูค้นตัวได้เสื้อแพรที่เขียนรับสั่ง อ่านรู้ความแล้วก็สั่งให้เอาขุนนางทั้งสาม ไปฆ่าเสียที่กลางตลาดสิ้นทั้งโคตร

ทั้งสามก็ร้องด่าสุมาสูด้วยถ้อยคำหยาบช้าต่าง ๆ นา ๆ ทหารก็ตบปากจนฟันหักทั้งสามคนก็ไม่นิ่ง จนถูกประหารสิ้นชีวิตไป

สุมาสูก็ถือกระบี่เข้าไปหาพระเจ้าโจฮอง ซึ่งกำลังปรึกษากับนางเตียวฮองเฮาอยู่ แล้วทวงบุญคุณว่า

"......บิดาข้าพเจ้ายกย่องพระองค์ให้ได้ราชสมบัติ ถึงจิวถองซึ่งเป็นมหาอุปราชแต่ก่อนนั้น ก็หาเหมือนบิดาข้าพเจ้าไม่ ข้าพเจ้าทำนุบำรุงพระองค์มา ถึงกิอั๋น ซึ่งเป็นมหาอุปราชแต่ก่อนนั้น ก็หาทำเหมือนข้าพเจ้าไม่ คุณซึ่งมีมาแต่ก่อนนั้นสูญไปสิ้นแล้ว พระองค์มาฟังคำยุยงจะทำร้ายข้าพเจ้าอีกเล่า....."

พระเจ้าโจฮอง ก็ปฏิเสธว่าไม่ได้ทำอะไร สุมาสูก็โยนเสื้อที่เขียนด้วยโลหิตลงตรงหน้าว่านี่ของผู้ใดทำเล่า พระเจ้าโจฮองก็ซัดว่าคนอื่นคิดให้ทำ ตนเองไม่เคยคิด

สุมาสูก็ยันว่าทำแล้วจะไปซัดคนอื่นได้อย่างไร โทษผิดอย่างนี้จะคิดอ่านประการ ใด พระเจ้าโจฮองก็ตกใจนัก คุกเข่าลงขอโทษว่าผิดไปแล้ว

สุมาสูจึง่วา

"......พระองค์เป็นหลักแผ่นดิน ข้าพเจ้าหาทำอันตราย แก่พระองค์ไม่...."

แต่สั่งให้ทหารเอาตัวนางเตียวฮองเฮา ไปฆ่าเสียให้ตายตามบิดาไปด้วย

เช้าวันรุ่งขึ้นสุมาสูก็พาขุนนางทั้งปวงไปเฝ้า นางกวยทายเฮา มารดา พระเจ้าโจฮอง ทูลเล่าเรื่องราวให้ฟังทั้งสิ้น และว่าจะยกพระเจ้าโจฮองออกจากราชสมบัติ แล้วให้ โจกี๋ เจ้าเมืองแพเสีย ซึ่งเป็นพระราชวงศ์ขึ้นแทน

นางกวยทายเฮาก็ว่า โจกี๋มีอาวุโสเป็นอาของพระเจ้าโจฮอง จะเอามาสืบราชสมบัติต่อจากหลาน ไม่มีธรรมเนียม เห็นควรยก โจมอ หลานของ พระเจ้าโจผี เจ้าเมืองงวนเสียเป็นแทนจะเหมาะสมกว่า

สุมาสูและขุนนางทั้งปวงก็เห็นชอบด้วย จึงให้ทหารถือหนังสือไปเชิญโจมอ แล้วก็
เชิญนางกวยทายเฮาขึ้นว่าราชการ

นางกวยทายเฮาก็ให้เชิญพระเจ้าโจฮอง ออกมากลางที่ชุมนุมขุนนางแล้วกล่าวว่า

".....เจ้าเสวยราชย์ไม่ต้องด้วยธรรมเนียมกษัตริย์แต่ก่อน ตั้งใจแต่จะ เสพสุรา แล้วก็มัวเมาไปด้วยการเล่นทั้งปวง และสตรี ไม่เอาใจใส่ราชการเลย ซึ่งจะเป็นเจ้าแผ่นดินครองราชสมบัตินั้นไม่ควร แล้วขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยทั้งปวง ปรึกษาพร้อมกัน เห็นว่าเจ้าไม่ควรแก่ราชสมบัติแล้ว เจ้าจงเร่งเอาพระแสงกระบี่ และตราหยกสำหรับกษัตริย์ มาคืนให้ขุนนางเขา จะได้ยกคนอื่นซึ่งมีสติปัญญาเป็นเจ้าแผ่นดินสืบไป ฝ่ายตัวเจ้าให้ไปรับราชการคงที่เจอ๋อง ซึ่งพระบิดาตั้งไว้แต่ก่อนนั้น...."

พระเจ้าโจฮองก็เอาพระแสงกระบี่และตราหยกมาส่งให้ แล้วก็กราบลานางกวยทายเฮา ร้องไห้ออกไปพาครอบครัวที่เหลืออยู่ ไปพักอาศัยตามที่ของตนแต่ก่อนนั้น

ก็เป็นอันสิ้นสุดรัชกาลที่สามของราชวงศ์วุยแต่เพียงนี้ ส่วนกรรมที่ทำให้ ได้รับผลเช่นเดียวกับที่ โจโฉปู่ทวดของตนได้ฆ่ามเหสีของพระเจ้าเหี้ยนเต้เมื่อ พ.ศ.๗๕๗ และพระเจ้าโจผีปู่ของตนได้ขับไล่พระเจ้าเหี้ยนเต้ออกจากราชมบัติเมื่อ พ.ศ.๗๖๓ นั้น

นับว่าเป็นบุพกรรมโดยแท้.

##########
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่